ตอนที่ 24 หยั่งเชิง
เราควรระวังอันตรายแม้ยามสงบ
ฟางผิงรู้ว่ามันไม่ผิดที่จะคิดมาก ท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็เป็นของเขา
แม้ว่าการกังวลมากไปจะทำให้หลอนไปเอง แต่มันก็ดีกว่าตาย
ถ้าไม่สนใจสัญญาณอะไรเลย นั่นแหละคือคนโง่ ต่อให้ตายก็ตายอย่างโง่งม
สถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือคนๆนั้นไม่ประสงค์ร้าย
ถ้าอีกฝ่ายประสงค์ร้าย อย่างน้อยเขาก็ต้องเตรียมพร้อม มันย่อมดีกว่าไม่มีอะไร
อันที่จริง มันค่อนข้างง่ายสำหรับฟางผิงที่จะตรวจสอบว่าคนๆนี้เป็นอันตรายหรือไม่
ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธจริง งั้นความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายประสงค์ร้ายก็มีมาก!
ยุคใหม่ไม่ใช่ยุคโบราณ เดี๋ยวนี้ผู้ฝึกยุทธมีอันดับทางสังคมสูงกว่า
การอยู่อย่างสันโดษ ไม่มีอยู่จริง
ไม่ต้องพูดถึง ใครจะโง่มาเช่าบ้านเมืองเก่าๆแบบนี้?
นั่นเป็นเหตุผลว่าตราบใดที่เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ เขาถึงพอสรุปสถานการณ์คร่าวๆได้
ต่อให้เขาเดาผิด แต่แล้วไงล่ะ?
…..
หลังฝืนให้ตัวเองสงบลง เขาก็หยุดคิดมากและกังวลน้อยกว่าเดิม ดังนั้นฟางผิงจึงไม่รู้สึกเสี่ยงมากอีก
ไม่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำอะไรเขาจริงไหม เขาก็ต้องสังเกตก่อน
ไม่งั้น คงไม่จำเป็นต้องเช่าห้องแบบนี้
เขาเป็นแค่นักเรียนธรรมดา ถ้าผู้ฝึกยุทธอยากให้เขาตาย อย่างน้อยเขาก็ต้องทำให้อีกฝ่ายลำบากขึ้น
เนื่องจากในเวลานี้ยังไม่อันตราย เขาจึงจะลองไประบุตัวตนของคนๆนี้ดู
อาศัยจำนวนซาลาเปาตอนเช้ามันไม่พอยืนยันอะไร เพราะบางคนก็แค่กินเยอะ
ฟางผิงขีดๆเขียนๆทั้งวัน บางครั้งเขาก็ไปสอบถามเรื่องบางอย่างกับอู๋จื้อเห่าและคนอื่นๆ
พอโรงเรียนเลิกตอนบ่าย ฟางผิงก็มีแผนในใจแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ แต่เขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นเหมือนกัน เขาเป็นผู้ชายอายุเกือบ 30 ปี อย่างน้อยที่สุด เขาก็มีความแข็งแกร่งทางจิตใจมากกว่านักเรียนมัธยมปลาย
…..
ย่านจิ่งหูหยวน
เมื่อโรงเรียนเลิก ฟางผิงก็รีบกลับบ้านทันที
วันนี้โรงเรียนไม่ได้เลิกไว ดังนั้นฟางหยวนจึงถึงบ้านก่อนเขา และแม่เขาก็ยุ่งอยู่ในครัวเช่นเคย
เมื่อเขาเข้ามาในบ้าน ฟางผิงก็ไปห้องน้ำก่อน จากนั้นเขาก็ไปลานหลังบ้านแล้วเดินไปรอบๆ
ฟางหยวนที่กำลังดูทีวีสังเกตเห็นพฤติกรรมของเขา เธอจึงสงสัยเล็กน้อย ‘พี่หนูเป็นไรอีกแล้ว?’
