ตอนที่ 28 บุตรสาวข้าโตแล้วจริง ๆ ด้วย
ตามคาด
หลังจากที่นักพรตฉางเสวียนดื่มจอกที่สามเข้าไปแล้ว เขาก็มิมีทีท่าว่าจะดื่มต่ออีกเลย
เย่ฉางชิงเองก็มิได้มีนิสัยชอบคะยั้นคะยอให้ใครดื่มอยู่แล้ว แม้คำพูดของนักพรตฉางเสวียนจะดูมิน่าเชื่อสักเท่าใดนัก แต่เขากลับมิคิดที่จะหยุดดื่มแต่อย่างใด
ขณะที่นักพรตฉางเสวียนดื่มจอกที่สามนั้น ตัวเขากลับดื่มไปแล้วถึงแปดเก้าจอก แต่มิได้รู้สึกมึนเมาเลยแม้แต่น้อย
แม้สุราปราณหิมะนี้จะเป็นสุราที่ดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย แต่ความเย็นสดชื่นยามเมื่อลงไปในท้องนั้น ทำให้เย่ฉางชิงรู้สึกชื่นชอบเป็นอย่างมาก
หลังจากนักพรตฉางเสวียนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยถามอย่างระวังว่า “ผู้อาวุโสเย่ เมื่อครู่ข้าเห็นท่านวางหมากบนกระดานได้ลึกล้ำยิ่งนัก มิทราบว่า…”
ดวงตาของเย่ฉางชิงเป็นประกายขึ้นมาในทันใด ก่อนจะเอ่ยขัดขึ้น “ท่านเหอ ท่านก็เล่นหมากล้อมเป็นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ความจริงแล้วเย่ฉางชิงหลงใหลการเล่นหมากล้อมเป็นอย่างมาก เขาอยากจะหาคนประลองฝีมือด้วยมานานแล้ว
การที่นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นเอง แสดงว่าคงรู้เรื่องการเล่นหมากล้อมอยู่บ้าง
เช่นนี้ก็จะได้สมใจเขาเสียที
นักพรตฉางเสวียนชะงักไปเล็กน้อย พลันยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน “ข้าเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าโอ้อวดต่อหน้าท่านเย่เล่าขอรับ”
‘ถ่อมตัวเยี่ยงนั้นหรือ?’
‘แค่ถ่อมตัวแน่ ๆ ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ! ’
ยิ่งได้ยินนักพรตฉางเสวียนเอ่ยเช่นนี้ เย่ฉางชิงก็ยิ่งรู้สึกสนใจ
“ท่านเหอ ในเมื่อมาที่นี่แล้วเช่นนั้นเรามาเดินหมากด้วยกันสักตาเถิด”
นักพรตฉางเสวียนมีท่าทางเคร่งเครียด ก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม และค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
ทั้งคู่เดินมานั่งคนละฝั่งของกระดาน
เย่ฉางชิงรีบเก็บหมากที่วางอยู่บนกระดานทันที ก่อนจะวางหมากขาวไว้ทางฝั่งของตน และวางหมากดำไว้ที่ทางฝั่งนักพรตฉางเสวียน
“ท่านเหอ เชิญท่านเดินก่อนได้เลย” เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยความกระตือรือร้น
นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าอย่างมิเกรงใจใด ๆ ก่อนจะวางหมากลงที่มุมหนึ่งของกระดาน
เย่ฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงใช้สองนิ้วคีบหมากสีขาวขึ้นมา แล้ววางลงบนมุมที่อยู่ติดกัน
ทั้งสองคนเดินหมากไปมาจนนักพรตฉางเสวียนวางหมากตัวที่เก้าลงไป จิตวิญญาณของเขาก็ถูกดูดเข้าไปในกระดานทันที
พลันฟ้าดินบังเกิดเป็นสีขาวและดำ พลังหยินหยางปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นฟ้าและพื้นดิน ทุกอย่างดูพร่าเลือน
จวบจนพลังหยินหยางจางหายไป ก็มีมัจฉาหยินหยางยักษ์ปรากฏกายขึ้น ก่อนที่พลังอันน่าสะพรึงกลัวจะพุ่งมาหาเขา
เย่ฉางชิงที่กำลังวางแผนเดินหมากอยู่ เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ นักพรตฉางเสวียนมิยอมเดินหมากต่อ จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย
ทันใดนั้นนักพรตฉางเสวียนราวกับต้องมนต์สะกด
ใบหน้าของเขาซีดขาว เส้นเลือดสีเขียวบนขมับปูดโปนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย ? ’
‘เดินหมากเพียงแค่เก้าตา เหตุใดจู่ ๆ ถึงกลายเป็นเหมือนเยี่ยนปิงซินอีกแล้วนะ’
คิดถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็อดที่จะส่ายหน้าไปมามิได้ สีหน้าของเขาเผยความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน
‘แค่จะหาคนเล่นหมากล้อมด้วยมันยากเย็นขนาดนี้เชียวหรือ ? ’
ตึก !
ไม่นานนักพรตฉางเสวียนก็ดึงจิตวิญญาณออกมาจากกระดานหมากล้อมได้สำเร็จ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
การเดินหมากครั้งนี้เกือบทำให้เขาใจสลาย และวิญญาณดับสูญไปเสียแล้ว
ทันทีที่ได้สติ ดวงตาของนักพรตฉางเสวียนก็จับจ้องไปยังคำที่สลักไว้บนกระดานว่า กลเทพ
‘กระดานนี้แฝงไว้ด้วยพลังหยินหยางที่แข็งแกร่งและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเอาไว้ หรือนี่จะเป็นอาวุธเทพจำแลง หรืออาจจะเป็นอาวุธเทพในตำนานกัน ? ’
คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนพลันรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา
“ฝีมือการเดินหมากของข้ายังตื้นเขินนัก ต้องขออภัยผู้อาวุโสอย่างยิ่งขอรับ”
นักพรตฉางเสวียนรวบรวบสติแล้วรีบคำนับเพื่อขออภัยเย่ฉางชิงทันที
เย่ฉางชิงทำได้เพียงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับพลางยิ้มบาง ๆ
นักพรตฉางเสวียนเงยหน้าขึ้นมองเย่ฉางชิงอีกครั้ง “แต่ข้ามีรูปแบบการเดินหมากกระดานหนึ่ง หวังให้ท่านเย่ช่วยคลายความข้องใจให้หน่อยขอรับ”
เอ่ยจบนักพรตฉางเสวียนก็หยิบภาพรูปแบบการเดินหมากสี่มังกรพ่นวารีออกมาจากอกเสื้อ
“รูปแบบการเดินหมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงรับภาพรูปแบบการเดินหมากมาจากมือของนักพรตฉางเสวียน และกวาดตามองคร่าว ๆ ก่อนจะยิ้มออกมา “รูปแบบการเดินหมากนี้มิยากอะไร เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงของหมากขาวมีค่อนข้างมาก ทำให้หมากดำจับทางมิถูก เช่นนั้นจึงถูกล้อมเอาไว้จนหมด”
ประกายอันเฉียบแหลมแวบผ่านดวงตาของนักพรตฉางเสวียน “มิทราบว่าท่านเย่พอจะสอนวิธีเอาชนะให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อครั้งที่เขาเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยเยาวชนแห่งชาติ มีรูปแบบการเดินหมากลึกล้ำกว่านี้มิรู้ตั้งเท่าไหร่
สำหรับเขาแล้ว การเอาชนะรูปแบบการเดินหมากนี้ จึงถือว่าเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
แต่นี่ก็ทำให้เย่ฉางชิงได้รู้ว่าในโลกเซียนแห่งนี้หาได้มียอดนักเดินหมากไม่
“ในเมื่อท่านอยากรู้วิธีเอาชนะถึงเพียงนี้ ข้าก็จะอธิบายวิธีแรกจากสิบสองวิธีให้ท่านฟังก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงได้วางหมากบนกระดานตามรูปแบบสี่มังกรพ่นวารี นักพรตฉางเสวียนจึงลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้าง ๆ เย่ฉางชิงก็มองเขาแล้วอธิบายอย่างตั้งใจ
……
……
อีกด้านหนึ่ง
ระหว่างทางไปเมืองชิงเหอ
หลังจากที่หลิวฉางเหอได้ดูภาพที่เย่ฉางชิงมอบให้เยี่ยนปิงซินแล้ว เขาจึงตัดสินใจกลับเมืองหลวงโดยอาศัยค่ายกลห้วงเวลาของเมืองชิงเหอ
ภายในแคว้นต้าเยี่ยนนั้นหากมิถึงคราจำเป็นจริง ๆ ค่ายกลห้วงเวลาจะถูกปิดผนึกเอาไว้ตลอด
เนื่องจากทุกครั้งที่ใช้ค่ายกลห้วงเวลา อย่างน้อย ๆ ต้องใช้ถึง 1,000 ศิลาวิญญาณ อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงราคาเดินทางระหว่างเมืองที่ใกล้ที่สุดอีกด้วย หากระยะทางไกลมากอาจจะต้องใช้ศิลาวิญญาณเป็นสองเท่าเลยทีเดียว
ศิลาวิญญาณ 1 ก้อนมีมูลค่าเท่ากับ 100 ตำลึงทอง การใช้ค่ายกลห้วงเวลาหนึ่งครั้งจึงฟุ่มเฟือยเป็นอย่างมาก
ยิ่งมิต้องพูดถึงระยะทางระหว่างเมืองหลวงกับเมืองชิงเหอที่ห่างกันนับพันลี้เช่นนี้
มิถึง 1 ชั่วยามหลิวฉางเหอก็พาเยี่ยนปิงซินมาถึงหน้าตำหนักอันโอ่โถงหลังหนึ่ง
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตำหนักด้วยรอยยิ้มปลื้มปิติ หลังจากสบตากันครู่หนึ่งจึงได้ก้าวเข้าไปด้านในพร้อมกัน
ขณะนี้กลางตำหนักมีบุรุษท่าทางน่าเกรงขามผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมสีทองลายมังกรยืนเอามือไพล่หลังอยู่
“ถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ”
เยี่ยนปิงซินคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อคำนับอย่างนอบน้อม
“หลิวฉางเหอถวายบังคมฝ่าบาทพะยะค่ะ”
หลิวฉางเหอประสานมือคารวะเล็กน้อย
เขาเป็นถึงมือหนึ่งของจวนผู้กล้ามีพลังแข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นแม้แต่กับฝ่าบาทก็มิจำเป็นจะต้องลงไปคำนับกับพื้นแต่อย่างใด
“ปิงซิน ท่านหลิว ที่นี่มิมีคนนอก พวกเจ้ามิต้องมากพิธีหรอก”
บุรุษที่ยืนอยู่กลางตำหนักคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของต้าเยี่ยน เยี่ยนหยางเหนียนเผยรอยยิ้มบาง ๆ แต่ยังแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจ
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพะยะค่ะ”
เยี่ยนปิงซินและหลิวฉางเหอยืนขึ้น
“ปิงซิน เหตุใดครั้งนี้เจ้าถึงได้กลับมาเร็วนักล่ะ ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอบอุ่น พลางมองเยี่ยนปิงซินที่ยืนยิ้มด้วยแววตาเอ็นดู
“ลูกคิดถึงเสด็จพ่อเพคะ จึงได้รีบกลับมา”
เยี่ยนปิงซินรีบเดินไปข้างกายของเยี่ยนหยางเหนียน ก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของเยี่ยนหยางเหนียนไว้อย่างออดอ้อน
“คำพูดนี้ใช้กับเสด็จแม่เจ้าได้ แต่ใช้กับพ่อมิได้หรอกนะ”
เยี่ยนหยางเหนียนแกล้งถลึงตาใส่เยี่ยนปิงซิน ก่อนเอ่ยถามต่อว่า “ไหนว่ามาสิ ครั้งนี้ไปก่อเรื่องอะไรมาอีก ถึงได้กลับมาด้วยค่ายกลห้วงเวลาเยี่ยงนี้”
หลิวฉางเหอจึงอธิบายพร้อมรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงเก้าออกไปข้างนอกครั้งนี้หาได้ก่อเรื่องอันใดไม่พะยะค่ะ”
“ในพระทัยของเสด็จพ่อ ลูกเป็นคนเช่นนั้นหรือเพคะ ? ” เยี่ยนปิงซินมองเยี่ยนหยางเหนียนด้วยแววตาน้อยใจ
“ตายจริง ครั้งนี้ข้าเข้าใจเจ้าผิดไปหรือนี่”
เยี่ยนหยางเหนียนหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากสบตากับหลิวฉางเหอครู่หนึ่ง ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งว่า “เช่นนั้นเจ้าเล่าให้พ่อฟังหน่อยสิ เพราะเหตุใดเจ้าถึงได้รีบร้อนกลับมาเช่นนี้กัน?”
เยี่ยนปิงซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า “เพราะกลอนบทหนึ่งเพคะ”
“กลอนบทหนึ่งเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เยี่ยนหยางเหนียนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เยี่ยนปิงซินพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ดอกเซวียนเฉ่าขึ้นเต็มริมทาง บุตรที่รักเดินทางท่องทั่วหล้า มารดาอิงแอบอยู่หน้าประตู กลับมิเห็นบุตรหวนกลับมา”
เยี่ยนหยางเหนียนได้ฟังก็ตกตะลึงทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันไปหมด
เยี่ยนหยางเหนียนลูบหัวของเยี่ยนปิงซินเบา ๆ หลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “บุตรสาวข้าโตแล้วจริง ๆ ด้วย”