ตอนที่ 11 นับแต่นี้ไปเจ้าก็คือผู้สืบทอดหญิง
ลู่อู๋ซวงหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติของตัวเองอย่างระมัดระวัง กล่องไม้นั้นทำขึ้นอย่างง่าย ๆ แต่กลับมีพลังวิญญาณธาตุไม้บริสุทธิ์จาง ๆ เปล่งออกมา
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ ของล้ำค่าที่ศิษย์เอ่ยถึงเมื่อครู่อยู่ในกล่องไม้นี้เจ้าค่ะ” ลู่อู๋ซวงประคองกล่องไม้ขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง
นักพรตหยวนเจี้ยนรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณธาตุไม้บริสุทธิ์ที่เปล่งออกมาจากกล่องไม้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับกล่องไม้กล่องนั้นและเปิดออกอย่างระวัง
เมื่อหยิบภาพอักษรพู่กันในกล่องออกมา นักพรตหยวนเจี้ยนถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะสบตากับลู่อู๋ซวงอีกครั้ง
ตามที่ลู่อู๋ซวงบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งการคาดเดาของเหล่าหัวหน้ายอดเขาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ผู้ที่เขียนภาพอักษรพู่กันภาพนี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นเซียนจากแดนสวรรค์
‘ดูก็รู้ว่าภาพนี้จะต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นเซียนที่มาจากแดนสวรรค์จริงล่ะก็ นั่นหมายความว่าภาพอักษรพู่กันนี้ก็คือของที่ล้ำค่าที่สุดบนโลกนี้แล้ว ! ’
“ตึก ตึก ๆ” ขณะที่นักพรตหยวนเจี้ยนกำลังเปิดกล่องไม้นั้น หัวใจของเขาก็เต้นระรัวจนแทบจะทะลุอกออกมา
ลู่อู๋ซวงพยักหน้าให้ นักพรตหยวนเจี้ยนที่คิ้วขมวดเป็นปมสูดหายใจเข้าอีกครั้ง ก่อนจะกางภาพอักษรในมือออกอย่างระมัดระวัง
“ม่าน”
ขณะเปิดออก ตัวอักษรโบราณตัวแรกก็ปรากฏสู่สายตา
ลายเส้นเปี่ยมไปด้วยพลัง พลานุภาพแพร่ซ่านออกมา การเคลื่อนไหวลื่นไหลตั้งแต่ต้นจนจบ และลายมือที่เป็นเอกลักษณ์
“ครืน ! ”
ทันใดนั้นราวกับมีเจตจำนงแห่งกระบี่กระจายปกคลุมทั่วทั้งห้องภายในพริบตา
นักพรตหยวนเจี้ยนที่รู้สึกได้ถึงเจตจำนงแห่งกระบี่ที่แผ่ออกมา ก็ถึงกับหรี่ตาลง มือทั้งสองข้างสั่นเล็กน้อย
ใบหน้าที่ดูมีอายุ เวลานี้กลับเต็มไปด้วยความตระหนก ตื่นเต้น ยินดี และเกรงกลัวปะปนกันไปหมด
“ใช่แล้ว ! ” นักพรตหยวนเจี้ยนอุทานออกมา
อักษรเพียงตัวเดียวแต่กลับแฝงเจตจำนงแห่งกระบี่ได้ทรงพลังเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่รังสรรค์ภาพนี้แตกฉานในวิถีแห่งกระบี่เพียงใด
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นักพรตหยวนเจี้ยนก็ค่อย ๆ เปิดภาพนั้นด้วยมือที่สั่นเทา สายตาจดจ้องไปบนตัวอักษร
“ม่าน”
“สายฝน”
“ยาม”
“พลบค่ำ”
“….”
มีประโยคสั้น ๆ กับอักษรโบราณเพียงแค่มิกี่ตัว
แต่ในสายตาของนักพรตหยวนเจี้ยน กลับทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญหายได้ เพราะทุกตัวอักษรนั้นแฝงไว้ด้วยเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ต่างกันออกไป
อักษรตัวแรก เจตจำนงแห่งกระบี่แม้ทรงพลัง แต่ความมืดมนที่ปะทุออกมากลับทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บ
อักษรตัวที่สอง เจตจำนงแห่งกระบี่ดุดันเหลือคณา ปล่อยพลังออกมาได้อย่างแข็งกร้าว
อักษรตัวที่สาม เจตจำนงแห่งกระบี่แม้จะกระจัดกระจาย แต่กลับแผ่ไปด้วยไอสังหารจนน่าตกตะลึง
……
แม้ตัวอักษรทั้งหมดจะแฝงเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ต่างกันออกไป แต่เมื่อภาพถูกกางออกมาจนสุด
ทันใดนั้น !
มิเพียงแต่ลู่อู๋ซวง แม้แต่นักพรตหยวนเจี้ยนที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งระดับอาจารย์ก็ยังถูกดูดเข้าสู่แดนรู้แจ้งในภาพไปด้วย
“ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว ! ”
เพียงมินาน เส้นผมและเสื้อคลุมของนักพรตหยวนเจี้ยนก็ปลิวไสวขึ้น ด้านหลังปรากฏกระบี่โบราณเล่มหนึ่งที่มีลำแสงเปล่งประกาย พร้อมคลื่นพลังแกร่งกล้าที่พวยพุ่งออกมา
เพียงพริบตา ปราณกระบี่สีทองก็ปรากฏขึ้นรอบกาย พลังที่แข็งแกร่งปะทุออกมา ดูราวกับเซียนยอดกระบี่
“ดูเหมือนอาจารย์จะรู้ซึ้งขึ้นมิน้อย มิแน่ว่าอาจบรรลุคอขวดที่ติดอยู่นับพันปีในครั้งนี้ก็เป็นได้…”
ลู่อู๋ซวงเห็นภาพตรงหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี
แต่วินาที่ต่อมาลู่อู๋ซวงก็ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจด้วยท่าทางเศร้าหมอง
‘อักษรพู่กันภาพนี้แฝงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่เอาไว้มากมาย แต่แดนที่ข้าบำเพ็ญเพียรอยู่ตอนนี้ ทำให้ข้าแตกฉานวิถีกระบี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น’
และเมื่อเห็นว่านักพรตหยวนเจี้ยนมีสัญญาณที่จะบรรลุการบำเพ็ญเพียร ลู่อู๋ซวงจึงได้ถอยออกไปด้านนอกตำหนัก
“ศิษย์น้องทั้งหลาย ตอนนี้ท่านอาจารย์มีสัญญาณที่จะบรรลุแล้ว ต่อจากนี้พวกเจ้าจะต้องคอยคุ้มกันที่นี่เอาไว้ หากอาจารย์มิเดินออกมาเอง ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปในตำหนักได้แม้แต่ก้าวเดียว ! ”
“ศิษย์พี่ลู่ อาจารย์จะบรรลุแล้วจริง ๆ หรือขอรับ ? ”
“พวกเจ้าเพียงแค่เฝ้าที่นี่เอาไว้ให้ดี รอจนอาจารย์ออกมาพวกเจ้าก็จะได้รู้เอง”
ลู่อู๋ซวงกำชับศิษย์ที่เฝ้าตำหนักกระบี่อย่างจริงจัง ก่อนเดินจากไป
ขณะนั้นเองก็ได้มีสายรุ้งพาดผ่านมาจากฟากฟ้า จรดลงที่หน้าประตูที่ปิดสนิทของตำหนักกระบี่อย่างพอดิบพอดี
“ท่านเจ้าสำนัก ? ”
“คาราวะเจ้าสำนัก ! ”
“อู๋ซวง คาราวะเจ้าสำนัก”
ผู้ที่มาเยือนก็คือนักพรตฉางเสวียน เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั่นเอง
ศิษย์ยอดเขากระบี่วิญญาณเมื่อเห็นท่านเจ้าสำนักมาด้วยตนเองเช่นนี้ ต่างก็โค้งตัวลงคำนับด้วยความนอบน้อม
นักพรตฉางเสวียนยืนเอามือไพร่หลังพยักหน้ารับรู้ ไอกระบี่ที่แผ่กระจายออกมาจากตำหนักทำให้นักพรตฉางเสวียนอดที่จะมีสีหน้าสงสัยขึ้นมามิได้
“อู๋ซวง ดูท่าทางอาจารย์ของเจ้าคงใกล้จะบรรลุแล้วใช่หรือไม่ ? ” นักพรตฉางเสวียนถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ลู่อู๋ซวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าตอบรับ “เรียนท่านเจ้าสำนัก ดูท่าแล้วอาจารย์มีสัญญาณว่าจะบรรลุจริง ๆ เจ้าค่ะ”
นักพรตฉางเสวียนมองลู่อู๋ซวงด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ก่อนจะเอ่ยว่า “อาจารย์ของเจ้าติดอยู่ในเขตแดนชั้นนี้มาเกือบสองพันปี การที่บรรลุได้ในเวลานี้คงเพราะสาเหตุบางอย่างใช่หรือไม่ ? ”
ลู่อู๋ซวงชะงักงัน ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองนักพรตฉางเสวียน
นักพรตฉางเสวียนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เพียงแค่คิดพลังภายในกายก็ปะทุขึ้นมา
เวลานี้ราวกับเขาใช้เคล็ดวิชาบางอย่าง เพื่อผนึกบริเวณที่เขาและลู่อู๋ซวงยืนอยู่ชั่วคราว
“อู๋ซวง การที่อาจารย์ของเจ้าบรรลุในเวลานี้คงเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าลงเขาไปในครั้งนี้ด้วยใช่หรือไม่ ? ”
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับเอาไว้เช่นนั้น เพื่อมิให้ลู่อู๋ซวงเกิดความหวาดระแวงและหวาดกลัวขึ้น
แน่นอนว่าเขาเองก็สังเกตเห็นท่าทางของลู่อู๋ซวง ตอนที่อยู่ตำหนักไท่เสวียนก่อนหน้านี้เช่นกัน รวมทั้งลู่อู๋ซวงยังเป็นผู้รับผิดชอบการไปรับศิษย์ใหม่ของยอดเขากระบี่วิญญาณที่เมืองเสี่ยวฉือในครั้งนี้อีกด้วย
ลู่อู๋ซวงพยักหน้าอย่างลังเล “เรียนท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ลงเขาไปครั้งนี้ บังเอิญได้รับโอกาสบางอย่างมาจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“ที่เมืองเสี่ยวฉืองั้นหรือ ? ” นักพรตฉางเสวียนถามออกมาตรง ๆ
ลู่อู๋ซวงพยักหน้ายอมรับ
“อู๋ซวง เจ้าช่วยเล่ารายละเอียดเรื่องที่เจ้าได้พบที่เมืองเสี่ยวฉือให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ? ”
วินาทีนี้แม้แต่นักพรตฉางเสวียนที่มีชีวิตยืนยาวมาหลายพันปี และบำเพ็ญเพียรมาสุดประมาณก็ยังอดที่จะใจเต้นแรงมิได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีอย่างปิดไม่มิด
ลู่อู๋ซวงพยักหน้าก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราว เพราะว่าแม้นางจะเป็นศิษย์สายตรงของยอดเขากระบี่วิญญาณ แต่นางก็เป็นของศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วยเช่นกัน และการที่ท่านเจ้าสำนักถามด้วยตัวเองเช่นนี้ นางย่อมมิอาจที่จะปิดบังได้
เวลาเกือบ 1 ก้านธูปที่นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถามออกมามิหยุด ลู่อู๋ซวงเองก็ได้เล่ารายละเอียดตั้งแต่ออกเดินทางจากเขาไท่เสวียน จนกระทั่งออกจากเมืองเสี่ยวฉือให้นักพรตฉางเสวียนฟังจนหมด
“ฮ่า ๆ ๆ ! ”
เมื่อฟังที่ลู่อู๋ซวงเล่าจนจบ นักพรตฉางเสวียนก็เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา
เขาเชื่ออย่างหมดใจว่าชายหนุ่มเจ้าของร้านของชำฉางชิงผู้นั้นจะต้องเป็นยอดคนอย่างแน่นอน
อีกทั้งยอดคนผู้นี้ยังอนุญาตให้ลู่อู๋ซวงไปขอรับคำชี้แนะได้ตลอดเวลาอีกด้วย นั่นหมายความว่ายอดคนท่านนี้จะยังมิไปจากเมืองเสี่ยวฉือเร็ว ๆ นี้เป็นแน่
นักพรตฉางเสวียนได้ครุ่นคิดก่อนเอ่ยออกมาว่า “อู๋ซวง การที่มียอดคนเช่นนี้มาพักอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเรา อีกทั้งยังยอมชี้แนะแก่เจ้า เช่นนี้จะทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราเจริญรุ่งเรืองไปได้อีกยาวนานนัก”
ลู่อู๋ซวงชะงักไปก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
นักพรตฉางเสวียนประเมินลู่อู๋ซวงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “อู๋ซวง รออาจารย์เจ้าออกมาแล้วให้เขาไปหาข้าด้วยนะ”
“ท่านเจ้าสำนักจะไปแล้วหรือเจ้าคะ ? ” ลู่อู๋ซวงเอ่ยถามด้วยความลังเล
นักพรตฉางเสวียนพยักหน้ายิ้ม ๆ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า
หลังจากลอยขึ้นไปได้มิเท่าไหร่ นักพรตฉางเสวียนก็หันมามองลู่อู๋ซวงอีกครั้ง พร้อมเอ่ยกับนางด้วยท่าทีที่ขึงขังว่า “อู๋ซวง จากนี้ไปเจ้าก็คือผู้สืบทอดหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ! ”
“ห๊ะ ! ”
ไม่เพียงแต่ลู่อู๋ซวงที่ตกตะลึง ศิษย์ยอดเขากระบี่วิญญาณคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน…