ตอนที่ 5 ราชันทมิฬผู้รักตัวกลัวตาย
“ศิษย์พี่ลู่…เถ้าแก่หนุ่มรูปงามผู้นั้นเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามของลู่อู๋ซวงเคร่งขรึมอย่างมิเคยเป็นมาก่อน เด็กหญิงก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
‘อักษรพู่กันที่เขียนขึ้นมาลวก ๆ ภาพหนึ่ง กลับแฝงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่ได้นับอนันต์’
‘ฝีมือเช่นนี้อย่าว่าแต่ท่านอาจารย์เลย แม้แต่เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็ยังเทียบมิติดเสียด้วยซ้ำ’
‘หากคนเช่นนี้มิอาจนับว่าเก่งกาจได้ เช่นนั้นคนเช่นไรจึงจะนับว่าเก่งกาจกันเล่า ? ’
‘ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังเด็กมากนัก ! ’
“ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อย รอเจ้าโตขึ้นและฝึกฝนจนถึงขั้นที่สูงกว่านี้แล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะเข้าใจสิ่งที่ศิษย์พี่พูดในตอนนี้”
ลู่อู๋ซวงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบใบหน้าที่เยาว์วัยของเด็กหญิง “พวกเรากลับกันก่อนเถอะ พาศิษย์น้องเล็กทั้งหลายไปร่วมการประเมินครั้งต่อไปก่อน”
เด็กหญิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทางร้านขายของชำอีกครั้ง และหมุนตัวจากไปพร้อมลู่อู๋ซวง
……………………….
เมื่อลู่อู๋ซวงและศิษย์น้องของนางจากไปได้ไม่นาน
เย่ฉางชิงที่รู้สึกจิตตกจึงได้ปิดประตูร้าน ก่อนจะหยิบน้ำเต้าไปยังโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียวในเมืองเสี่ยวฉือ
“ท่านเย่ ท่านมาแล้ว”
ทันทีที่เดินถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม เถ้าแก่เว่ยผู้มีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ก็รีบกระชับสาบเสื้อแล้วเดินออกมาจากด้านในร้านทันที
ใบหน้าที่เปล่งปลั่งนั้นแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มยินดี ดูเป็นมิตรมากทีเดียว
เย่ฉางชิงมองหาโต๊ะก่อนจะนั่งลง และเงยหน้าขึ้นพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร “เถ้าแก่เว่ย พวกเจ้าทึ่มไปกันหมดแล้วรึ ? ”
“ไปแล้ว พวกเด็ก ๆ ไปกันหมดแล้ว อีกอย่าง ตอนที่พวกท่านเซียนจะจากไปยังบอกอีกด้วยว่า พวกเจ้าทึ่มแต่ละคนล้วนแต่มีพรสวรรค์ ภายภาคหน้าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
เถ้าแก่เว่ยยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหู
ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของเย่ฉางชิงโดยที่เขามิต้องเชิญ ดวงตาตี่เล็กคู่นั้นทอประกายระยิบระยับออกมา “ท่านเย่ วันนี้ท่านจะทานอะไร จะดื่มอะไรขอให้บอกมาได้เลย วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง ! ”
เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ พร้อมเอ่ยออกมาอย่างมิเกรงใจว่า “เอาแบบเดิมก็แล้วกัน”
“เสี่ยวเอ้อ แบบเดิม ! ”
เถ้าแก่เว่ยหันไปสั่ง ก่อนจะหันกลับมามองเย่ฉางชิงอีกครั้ง “ท่านเย่ ท่านมีความรู้กว้างขวางจริง ๆ ชื่อจริงที่ท่านตั้งให้พวกเด็ก ๆ เมืองเสี่ยวฉือของพวกเรานั้นยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะเจ้าทึ่มของข้า พวกท่านเซียนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนพอได้ยินชื่อ เว่ยจงเสียน ต่างก็พากันอึ้งไปเลย”
พูดถึงตรงนี้ เถ้าแก่เว่ยก็หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างห้ามมิอยู่
เย่ฉางชิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางดีอกดีใจเช่นนั้นของเถ้าแก่เว่ย สีหน้าอึมครึมของเขาเมื่อครู่จึงผ่อนคลายลงมิน้อย
