ตอนที่ 27 หมดจอกนี้ยังมีอีกจอก
“ท่านเจ้าสำนัก หรือว่านี่ก็คือสุราปราณหิมะที่อาจารย์เคยพูดถึงหรือเจ้าคะ ? ”
รอจนเย่ฉางชิงเดินเข้าไปในครัวแล้ว ลู่อู๋ซวงที่มองไหสุราปราณหิมะตรงหน้าจึงเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
“ถูกต้อง นี่ก็คือสุราปราณหิมะที่ศิษย์น้องหยวนเจี้ยนใฝ่ฝันถึง”
นักพรตฉางเสวียนมองลู่อู๋ซวงพลางยกมือขึ้นลูบหนวดสีขาวของตน “แต่สุราปราณหิมะมิใช่สุราที่คนทั่วไปจะดื่มได้ จากระดับที่ข้าบรรลุในตอนนี้ดื่มมากสุดได้เพียง 3 จอกเท่านั้น หากมากกว่านั้นอีกเพียงจอกเดียวคงได้เมามายอยู่ที่นี่เป็นแน่”
“ร้ายกาจเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ ? ”
ลู่อู๋ซวงเห็นท่าทางภูมิใจของนักพรตฉางเสวียนก็ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ
นักพรตฉางเสวียนอธิบายเพิ่มเติมว่า “สุราปราณหิมะเปรียบดั่งสุราทิพย์ที่หาได้ยากยิ่ง สุราปราณหิมะของข้าไหนี้ถูกเก็บเอาไว้มาเกือบพันปี หากมิใช่เพราะผู้อาวุโสอยากดื่มขึ้นมาแล้วล่ะก็ ข้ามิมีทางนำออกมาเด็ดขาด”
ดวงตาของลู่อู๋ซวงเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “เช่นนั้นข้าขอชิมสักจอกได้หรือไม่เจ้าคะ”
นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป เย่ฉางชิงก็ยิ้มร่าพร้อมถือเนื้อหมูป่าสองจานเดินเข้ามา
จานหนึ่งเป็นตับหมูป่าหม่าล่า ส่วนอีกจานเป็นเนื้อหมูป่ารมควัน
แน่นอนว่าเนื้อเหล่านี้ก็คือหมูป่าที่จู่ ๆ ก็ปรากฏกายอยู่ที่ร้านของชำวันนั้นนั่นเอง
“ท่านเหอ แม่นางลู่ ลองชิมกับแกล้มที่ข้าทำขึ้นเป็นพิเศษดูสิขอรับ”
เย่ฉางชิงเอ่ยเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น พร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
แต่เมื่อนักพรตฉางเสวียนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่แผ่กระจายออกมา จากทั้งในตับหมูและเนื้อหมูรมควัน ก็มีสีหน้าที่แปลกไปทันที
ทั้งตับหมูและเนื้อหมูรมควันล้วนแต่มีกลิ่นอายของปีศาจลอยคลุ้งอยู่เต็มไปหมด
อีกทั้งไอปีศาจนี้ยังมีความบริสุทธิ์อย่างมาก ต้องมาจากปีศาจชั้นสูงเป็นแน่
เทียบเท่ากับชั้นของแดนจินตาน
อีกทั้งเลือดเนื้อของปีศาจที่อยู่ระดับชั้นนี้ ยังเทียบได้กับยารากวิญญาณเลยทีเดียว
ทุกสิ่งในเรือนของท่านเย่ล้วนแล้วแต่เป็นโชคและวาสนาจริง ๆ
เกรงว่าคงมีเพียงผู้อาวุโสเย่เท่านั้นที่สามารถนำเนื้อของปีศาจชั้นสูงมาทำเป็นกับแกล้มได้เยี่ยงนี้
ความคิดของผู้อาวุโสเย่มิใช่สิ่งที่คนอย่างเขาจะเทียบเคียงได้เลย
ขณะที่นักพรตฉางเสวียนกำลังตกตะลึงและถือตะเกียบนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น ลู่อู๋ซวงก็ดมฟุดฟิดเบา ๆ พลันเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้อาวุโสเย่ คิดมิถึงเลยว่าฝีมือทำอาหารของท่านจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้นะเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยว่า “แม่นางลู่ ลองชิมดูเถิด”
ลู่อู๋ซวงพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบไปที่ตับหมูและค่อย ๆ เอาเข้าปาก
ทันทีที่ตับหมูตกลงไปถึงกระเพาะ ลู่อู๋ซวงก็รู้สึกถึงความผิดปกติในทันใด เลือดลมภายในร่างกายปั่นป่วน เส้นลมปราณสุดยอดทั้งแปดและพลังทั่วทั้งร่างกายหมุนเวียนโดยมิอาจควบคุมได้
เพียงพริบตาใบหน้าและขอบตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมา หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อราวกับไปกินยาอะไรผิดมา
“แม่นางลู่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงยิ้มกริ่มพลางเปิดไหสุราออก ก่อนจะรินสุราให้แก่ลู่อู๋ซวงหนึ่งจอก
เย่ฉางชิงเห็นท่าทางของลู่อู๋ซวงก็มิได้ประหลาดใจอันใด เพราะพริกของที่นี่มีรสเผ็ดร้อนที่มิธรรมดา
ครั้งแรกที่เขาได้กินพริกป่าก็มิต่างจากสภาพในตอนนี้ของลู่อู๋ซวงเท่าใดนัก
แต่พอเขาได้กินไปนาน ๆ กลับรู้สึกว่าความเผ็ดของพริกป่าลดลงไปมากทีเดียว
ดังนั้นตอนที่ทำกับแกล้มจานนี้ เขาจึงตั้งใจใส่พริกป่าเข้าไปให้เยอะหน่อย
แต่ที่เขาคาดมิถึงก็คือผู้บำเพ็ญเพียรเช่นลู่อู๋ซวงนั้นมิกินเผ็ดหรืออย่างไร
“อึก ! ”
ลู่อู๋ซวงพยักหน้าให้กับเย่ฉางชิง เนื่องจากพลังและเลือดลมภายในร่างกายปั่นป่วนรุนแรง ทันทีที่ยกจอกสุราขึ้นมา นางจึงกระดกเพียงครั้งเดียวจนหมดจอก
ในที่สุดพลังและเลือดลมภายในร่างกายค่อย ๆ สงบลง แต่กลับรู้สึกมึนเมาขึ้นมาในพริบตา สมองมึนงงก่อนจะฟุบลงไปหลับคาโต๊ะในทันที
เย่ฉางชิงเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา
นักพรตฉางเสวียนที่พึ่งจะได้สติ ก่อนจะตรวจลมหายใจของลู่อู๋ซวงอยู่ครู่หนึ่ง พลางส่ายหน้าอย่างระอา
‘ไม่ว่ากับแกล้มหรือสุราปราณหิมะ ล้วนมิใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรชั้นจินตานทั่วไปเช่นเจ้าจะรับไหว’
‘แต่นี่ก็นับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว’
เย่ฉางชิงจึงเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนพร้อมรอยยิ้มว่า “ดูท่าแม่นางลู่จะคออ่อนมากทีเดียว”
นักพรตฉางเสวียนได้ยินดังนั้นก็มิรู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เย่ฉางชิงยิ้มออกมาก่อนจะรินสุราให้แก่นักพรตฉางเสวียน 1 จอก พลางยกจอกสุราของตนเองขึ้น เป็นสัญญาณให้กับนักพรตฉางเสวียน ก่อนจะดื่มสุราในจอกจนหมด
นักพรตฉางเสวียนหยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงดื่มจนหมดจอกเช่นเดียวกัน
“ท่านเหอ นี่ช่างเป็นสุราชั้นเลิศจริง ๆ ! ” หลังจากได้ดื่มไป 1 จอก เย่ฉางชิงก็อดที่จะเอ่ยปากชมมิได้
สุราปราณหิมะรสชาติหวานล้ำ ให้ความเย็นสดชื่น หลังจากไหลลงไปถึงท้องก็ทำให้รู้สึกสบายไปทั้งร่าง
เพียงแต่เย่ฉางชิงคิดว่าสุราปราณหิมะคงจะเป็นสุราสำหรับบำรุงร่างกายที่หมักขึ้นมาเป็นพิเศษ มิได้มีฤทธิ์ที่แรงมากนัก
เขาคิดว่าต่อให้ดื่มหมดไห ตัวเขาเองก็คงจะมิเมาอย่างแน่นอน
เพราะสุรานี้ต่างจากสุราชิงอี๋ที่เขาหมักเองอยู่มากนัก
แต่ด้วยเห็นแก่หน้าของท่านเหอผู้นี้ เขาจึงได้เอ่ยชมออกมา
นักพรตฉางเสวียนยิ้มออกมา “ท่านเย่อาจจะมิทราบว่าสุราปราณหิมะมีฤทธิ์ที่แรงยิ่งนัก แม้แต่ตัวข้าเองยังดื่มได้มากสุดเพียงแค่ 3 จอกเท่านั้น”
‘ฤทธิ์แรง ? ’
‘3 จอกงั้นหรือ ? ’
‘ทำไมข้ามิเห็นรู้สึกเช่นนั้นเลย ? ’
เย่ฉางชิงเพียงแค่ยิ้มออกมามิได้เอ่ยสิ่งใดอีก จากนั้นก็ได้ยกไหสุราขึ้นและรินให้นักพรตฉางเสวียนและตนเองอีกครั้ง
“ท่านเหอ ดังคำกล่าวที่ว่า มิมีธุระมิมาอารามซานเป่า ในเมื่อวันนี้ท่านมาถึงที่นี่แล้ว มีเรื่องอันใดก็เอ่ยออกมาเถิดขอรับ”
เหอฉางเสวียนถึงกับนำสุราชั้นเลิศของตนออกมาเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นของขวัญในการพบกันแล้ว
เย่ฉางชิงเองก็มีนิสัยมิชอบรับของผู้ใดเพียงฝ่ายเดียวอยู่แล้ว เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจพูดออกมาตรง ๆ เลยจะดีกว่า
“คือ…”
นักพรตฉางเสวียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ท่านเย่ ในเมื่อท่านเอ่ยเช่นนี้ข้าก็จะมิปิดบังอีก ความจริงแล้วข้าชื่นชอบภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงของท่านเย่มากยิ่งนัก เช่นนั้น…”
เย่ฉางชิงยกสุราขึ้นดื่มอีกจนหมดจอก ก่อนจะยิ้มออกมา “ท่านเหอ ท่านมีสายตาเฉียบแหลมจริง ๆ ภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงเป็นผลงานที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด หากท่านชื่นชอบ ข้าก็จะมอบให้ท่าน”
นักพรตฉางเสวียนมีสีหน้าตกตะลึงทันที พร้อมกับหัวใจที่สั่นไหวระรัว ก่อนจะรีบลุกขึ้นคารวะอย่างนอบน้อมทันที “เหอฉางเสวียนขอขอบคุณท่านเย่ขอรับ”
เขามิคาดคิดว่าผู้อาวุโสเย่จะใจกว้างถึงเพียงนี้ ถึงขนาดมอบภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงที่แฝงไปด้วยคลื่นปราณและโชคมหาศาลเช่นนี้ให้กับเขาง่าย ๆ
เช่นนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นคือท่านบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างแน่นอน
อีกทั้งอาจจะรู้ฐานะของเขาตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้
มิเช่นนั้นหากเป็นคนอื่นคงมิทำเช่นนี้แน่
คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใสผู้อาวุโสเย่มากขึ้นไปอีก
เย่ฉางชิงรินสุราให้ตัวเองอีกครั้ง พลางยกขึ้นและเอ่ยว่า “ท่านเหอมาดื่มกันเถิด หมดจอกนี้ยังมีอีกจอก”
นักพรตฉางเสวียนก็ค่อย ๆ ยกจอกสุราขึ้น ก่อนจะดื่มจนหมดจอก