ตอนที่ 40 ตำราเพลงฮั่วฟาน
ทันใดนั้นส่วนลึกภายในใจของถานไถชิงเสวี่ยก็รู้สึกตื่นตะลึงจนถึงขีดสุด
‘อาวุธเทพ’
‘พิณที่มีนามว่ากลเทพตัวนี้ จะต้องเป็นอาวุธเทพอย่างแน่นอน ! ’
นางคาดมิถึงว่าจะได้มาพบอาวุธเทพที่แม้แต่ในคัมภีร์โบราณยังมีบันทึกอยู่ประปราย พร้อมกับยอดปรมาจารย์เช่นนี้ได้
ทั้งยังเป็นจอมปราชญ์ที่แตกฉานในวิถีดนตรีขั้นสูงอีกด้วย
นี่ช่างเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้นางจริง ๆ !
มิแน่อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตของนางก็เป็นได้ !
“แม่นาง ในเมื่อท่านอยากให้ข้าชี้แนะเรื่องดนตรี เช่นนั้นเจ้าลองดีดให้ข้าฟังสักเพลงก่อนก็แล้วกัน” เย่ฉางชิงเอ่ยกับถานไถชิงเสวี่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ถานไถชิงเสวี่ยมิเพียงแต่นิ่งอึ้ง แต่ยังรู้สึกทำตัวมิถูกอีกด้วย
หากคนตรงหน้าเป็นผู้อื่น นางมิมีท่าทางประหม่าอย่างแน่นอน แต่การอยู่ต่อหน้าปรมาจารย์เช่นนี้จะให้นางมิรู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไรกัน ?
ถานไถชิงเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ พยายามทำจิตใจให้สงบหลังนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“เช่นนั้นผู้น้อยขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยของตัวเอง ให้ผู้อาวุโสช่วยฟังหน่อยนะเจ้าคะ”
ถานไถชิงเสวี่ยเผยรอยยิ้มตราตรึงใจให้แก่เย่ฉางชิง พร้อมกับค่อย ๆ ปลดพิณที่สะพายเอาไว้บนหลังลงมา
เย่ฉางชิงเห็นดังนั้น จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากแม่นางมิรังเกียจล่ะก็ จะใช้พิณตัวนี้ของข้าก็ได้นะขอรับ”
เย่ฉางชิงมั่นใจในพิณกลเทพตัวนี้ของตัวเองมาก
แม้ตัวของพิณจะทำจากไม้ที่นายพรานจางเก็บมาจากดินแดนโบราณ ขณะออกไปล่าสัตว์ แต่เมื่อนำมาทำเป็นพิณแล้วกลับมีเสียงที่ไพเราะยิ่งนัก
ส่วนอักษรโบราณคำว่ากลเทพที่สลักอยู่บนตัวพิณนั้น มีมาตั้งแต่ตอนที่นายพรานจางนำไม้มาให้เขาแล้ว
และเพราะสองคำนี้เป็นคำที่ตรงใจเย่ฉางชิงอย่างมาก เขาจึงมิได้ลบมันออกไปแต่อย่างใด
อีกทั้งสายของพิณยังทำมาจากเส้นไหมของตัวไหมที่เขาเลี้ยงเองกับมืออีกด้วย
เช่นนั้นสำหรับเย่ฉางชิงแล้วพิณโบราณตัวนี้จึงมีความหมายยิ่งนัก จะเรียกว่าเป็นเลือดเนื้อของเขาเลยก็ว่าได้
นี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงมิยอมขายพิณนั่นเอง
และหลังจากที่เย่ฉางชิงมีนิมิตปลุกตื่นดัชนีทองคำในวันนั้น ก็พบว่าความแตกฉานทั้งในด้านอักษรพู่กัน ภาพวาด พิณ และหมากล้อมของเขา ล้วนแต่มีความก้าวหน้าขึ้นทั้งสิ้น
มิหนำซ้ำเขายังพบว่าเสียงของพิณตัวนี้ยังไพเราะขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
“ใช้พิณของท่านหรือเจ้าคะ ? ”
ความจริงแล้วหลังจากได้ยิน ถานไถชิงเสวี่ยก็รู้สึกตกใจอยู่มิน้อย
ในโลกของผู้ฝึกตน อาวุธจะถูกแบ่งออกเป็น : อาวุธวิเศษ สมบัติวิเศษ อาวุธวิญญาณ สมบัติวิญญาณ สมบัติโบราณ อาวุธเทพจำแลง อาวุธเทพ เป็นต้น
อาวุธวิเศษและสมบัติวิเศษจะพบเห็นได้ง่ายที่สุด อาวุธวิญญาณและสมบัติวิญญาณค่อนข้างหายาก ส่วนสมบัติโบราณและอาวุธเทพจำแลงล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น
ส่วนอาวุธเทพรวมถึงสมบัติที่อยู่สูงกว่าอาวุธเทพ มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์โบราณเพียงบางเล่มเท่านั้น
จะบอกว่าเป็นเพียงตำนาน แต่กลับมิเคยมีใครมีวาสนาได้เห็นเลยก็ว่าได้
บางทีสมบัติไร้เทียมทานเหล่านี้อาจมีเพียงบนสรวงสวรรค์เท่านั้นก็เป็นได้
แต่บัดนี้ กลับมีหนึ่งในอาวุธเทพมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
อีกทั้งผู้อาวุโสท่านนี้ยังให้นางได้บรรเลงเพลงด้วยอาวุธเทพชิ้นนี้อีกด้วย
แค่คิดภายในใจของถานไถชิงเสวี่ยก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจอย่างมาก
เมื่อเห็นเย่ฉางชิงพยักหน้าเป็นการยืนยันให้อีกครั้ง ถานไถชิงเสวี่ยก็ลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าโต๊ะยาวด้วยความระมัดระวัง
“ผู้อาวุโส ข้าน้อยนามว่าถานไถชิงเสวี่ย หากผู้อาวุโสมิรังเกียจ ต่อไปเรียกข้าน้อยว่าชิงเสวี่ยก็ได้เจ้าค่ะ”
ถานไถชิงเสวี่ยค่อย ๆ ยื่นนิ้วเรียวงามออกไป ก่อนจะชะงักค้างไว้พลางเงยหน้าขึ้น และเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ถานไถชิงเสวี่ยงั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “หิมะหลอมละลายพันภูผาเขียวขจี ริมแม่น้ำเดือนสองดอกวสันตร์ผลิบาน ชิงเสวี่ยเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ ”
ถานไถชิงเสวี่ยชะงักไปทันที
ช่างสมกับเป็นปรมาจารย์จริง ๆ เพียงคำพูดธรรมดาที่ออกมากลับเต็มไปด้วยความไพเราะราวกับบทกวี
ถานไถชิงเสวี่ยยกยิ้มอ่อนโยน นิ้วเรียวยาวยื่นออกไปลูบไล้บนพิณเบา ๆ พลันเกิดเสียงกังวานใสและไพเราะขึ้นมา
มินานนิ้วเรียวงามก็กรีดลงบนสายพิณแผ่วเบา ท่วงทำนองอันไพเราะดังขึ้นอย่างมิเร่งเร้า
เย่ฉางชิงยืนเอามือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นฟ้าดวงตาทั้งสองข้างหลับพริ้ม ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ
เสียงพิณเสนาะหูแม้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ในสายตาของเย่ฉางชิงการบรรเลงได้เช่นนี้ก็นับว่าหาได้ยากแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้เยี่ยนปิงซินก็เคยบอกว่านางนั้นสามารถดีดพิณได้ แต่สุดท้ายกลับหาความไพเราะมิได้
ต่อมาได้เขาคอยชี้แนะให้ จึงพอดีดได้ไพเราะขึ้นมาบ้าง
แต่หากเทียบกับถานไถชิงเสวี่ยแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันมากนัก
หลังจากผ่านไปได้ครึ่งก้านธูป เพลงที่ถานไถชิงเสวี่ยบรรเลงอยู่ก็จบลง
บางทีอาจเป็นเพราะพิณกลเทพตัวนี้ ทำให้ถานไถชิงเสวี่ยรู้สึกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่นางเล่นเพลงนี้ได้ไพเราะที่สุด ตั้งแต่ที่เคยดีดมาเลยก็ว่าได้
มิเพียงเท่านั้นนางยังรู้สึกว่าความแตกฉานในวิถีดนตรีของนางยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ความรู้สึกนี้ช่างดีเหลือเกิน สมกับที่เป็นอาวุธเทพในตำนานจริง ๆ
“ผู้อาวุโส ข้าบรรเลงเพลงจบแล้วเจ้าค่ะ”
ถานไถชิงเสวี่ยหันไปถามเย่ฉางชิงอย่างระมัดระวังถ้อยคำ “มิทราบว่าข้ายังมีจุดบกพร่องที่ใดหรือไม่เจ้าคะ ? ”
เย่ฉางชิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “จุดบกพร่องส่วนใหญ่มิชัดเจนนัก แต่ละคนย่อมมีจุดบกพร่องที่แตกต่างกันไป”
“เอาเช่นนี้แล้วกันข้าจำเพลงที่เจ้าเล่นเมื่อครู่ได้แล้ว เจ้าลองตั้งใจฟังที่ข้าเล่น แล้วสังเกตความแตกต่างดูก็แล้วกัน”
เอ่ยจบเย่ฉางชิงก็เดินไปด้านข้างโต๊ะที่ถานไถชิงเสวี่ยนั่งอยู่
ถานไถชิงเสวี่ยพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
เป็นดังที่ผู้อาวุโสกล่าวไว้จริง ๆ ดนตรีเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนสุดประมาณ
บางครายามที่นางฝึกแม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังมิอาจช่วยตอบปัญหาได้เช่นกัน
ในเมื่อบัดนี้ท่านผู้อาวุโสยอมเล่นเพลงที่นางได้ศึกษามาจากแดนลับด้วยตนเอง นางย่อมตั้งใจฟังให้ดีอยู่แล้ว
ถานไถชิงเสวี่ยจึงลุกขึ้นยืน เพื่อให้เย่ฉางชิงนั่งลงแทนที่นาง
นิ้วเรียวขาวของเขายืนออกไปลูบสายพิณแผ่วเบา ก่อนจะหลับตาลงและเริ่มบรรเลงเพลง
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงก็ทำให้ถานไถชิงเสวี่ยเห็นภาพนิมิตเข้าโดยบังเอิญ
ขณะที่นิ้วเรียวยาวของเขากรีดลงบนสายลำแสงที่มีสีสันมากมายพลันก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับเสียงกังวานที่ดังออกมา
ปราณมากมายลอยวนอยู่รอบกาย เป็นประกายระยิบระยับ
ขณะเดียวกันผมที่ยาวถึงกลางหลังของเขาก็พลิ้วไหว อาภรณ์โบกสะบัด ราวกับเทพเซียนจากสรวงสวรรค์กำลังนั่งบรรเลงท่วงทำนองแห่งทวยเทพ
ทำให้คนที่ได้ฟังจิตใจสงบและอารมณ์ปลอดโปร่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เย่ฉางชิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นหลังจากเสียงพิณจางหายไป แต่กลับเห็นถานไถชิงเสวี่ยกำลังหลับตาแน่น คิ้วขมวดมุ่นราวกับกำลังติดอยู่ในความคิดบางอย่าง
เย่ฉางชิงเห็นท่าทางของถานไถชิงเสวี่ยเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ดูท่านางคงจะรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเองแล้วกระมัง จึงได้กำลังตั้งใจซึมซับอยู่เยี่ยงนี้
จนเวลาเคลื่อนผ่านชั่วหนึ่งก้านธูป ถานไถชิงเสวี่ยจึงได้ลืมตาขึ้น
ในตอนนั้นเองใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของนางก็เต็มไปด้วยความยินดี
ดวงตาอันงดงามของนางสั่นระริก ก่อนจะเพ่งสมาธิและค่อย ๆ หยิบตำราเพลงโบราณเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
‘ตำราเพลงฮั่วฟาน ! ’