‘เว่ยจงเสียน[1] หากเถ้าแก่เว่ยรู้ว่าชื่อนี้เหมือนกับชื่อของขันที คนที่มิสามารถมีทายาทสืบสกุลได้ล่ะก็ จะคิดเช่นไรกันนะ ? ’
‘คาดว่าถึงเวลานั้นคงมิเลี้ยงอาหารเขาเช่นนี้อีกเป็นแน่ มิหนำซ้ำอาจจะหยิบมีดหั่นผักขึ้นมาเอาชีวิตข้าแทนก็เป็นได้ ฮ่าฮ่า’
‘แต่จะว่าไปแล้ว การที่เว่ยจงเสียนเป็นผู้กุมโชคชะตาของราชวงค์หนึ่งบนโลกได้ นับว่ามิอาจดูถูกได้เช่นกัน’
เวลาผ่านไปเกือบ 1 ชั่วยาม2ตั้งแต่เริ่มทานอาหารและสุรา
เย่ฉางชิงที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นดื่มมากไปแล้วจึงเตรียมตัวที่จะกลับ เถ้าแก่เว่ยจึงได้เรียกเสี่ยวเอ้อให้เติมเหล้าชิงอี๋ของขึ้นชื่อของที่นี่ให้เขาจนเต็มน้ำเต้า ขณะที่ลุกขึ้นเตรียมจะเอ่ยลาเถ้าแก่เว่ยนั้น…
“ท่านเย่ สุนัขสีดำตัวนี้ใช่ตัวที่ปีที่แล้วท่านตามหาหรือไม่ ? ”
มีเสียงลุ่มลึกดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
‘สุนัขสีดำงั้นรึ ? ’
เมื่อได้ยินชื่อนี้แล้วเย่ฉางชิงก็อดที่จะสั่นสะท้านขึ้นมามิได้
คิดถึงตอนนั้นที่เขาถูกคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนประกาศ ‘โทษประหารชีวิต’ ระหว่างทางเขาก็ได้พบกับสุนัขสีดำตัวหนึ่ง
นับตั้งแต่นั้นมาเขาและสุนัขดำตัวนั้นต่างก็พึ่งพาอาศัยกันมาตลอด ทั้งยังตั้งชื่อที่อลังการให้มันอีกด้วย
‘ราชันทมิฬ ! ’
แต่มิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปีก่อนตอนที่เย่ฉางชิงตื่นขึ้นมาจู่ ๆ ราชันทมิฬก็ได้หายไป
เพราะการหายตัวไปอย่างลึกลับของราชันทมิฬ ทำให้ตอนนั้นเย่ฉางชิงโศกเศร้าอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว
แต่ใครจะไปคิดว่า วันนี้ราชันทมิฬจะวิ่งกลับมาด้วยตัวเองของมันเองเช่นนี้
เย่ฉางชิงสงบสติของตัวเอง ก่อนจะหันกลับไป เผชิญหน้ากับบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคร้ามแดด ใบหน้าเป็นมิตร ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม
“โอ้ นายพรานจาง”
ขณะเดียวกัน เงาสีดำขนาดใหญ่เงาหนึ่งก็พุ่งออกมาจากข้างกายของนายพรานจาง ก่อนจะกระโจนเข้าใส่เย่ฉางชิงอย่างบ้าคลั่ง
“ฮึบ ! ”
ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า เย่ฉางชิงก็ต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน
นายพรานจางเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าเข้มขึ้นมาทันที เขากระตุกโซ่เหล็กในมืออย่างแรง จึงหยุดเงาดำขนาดใหญ่นั้นลงได้
ในขณะเดียวกัน เย่ฉางชิงก็ได้มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเงาดำนั้น
ทันทีที่มองเห็น สามารถพูดได้ว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวยิ่งนัก
ขนทั่วทั้งตัวเป็นสีดำเงา แม้จะมีลักษณะเฉพาะของสุนัขแต่ร่างกายกลับแข็งแรงราวกับเสือดาว เขี้ยวสีขาวดูแหลมคม แลบลิ้นสีแดงสดออกมาอยู่ตลอดเวลา ดูดุร้ายและลึกลับจนน่าหวาดกลัว
แม้ว่ามันจะดูแตกต่างจากภาพของราชันทมิฬสุนัขตัวน้อยก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
แต่มิรู้ทำไมเย่ฉางชิงกลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันยิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้นดวงตาที่สุนัขดำตัวใหญ่จ้องมองมายังเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความยินดี ราวกับมีหยาดน้ำตาคลออยู่ เหมือนกับมันได้พบเจอครอบครัวอีกครั้ง
“ท่านเย่ นี่ใช่สุนัขดำตัวนั้นของท่านหรือไม่ ? ”
นายพรานจางเห็นคิ้วของเย่ฉางชิงขมวดขึ้นเล็กน้อย และใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หากมิใช่ล่ะก็ ข้าจะได้ฆ่ามันซะ คืนนี้พวกเรามากินเนื้อสุนัขแล้วดื่มเหล้าชิงอี๋กันเถิด!”
สุนัขดำตัวใหญ่นั้นราวกับเข้าใจในสิ่งที่นายพรานจางพูดออกมา ดวงตาของมันจึงแปรเปลี่ยนและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกในพริบตา ก่อนจะหมอบลงกับพื้นและเปล่งเสียงครางอย่างโศกเศร้าออกมา
เมื่อเห็นสุนัขดำตัวใหญ่ยอมแพ้เช่นนี้ อีกทั้งเย่ฉางชิงยังสังเกตเห็นรอยแผลเป็นที่ขาด้านหลังของสุนัขดำโดยบังเอิญ
เห็นได้ชัดว่านิสัยรักตัวกลัวตายเช่นนี้ รวมทั้งรอยแผลนั้นจะต้องเป็นราชันทมิฬเป็นแน่
เขาไม่นึกว่ามิได้พบกันเพียงแค่ปีเดียวราชันทมิฬกลับเติบโตจนคนตกใจกลัวได้ขนาดนี้ แต่มันกลับยังขี้ขลาดมิเปลี่ยน
เย่ฉางชิงยิ้มให้กับนายพรานจาง “นายพรานจางมันเป็นสุนัขดำตัวนั้นที่ข้าเคยเลี้ยง ท่านปล่อยมันเถิด”
นายพรานจางจึงพยักหน้า และรีบปลดโซ่ที่คอของราชันทมิฬออกทันที
รอจนนายพรานจางปลดโซ่ที่คอของราชันทมิฬออกแล้ว เย่ฉางชิงจึงได้หยิบเงิน 2 ตำลึงออกมาอย่างปวดใจ เขาตั้งใจจะมอบให้นายพรานจางเพื่อเป็นค่าตอบแทน
นายพรานจางจึงเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ท่านเย่เกรงใจกันเกินไปแล้ว ครั้งก่อนที่ท่านวาดภาพเทพพิทักษ์ประตูให้บ้านข้า ท่านยังมิคิดเงินเลย ตอนนี้ข้าจะรับเงินของท่านได้เยี่ยงไรกัน ? ”
แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ดวงตาคู่นั้นของนายพรานจางกลับเหลือบมองเงิน 2 ตำลึงในมือของเย่ฉางชิงอยู่ตลอด อีกทั้งยังทำท่าเหมือนจะยื่นมือออกมาอีกด้วย
เมื่อเห็นดังนั้น เย่ฉางชิงจึงรีบเก็บเงิน 2 ตำลึงเข้าในอกเสื้อโดยมิลังเลใด ๆ ทันที ก่อนจะยิ้มจนตาหยี “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณท่านมาก”
นายพรายจางเบะปากเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ ‘เฮ้อ วันนี้เสียแรงเปล่าแท้ ๆ ! ’
…………..
เย่ฉางชิงหิ้วน้ำเต้าที่มีสุราอยู่จนเต็มก่อนจะเดินจากไป ราชันทมิฬเมื่อเห็นดังนั้นจึงเดินตามหลังเขาไปอย่างเงียบ ๆ
ผ่านไป 1 เค่อ3 จนเดินใกล้จะถึงร้านขายของชำอีกมิกี่ร้อยเมตร จู่ ๆ ราชันทมิฬก็เดินผ่านเย่ฉางชิงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งไปที่ร้านขายของชำทันที
ชาวเมืองเสี่ยวฉือล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ เย่ฉางชิงอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วมิเคยมีของหายมาก่อน
กลับกัน หากมีของอะไรหายไป ไม่เกินวันก็จะมีคนนำมาส่งให้
ดังนั้นเย่ฉางชิงจึงมีนิสัยมิชอบปิดประตู ตอนที่เดินออกไปก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่งับประตูร้านเอาไว้เท่านั้น
ราชันทมิฬใช้ปากเปิดประตูอย่างคุ้นเคย ก่อนหันมามองทางเย่ฉางชิงแล้วเห่าให้เขาสองที จากนั้นก็มุดเข้าไปในร้านทันที
เมื่อเย่ฉางชิงมาถึงหน้าประตูร้าน ก็เห็นราชันทมิฬหมอบอยู่ตรงภาพ ๆ หนึ่งอยู่ที่พื้น อีกทั้งยังดูนอบน้อมอย่างมากอีกด้วย
[1] เว่ยจงเสียน เป็นบุคคลทางประวัติศาสตร์จีนในช่วงราชวงศ์หมิงตอนปลาย นับว่าเป็นขันทีที่มีอำนาจและฉาวโฉ่ที่สุดคนหนึ่ง
2 ชั่วยาม 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง
3 เค่อ 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที