ตอนที่ 7 แค่เดินหมาก ยากเพียงนี้เชียว?
เย่ฉางชิงที่ถูกไล่ออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
เขาสงสัยว่าตื่นขึ้นมาทำไมเตียงของตนเองถึงได้มีหญิงงามเพิ่มขึ้นมาได้ อีกทั้งดูแล้วก็มิเหมือนการรู้ตื่นของดัชนีทองคำอะไรเลยด้วยซ้ำ
มิเช่นนั้นหญิงงามผู้นี้ก็คงจะมิโมโหใส่เขา ถึงขนาดไล่ตะเพิดออกมาจากห้องเช่นนี้ แต่ควรจะแย้มยิ้มแล้วเรียกเขาว่านายท่านถึงจะถูก
ตอนที่เย่ฉางชิงถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอกหนักใจนั้น ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นท่าทางเช่นนั้นของราชันทมิฬเข้า
‘หรือว่าจะเป็นราชันทมิฬ…’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’
เย่ฉางชิงมองดูราชันทมิฬที่ดวงตาเป็นประกายและอ้าปากแลบลิ้นอยู่ ก่อนจะรีบสลัดความคิดนี้ของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว
ให้เขาเชื่อว่าเป็นฝีมือของราชันทมิฬ เขายอมเชื่อว่าตัวเองรู้ตื่นดัชนีทองคำ เชื่อว่าตนเองมีรากวิญญาณยังจะดีเสียกว่า…
‘เรื่องนี้มิมีทางเป็นจริงได้เด็ดขาด ! ’
เย่ฉางชิงยกมือขึ้นบีบนวดกลางระหว่างคิ้ว ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีขาวสะอาดตาที่ห้องถัดไป พร้อมทั้งล้างหน้าล้างตาอย่างลวก ๆ ก่อนมานั่งเดินหมากล้อมเพียงลำพังอยู่ที่โต๊ะหิน
มิรู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด
เมื่อเย่ฉางชิงกลับมามีสติอีกครั้ง ขณะกำลังพิจารณาว่าหมากขาวเพลี่ยงพล้ำได้อย่างไร ก็สังเกตเห็นว่าสตรีลึกลับผู้นั้นได้มายืนอยู่ข้างกายเขาเสียแล้ว และสายตาของนางกำลังจดจ้องกระดานหมากล้อมอยู่
ที่น่าแปลกใจก็คือใบหน้าของสตรีลึกลับกลับซีดเผือด มีเส้นเลือดบนหน้าผากนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเคร่งเครียดดูราวกับโดนปีศาจควบคุมสิงอยู่ก็มิปาน
‘นี่มันอะไรกัน ? ’
‘หรือว่านางจะป่วย ? ’
ในตอนนั้นเองที่ราชันทมิฬได้เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
เมื่อมันเห็นท่าทางคลุ้มคลั่งของสตรีลึกลับดวงตาจึงหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบไปมองกระดานที่มีหมากมากมายหลายตัวอยู่บนนั้น จึงอดที่จะตะโกนอยู่ในใจมิได้ว่า ‘แย่แล้ว ! ’
‘มนุษย์น้อยผู้นี้คงมิได้เสียสติไปแล้วหรอกนะ หมากของนายท่านได้รวมเอาหลักการและโชคชะตาเอาไว้มหาศาล อย่าว่าแต่พวกที่กำลังสร้างรากฐานเลย แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพจำแลงหรือแดนถ้ำสวรรค์ก็มิอาจจะต้านทานได้’
“โฮ่ง ! ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งราชันทมิฬจำต้องใช้วิธีการบางอย่าง ก่อนจะเห่าใส่สตรีลึกลับผู้นั้นไปหนึ่งครา
“เฮือก ! ”
ทันใดนั้นสตรีลึกลับก็สั่นสะท้านขึ้นมา จิตของนางได้หลุดออกมาจากดินแดนลึกลับแห่งหนึ่ง จนอดที่จะสูดหายใจลึก ๆ ด้วยความตื่นตระหนกมิได้
‘ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ’
หากมิใช่เพราะยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ราชันทมิฬปลุกนางได้ทันเวลา ไม่แน่ว่าวินาทีนั้นวิญญาณของนางอาจแตกสลายก็เป็นได้
สตรีลึกลับได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองเย่ฉางชิงผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและท่าทีสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น ก็อดที่จะหวาดกลัวขึ้นมามิได้
‘ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? เพียงหมากแค่กระดานเดียว เหตุใดจึงได้แฝงพลังที่แปลกประหลาดและน่ากลัวถึงเพียงนี้เอาไว้’
แม้นางจะมองแค่เพียงแวบเดียวแต่จิตวิญญาณกลับถูกดูดเข้าไปอย่างขัดขืนมิได้ อีกทั้งวิญญาณยังเกือบแตกสลายอีกด้วย
‘หรือว่าจะเป็น… ยอดฝีมือผู้เร้นกายดังเช่นที่บรรพบุรุษเคยกล่าวไว้ ? ’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยนปิงซินก็รู้สึกเย็นเฉียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความกลัวจับใจ
เพราะก่อนหน้านี้นางเพิ่งจะไล่ตะเพิดชายหนุ่มคนนี้ออกมาจากห้อง
เวลานี้เย่ฉางชิงเงยหน้าขึ้น พร้อมเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ท่านเดินหมากเป็นด้วยหรือ ? ”
เยี่ยนปิงซินเห็นรอยยิ้มราวกับลมในฤดูวสันต์บนใบหน้าของเย่ฉางชิง สมองก็อดจะนึกถึงประโยคที่บรรพบุรุษเคยกล่าวไว้มิได้ว่า ยอดฝีมือผู้เร้นกายล้วนแต่มีนิสัยแปลกประหลาดทั้งสิ้น
บางคนเพียงแค่บันดาลโทสะก็สังหารผู้คนได้นับพันนับหมื่น
บางคนราวกับตนเองเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง ไร้ซึ่งความสุขและความทุกข์ นิ่งสงบ เรียบง่ายเป็นกันเอง
ยิ่งไปกว่านั้นบ่อยครั้งที่พลังและความแตกฉานของคนจำพวกหลัง กลับเหนือกว่าคนจำพวกแรกเสียอีก
ส่วนการเปิดเผยตัวตน สำหรับผู้เร้นกายที่มีพลังแตกฉานเช่นนี้ ต้องมองจากภายในเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเยี่ยนปิงซินเวลานี้ ชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนจำพวกหลังที่บรรพบุรุษเคยกล่าวไว้
และเมื่อได้ยินที่เย่ฉางชิงเอ่ยถามเยี่ยนปิงซินก็ได้สติขึ้นมา นางรีบพยักหน้าให้แต่พอนึกขึ้นได้ก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ
ต่อหน้ายอดฝีมือผู้เร้นกายเช่นนี้ นางจะกล้าแสดงฝีมือต่อผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน !
ราชันทมิฬที่เห็นท่าทางของนางก็แสยะยิ้มออกมา พร้อมกับคิดในใจว่า ‘เจ้ามนุษย์น้อยผู้นี้มิเลวเลย มีปัญญาเฉียบแหลมมิเบา’
เย่ฉางชิงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนของเยี่ยนปิงซินก็เข้าใจได้ในทันที
เขาเป็นอัจฉริยะการเดินหมากมาตั้งแต่เด็ก ตอนสิบขวบเคยได้รับถ้วยแชมป์เยาวชนแห่งชาติมาก่อน
และตลอดห้าปีที่มาอยู่เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ เขาได้ใช้เวลาเกือบทุกวันเพื่อศึกษาเกมหมากล้อมจนช่ำชอง
ในความคิดของเขา โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ให้ความสำคัญต่อพลังมากที่สุดนั้น ใครจะมานั่งศึกษาหมากล้อมที่น่าเบื่อทุกวันเช่นเขากัน ?
ต่อให้มีก็คงแค่ศึกษาผิวเผินเท่านั้น
แต่ท่าทางจมดิ่งลงไปในกระดานหมากของเยี่ยนปิงซินเมื่อครู่ รวมถึงท่าทางกระมิดกระเมี้ยนในตอนนี้ของนาง เห็นได้ชัดว่านางเล่นหมากล้อมเป็นอย่างแน่นอน
เพียงแต่นางกำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์เช่นเขาอยู่ จึงเลี่ยงมิได้ที่จะหวาดกลัวขึ้นมาก็เท่านั้น
เย่ฉางชิงยิ้มออกมาจาง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าชื่ออะไร และมาจากที่ใดกัน ? ”
เยี่ยนปิงซินเสียงสั่นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เรียนผู้อาวุโส ข้าน้อยมีนามว่าเยี่ยนปิงซิน มาจาก… เมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“เยี่ยนปิงซิน เมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยนหรือ ? ”
เย่ฉางชิงมองสำรวจเยี่ยนปิงซินเล็กน้อย ‘มิน่าเล่าเมื่อครู่อารมณ์รุนแรงถึงเพียงนั้น ดูท่าคงมาจากตระกูลใหญ่เป็นแน่’
แต่พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เย่ฉางชิงกลับเข้าใจโลกนี้น้อยยิ่งนัก
หลังจากห้าปีที่เขามายังโลกนี้และได้ยินเรื่องราวแปลก ๆ มากมาย อีกทั้งตนเองยังมิสามารถบำเพ็ญตนได้ ดังนั้นเขาจึงอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
บัดนี้เมื่อได้เจอคนที่มาจากต่างแดน เขาจึงอยากทำความเข้าใจเสียหน่อย
แน่นอนว่าต้องห้ามแสดงท่าทีตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นกบในกะลาในสายตาผู้อื่นก็ได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอยากนั่งเล่นหมากกับข้าสักตารึไม่ ? ”
เยี่ยนปิงซินชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะมีท่าทีปิติยินดีแสดงออกมา
เยี่ยนปิงซินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองเย่ฉางชิงด้วยสายตาซาบซึ้งใจ และพยักหน้าเป็นการตอบรับคำเชิญอย่าง
‘ยอดฝีมือผู้เร้นกายเช่นนี้ย่อมให้คำชี้แนะมิมากก็น้อย ช่างเป็นบุญวาสนาของข้าเหลือเกิน ! ’
“นั่งลงสิ”
เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ หลังจากนั้นจึงใช้สองนิ้วคีบหมากสีดำเม็ดหนึ่งวางลงบนกระดานด้วยใจที่สงบนิ่ง
เยี่ยนปิงซินค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่ง สายตาเหลือบมองเย่ฉางชิงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยื่นนิ้วเรียวยาวไปคีบหมากสีขาวเม็ดหนึ่งแล้ววางลงบนกระดานอย่างลังเล
แต่ทว่าในวินาทีต่อมา จิตวิญญาณของนางก็ถูกดูดเข้าไปในกระดานหมากล้อมอีกครั้ง
ทันใดนั้นนางก็ได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่ปรากฏเพียงสีขาวและสีดำ พื้นดินใต้ฝ่าเท้ากลายเป็นสีขาวโพลน ส่วนเหนือศีรษะกลับมีเมฆสีดำบดบังทั่วท้องนภา และได้ยินเสียงเพรียกวิถีแห่งเต๋าดังแว่วอยู่ในหูของนางจากที่ไกลพ้น
ทั้งหมดนี้ทำให้นางตื่นเต้นและสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามมิได้
ไม่นานแผ่นดินก็สั่นสะเทือน เมฆดำทะมึนไปทั่วท้องฟ้า ในชั่วพริบตาก็มีปลาสีขาวดำตัวใหญ่เริ่มแหวกว่ายไปมา
พร้อมกันนั้น พลังวิถีแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่ราวกับมหาสมุทรก็แผ่กระจายทั่วทั้งแผ่นฟ้าและพื้นดิน
วินาทีนี้ เยี่ยนปิงซินรู้สึกเพียงว่าวิญญาณของตนกำลังถูกพลังวิถีแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่บดขยี้…
“แม่นาง มิทราบว่าตระกูลของเจ้าทำการค้าอันใดหรือไม่ ? ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ห่างจากเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยนเพียงใด ? ”
“ระหว่างทางที่เจ้ามา ได้พบกับอันตรายใดบ้างหรือไม่ ? ”
“ในเมืองหลวงมีชนชั้นสูงที่ชื่นชอบอักษร หรือภาพวาด…”
เย่ฉางชิงวางหมากต่อกันสี่ตัว เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยนปิงซินหยุดอยู่บนกระดาน จึงได้เอ่ยถามไปส่ง ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งสบาย ๆ
แต่เยี่ยนปิงซินกลับมีท่าทีราวกับมิได้สนใจฟังแม้แต่น้อย
สุดท้ายเขาจึงมิได้รับคำตอบแต่อย่างใด เย่ฉางชิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนปิงซิน
เยี่ยนปิงซินมีท่าทีเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับคนคลุ้มคลั่งเสียสติก็มิปาน
อีกทั้งสีหน้ายังซีดขาว หน้าผากอันเกลี้ยงเกลามีเหงื่อไหลซึมออกมาไม่หยุด ใบหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก
“แม่นางเย่ฉางชิง…”
‘ที่แท้ก็แค่นี้ ? ’
‘เมื่อครู่ข้าคิดว่านางเพียงแสร้งถ่อมตัวเท่านั้น ที่แท้ก็มิได้เข้าใจจริง ๆ รึนี่ ! ’
‘ข้าเพิ่งจะวางหมากได้สี่ตาเองนะ ! ’
เย่ฉางชิงรู้สึกเอือมระอาขึ้นมาทันที
‘คนบนโลกนี้เป็นอะไรกันไปหมดนะ ! ’
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่านักเรียนที่เขาสอนล้วนเป็นเด็กค่อนข้างเฉลียวฉลาด แต่พอสอนให้พวกเขาเล่นหมากล้อม ทุกคนต่างก็นั่งนิ่งจนมิได้ร่ำเรียนอันใด
อย่างเยี่ยนปิงซินในตอนนี้ที่ดูเหมือนจะเล่นหมากล้อมเป็น แต่สุดท้ายกลับเล่นได้เพียงสี่ตาก็นั่งนิ่งราวกับเสียสติไปเสียแล้ว
เย่ฉางชิงเพียงแค่อยากหาคนมาฝึกฝีมือหมากล้อมด้วยก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วแม้ตนจะมิมีรากวิญญาณก็ยังต้องเรียนรู้ที่จะฝึกตนอยู่ดี
‘แค่เดินหมาก ยากเพียงนี้เชียวรึ ? ’
เย่ฉางชิงเบะปากอย่างเอือมระอา ก่อนจะใช้นิ้วมือสองนิ้วคีบหมากสีดำวางกลับลงไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วถึงลุกขึ้นเดินจากไปอย่างสิ้นหวัง