ไม่กี่วันมานี้เมื่อไหร่ที่ฟางผิงเห็นเธอ เขาจะเข้ามาบีบแก้มเธอตลอด
เธออุส่าเตรียมพร้อม แต่พอฟางผิงกลับมา เขาแค่เดินไปเดินมาสนใจเรื่องตัวเองและเมินเฉยเธอ
หลังรอฟางผิงเดินกลับมาห้องนั่้งเล่น ฟางหยวนก็ถามอย่างสงสัย “ฟางผิง นายหาอะไร? นายทำเงินหล่นเหรอ?”
ฟางผิงยิ้ม “พี่ไม่มีเงิน พี่จะทำหายได้ไง”
จากนั้นฟางผิงก็กล่าวด้วยเสียงดังเล็กน้อย “แม่ คุณลุงที่อยู่ชั้นบนอยู่บ้านไหม?”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
หลี่อวี้อิงเอ่ยถามด้วยความสงสัยจากห้องครัว “ทำไมลูกถึงถามเรื่องผู้เช่าชั้นบนล่ะ?”
“ผมเข้าห้องน้ำแล้วเหมือนเพดานจะรั่ว มันอาจมาจากชั้นบน ตอนแม่อาบน้ำแม่ไม่ได้สนใจอีกแล้วเหรอ?”
“งั้นเหรอ?”
หลี่อวี้อิงไม่ได้สนใจเลย เธอตอบลวกๆ “ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงก็ช่างมันเถอะ บ้านเก่าก็เป็นแบบนี้แหละ…”
“ครับ ผมแค่เตือนแม่ ผมอยากไปทักทายคุณลุงชั้นบนเฉยๆ เพราะเขาพึ่งย้าย เขาคงยังไม่คุ้นกับแถวนี้”
หลี่อวี้อิงไม่ได้แคลงใจกับคำอธิบายของลูกชาย เธอกล่าว “เขาน่าจะอยู่บ้านนะ ตอนแม่กลับมาตอนบ่าย แม่เห็นเขาซื้อของกลับมาแล้วไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู”
ระบบกันเสียงระหว่างสองชั้นไม่ค่อยดีนัก พวกเขาจะได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ยิ่งกว่านั้นแม้แต่การเคลื่อนไหวอะไรดังๆก็ได้ยินมาถึงชั้นล่างเช่นกัน
ฟางผิงไม่ได้ถามอะไรอีก เขาเดินออกไปนอกประตูแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
เมื่อฟางหยวนตระหนักว่าฟางผิงกำลังขึ้นไปทักทายคุณลุง เธอก็พูดไม่ออกเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ฟางผิงไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้ แต่ช่วงนี้เขาจะแปลกขึ้นไปเรื่อยๆ
…..
ชั้นสอง
ฟางผิงสูดหายใจเล็กๆบังคับให้ตัวเองสงบใจลง
เขาเอื้อมมือไปเคาะประตู
บ้านเงียบมากราวกับไม่มีใครอยู่ในบ้าน
ฟางผิงไม่ยอมแพ้ เขาเคาะประตูอีกครั้ง เขาถาม “สวัสดีครับ มีใครอยู่ไหมครับ?”
“ผมเป็นผู้เช่าชั้นล่าง มีใครอยู่ไหม?”
“…”
หลังเคาะประตูหลายครั้ง ในที่สุดประตูก็แง้มออกมา หวงปินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง เขากล่าว “เมื่อกี้ฉันไม่ได้ยิน เธอคือ…”
“ยินดีที่ได้พบครับคุณลุง ผมอาศัยอยู่ชั้นล่าง เมื่อวานผมได้ยินแม่บอกว่าห้องของป้าเฉินปล่อยเช่าแล้ว…”
ฟางผิงกล่าวอีกสองสามคำแล้วตอบอย่างสุภาพ “คุณลุง เรื่องเป็นแบบนี้ ในเมืองเล็กๆของเรา บ้านเราถือว่าค่อนข้างเก่า เพราะงั้นท่อของเราจึงเก่ามาก ยิ่งกว่านั้นช่วงรีโนเวทครั้งก่อน ระบบกันน้ำรั่วในห้องน้ำป้าเฉินทำได้ไม่ค่อยดีนัก”
“ผมพึ่งรู้ว่าเมื่อกี้ห้องน้ำผมรั่วเล็กน้อย”
“คุณลุงอาจไม่รู้เรื่องนี้ ผมเลยมาตรวจสอบ…”
หวงปินเลิกคิ้วและคิด ‘เจ้าของชี้แจงปัญหานี้เมื่อวานแล้ว บวกกับเมื่อคืนตอนอาบน้ำฉันไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพราะงั้นพวกเขาเลยมาหาฉันตอนนี้งั้นเหรอ?’
อย่างไรก็ตามมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ หวงปินไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจที่ไม่พึงประสงค์
หลังได้ยินที่ฟางผิงพูด เขายิ้มแล้วตอบ “ขอโทษนะ ฉันพึ่งย้ายเข้ามาเลยไม่ค่อยมั่นใจเรื่องนี้นัก ครั้งต่อไปฉันจะระวังให้มากขึ้น”
“ไม่เป็นไรครับ บ้านเก่าก็แบบนี้แหละ”
หลังเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่เปิดประตูให้เร็วๆนี้ ฟางผิงจึงพยายามพูดด้วยน้ำเสียงมีน้ำใจมากขึ้น “คุณลุงดูสิ จะสะดวกไหมถ้าผมไปดูห้องน้ำของคุณลุง?”
“ใครจะรู้ มันอาจไม่ได้รั่วฝั่งลุงก็ได้ มันอาจเป็นท่อหลักรั่ว”
“ถ้าท่อหลักรั่วจริง เราจะได้ให้คนมาซ่อม ไม่งั้นอีกสองสามวัน น้ำคงท่วมมิดบ้าน”
หวงปินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าแล้วกล่าว “ได้สิ มาดูเลย ถ้าเป็นจากฝั่งฉัน ฉันจะให้คนมาซ่อม”
“ขอโทษที่รบกวนครับ”
ฟางผิงกล่าวพอเป็นพิธี หวงปินเปิดประตูแล้วปล่อยให้ฟางผิงเข้ามาในห้อง
ฟางผิงชำเลืองมองในบ้านด้วยความสงสัย อันที่จริงเขาเคยมาชั้นบนมาก่อน ตอนที่ป้าเฉินอาศัยอยู่ที่นี่ เขามาเล่นห้องนี้อยู่บ่อยๆ มันไม่ต่างจากในความทรงจำมากนัก มันอาจเป็นเพราะหวงปินพึ่งย้ายเข้ามาวันก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาตกแต่งห้อง
เมื่อเขาเห็นว่าผ้าม่านที่ระเบียงถูกดึงลงมาครึ่งนึง ฟางผิงก็ไม่ได้พูดอะไร
ผู้ชายวัยกลางคนที่ขังตัวเองอยู่ในบ้านทั้งวันแล้วดึงผ้าม่านลงมาตอนกลางวัน เห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างผิดปกติ
ฟางผิงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ฟางผิงเดินไปห้องน้ำด้วยรอยยิ้มและกล่าว “คุณลุงเหมือนจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้า เมื่อกี้ผมคิดว่าลุงยังไม่กลับมาซะอีก”
หวงปินอธิบายอย่างไม่เต็มใจ “ฉันไม่ได้ออกไป ฉันพึ่งมาถึงเมืองหยางเฉิง ฉันกำลังหางานอยู่ ยังไม่ได้เริ่มงานอย่างเป็นทางการ”
ไม่กี่วันมานี้เขาเก็บตัวอยู่ในบ้านตลอด ไม่ได้ออกไปไหนมากนัก เขาย่อมบอกไม่ได้ว่าเขากลับจากงานมาไว
“โอ้ คุณลุงทำงานอะไรครับ? พ่อผมทำงานโรงงานเซรามิกที่ชานเมืองมาหลายปีแล้ว โรงงานเซรามิกกำลังรับคนเพิ่ม คุณลุงอยากให้ผมคุยกับพ่อให้ไหม…”
“ไม่เป็นไร ฉันเกือบได้งานแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอก”
หวงปินหงุดหงิดเล็กน้อย เขาคิด ‘เจ้าหนูนี่พูดมากจัง’
หลังรับรู้สถานการณ์คร่าวๆ ฟางผิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตามเขาคิดในใจ ‘เจ้าหมอนี่ไม่ได้มาจากเมืองหยางเฉิงใช่ไหม?’
หลังเข้าห้องน้ำ เขาก็มองไปรอบๆและเช็คท่ออย่างละเอียด
หลังจากนั้นสักครู่ ฟางผิงก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วกล่าว “ท่อหลักไม่น่ามีปัญหา คุณลุง ตอนคุณอาบน้ำครั้งหน้า คุณลุงเก็บน้ำใส่ถังดีกว่า ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าฉันจะระวังแน่นอน…”
หวงปินตามน้ำ แม้ว่าเขาจะรู้สึกหงุดหงิดก็ตาม เขายังมีเรื่องต้องทำ แต่เจ้าเด็กนี่ยังอยู่
ฟางผิงไม่ได้อยู่นานนัก เขาชำเลืองมองมือหวงปินแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณลุง ผมจะกลับชั้นล่างแล้ว คุณพึ่งย้ายมา ถ้าต้องการความช่วยเหลือ จะเรียกผมหรือพ่อผมก็ได้”
“ได้ ถ้าฉันต้องการความช่วยเหลือ ฉันจะบอกเธอ”
“…”
ทั้งสองคุยกันอีกสองสามคำ จากนั้นฟางผิงก็ลงชั้นล่างโดยมีสายตาของหวงปินจ้องมองตาม
เมื่อฟางผิงลับสายตาไป หวงปินก็ปิดประตูแล้วส่ายหน้า เขาดูไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก
…..
ชั้นล่าง
ฟางผิงขมวดคิ้ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงบทสนทนาทั่วๆไป แต่เขาสังเกตเห็นอะไรหลายอย่าง
เขามั่นใจ 80-90% ว่าชายคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธ
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธจะไม่ต่างจากคนธรรมดา แต่ถ้าสังเกตอย่างระมัดระวัง เราก็บอกได้ว่าใครมีลักษณะเฉพาะของผู้ฝึกยุทธ
ถ้าฟางผิงไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธมาก่อน เขาก็อาจไม่เห็นร่องรอยหลายอย่างเหล่านั้น
แม้ว่าเขาจะพึ่งพบหวังจินหยางไม่นานนักก็ตาม
หวังจินหยางดูเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ตามเขามีแววตาเฉียบแหลมซึ่งเป็นลักษณะพิเศษ
นอกจากนี้มือของหวังจินหยางก็แข็งและหยาบกระด้าง
การฝึกฝนวิถียุทธต่างจากการบำเพ็ญวิถีเซียน ไม่มีใครเก่งขึ้นด้วยการฝึกสมาธิ เราต้องฝึกฝนร่างกายอย่างพรากเพียร ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่มือและเท้าจะด้าน
นอกจากนี้ยิ่งฝึกฝนวิชายุทธนานเท่าไหร่ หนังมือก็จะด้านเท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำลืมเรื่องผิวหนังนุ่มลื่นไปได้เลย อย่างไรก็ตามฟางผิงไม่รู้ชัดเจนนักว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสูงจะเป็นยังไง
ตอนที่เขาคุยกับหวงปินเมื่อกี้ มันดูเหมือนเขาเหลือบมองไปรอบๆอย่างลวกๆ อย่างไรก็ตามอันที่จริงเขาพยายามดูฝ่ามือของหวงปิน
หวงปินอาจไม่คิดว่านักเรียนมัธยมปลายจะมาหยั่งเชิงเขา เขาเลยไม่ได้พยายามปกปิดอะไรเลย
สิ่งที่ฟางผิงเห็นก็คือฝ่ามือที่หยาบกระด้างทั่วฝ่ามือของหวงปิน
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เกิดจากการทำงานหนัก มันมีความแตกต่างอยู่
มือด้านจากการทำงานหนักกับมือด้านจากการฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธแตกต่างกัน ปกติแล้วนักเรียนธรรมดาจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้ แต่กลับกันฟางผิงไม่ได้ปล่อยรายละเอียดแบบนี้ไป
นอกจากมีความอยากอาหารมากแล้ว ในที่สุดฟางผิงก็ยืนยันสมมติฐานของตัวเองได้
ชายคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธแน่นอน!
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ อย่างน้อยเขาก็มีประสบการฝึกฝนวิชายุทธมายาวนาน
เขาเป็นคนว่างงาน และเหมือนไม่ได้กำลังหางาน ยิ่งกว่านั้นเขายังเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านอีก…
เมื่อนำมารวมกัน ทั้งหมดบ่งชี้ว่าชายคนนี้มีปัญหา
หลังยืนยันการคาดเดา ฟางผิงก็มั่นใจ
ชายคนนี้เหมือนจะไม่ใช่คนดี เขาต้องวางแผนเตรียมตัวรับมือกรณีที่เลวร้ายที่สุด
‘ฉันควรทำยังไง?’
ฟางผิงครุ่นคิด ‘ฉันควรรอให้อีกฝ่ายโจมตีก่อนเหรอ?’
‘ยิ่งฉันรอนานเท่าไหร่ โอกาสเสี่ยงชีวิตก็มากขึ้น ทางนี้ไม่เหมาะ’
‘ฉันควรแจ้งตำรวจไหม?’
เขาจะแจ้งตำรวจได้ไงถ้าอีกฝ่ายไม่แตะต้องเส้นผมเขาแม้แต่เส้นเดียว?
เขาควรขอความช่วยเหลือจากยอดฝีมือ? แต่เขาจะไปหายอดฝีมือจากไหน?
ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตระหนักว่าถ้าเขาจัดการเองจะดีที่สุด
‘ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ?’
เมื่อความคิดนี้ปรากฏในใจ ฟางผิงก็ช็อคกับความคิดตัวเอง เขากล้าหาญขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
อีกฝ่ายอาจเป็นผู้ฝึกยุทธ!
นอกจากเขาจัดการกับอีกฝ่ายได้หรือไม่ได้ ถ้าเกิดเขาเดาผิดล่ะ? มันไม่ผิดกฏหมายเหรอ?
ตอนแรกเขายังลังเลอยู่ แต่ไม่นานฟางผิงก็ตัดสินใจกัดฟันลองดู เขาไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายตายซะหน่อย เพราะความจริงฟางผิงไม่ได้มีความกล้าพอจะทำแบบนั้น
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนดีหรือคนเลว ตราบใดที่เขาไม่เผลอฆ่าอีกฝ่าย เขาก็จะแจ้งตำรวจได้
ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนดี เขาก็แก้ตัวได้ ดูเหมือนมันจะไม่ใช่ปัญหานัก
ดูจากภายนอก เขาแค่ดูเหมือนนักเรียนใจร้อนที่สงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นคนเลวและอยากช่วยตำรวจจับคนร้าย ถ้าเขาจับผิดคนจริง อย่างมากเขาก็แค่โดนลงโทษทางวินัย
ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนเลวจริง งั้นมันก็เป็นเรื่องดีต่อเขา เขาก็จะเหมือนคนที่ช่วยป้องกันภัยพิบัติ มันดีกว่าให้เขารอให้อันตรายมาหา
ส่วนวิธีจับอีกฝ่าย ผู้ฝึกยุทธไม่ได้เป็นอมตะ ในสังคมสมัยใหม่ มีวิธีแก้ปัญหามากมาย
ถ้าฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธ อีกฝ่ายคงหาทางหยุดเขา
เนื่องจากฟางผิงเป็นเพียงนักเรียนธรรมดา จึงไม่มีใครสงสัยเขา
หวงปินอาจไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย เขาคงไม่คิดเลยว่าเขายังไม่ทันได้ไปสร้างปัญหาให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายจะมาสร้างปัญหาให้เขาก่อนแล้ว