ตอนที่ 11 พูดเสียหาย
หัวหน้าหมู่บ้านส่ายหน้า ในใจรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องของสกุลไป๋ ไม่เหมาะที่เขาจะเข้าไปยุ่ง
“เวรกรรม มีบาดแผลไปทั่วทั้งตัว…” เขาเดินเข้าไปดูบาดแผลของสองแม่ลูกจ้าวซื่อ แล้วเรียกลุงหู “พวกนางสองแม่ลูกอาศัยอยู่ในเรือนผุพัง ลมเข้าฝนรั่วเช่นนี้ไม่เหมาะจะรักษาบาดแผลนัก เหล่าหู ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน พาพวกนางสองคนไปอยู่กับเจ้าสักสองสามวันเถิด”
แม้จ้าวหลานจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ก็ซื่อสัตย์มาโดยตลอด ลุงหูก็เป็นคนมั่นคงเช่นกัน เหล่าเพื่อนร่วมหมู่บ้านเห็นหัวหน้าหมู่บ้านพูดดังนั้น ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากความ ได้แต่กระจายตัวกันไปเป็นกลุ่มๆ
ไป๋จื่อมองความหวังดีที่แท้จริงของลุงหูและหัวหน้าหมู่บ้านออก จากนั้นก็มองจ้าวหลาน ผู้เป็นมารดามีความกังวลอยู่ตลอด นางเป็นหญิงแต่งงานที่ไร้สามี ลูกสาวก็อายุไม่น้อยแล้ว สกุลหูมีเพียงบุรุษสองคน หูจ่างหลินและหูเฟิงอยู่กันตามลำพัง หากนางพาลูกสาวไปอยู่จริงๆ ก็อาจจะมีคำพูดไม่น่าฟังแพร่สะพัดออกไป นางอายุเท่านี้แล้วก็ช่างเถิด เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าไป๋จื่อยังเด็ก ในอนาคตนางยังต้องหาสกุลดีๆ แต่งเข้าไป ไม่อาจถูกคำพูดลมปากทำลายชื่อเสียงได้
นางตัดสินใจ แล้วกล่าวกับลุงหูว่า “พี่หู ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ขอบคุณความหวังดีของพวกท่าน ในเมื่อแยกบ้านไม่ได้ เช่นนั้นพวกข้าก็จะอยู่ต่อ ข้ากับจื่อเอ๋อร์ล้วนบาดเจ็บทั้งคู่ ไปที่ใดล้วนเป็นภาระ อยู่ต่อก่อนก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ”
หูจ่างหลินและหัวหน้าหมู่บ้านต่างรู้ความกังวลของนาง และต่างก็เข้าใจทางเลือกของนางเช่นกัน ถึงอย่างไรชื่อเสียงของสตรีก็ยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง เกี่ยวพันถึงความสุขตลอดชีวิต ไม่อาจทำทีเล่นทีจริงได้แม้สักนิด
ทั้งสองคนกำลังจะบอกลา แต่กลับได้ยินเสียงฟ้าร้องดังลั่นจากบนท้องฟ้า ตามมาด้วยเสียงลมกรรโชกอย่างบ้าคลั่ง พัดเอาเศษดินเศษทรายในลานบ้านขึ้นมา ทำให้คนต้องหรี่ตาลงเลยทีเดียว
หลายคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร เพียงได้ยินเสียงโครมครามและเปราะหักดังขึ้น ตอนที่พวกเขาหันหน้าไปมอง เรือนผุพังที่ยากจะอาศัยอยู่ได้ก็พังทลายจนสิ้นแล้ว
เรือนผุพังนี้ไม่ได้ถูกลมคลั่งโหมพัดเป็นครั้งแรก ทุกครั้งในอดีตล้วนเป็นจ้าวหลานพาจื่อเอ๋อร์ไปหลบฝนหรือนอนหลับสักคืนในห้องโถงของเรือนใหญ่ ครั้นฝนหยุดแล้ว ก็ค่อยซ่อมเรือนผุพังของตนเองเพื่ออาศัยอยู่ต่อ ทว่าวันนี้นางมือหักแล้ว จะยังซ่อมเรือนได้อย่างไร
ไม่ต้องพูดถึงเจ้าใหญ่และเจ้ารองที่ยังไม่กลับมา ถึงจะกลับมาแล้ว เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดยอมช่วยนางเช่นกัน
เห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว หูจ่างหลินก็รีบกล่าวว่า “จ้าวหลาน เกรงว่าเรือนนี้ของเจ้าคงจะซ่อมไม่ได้ในทันที เอาอย่างนี้ ด้านหลังบ้านของพวกข้ามีเรือนเหลืออยู่หลังหนึ่ง แม้จะไม่เรียบร้อยมาก แต่ก็นับว่าอยู่อาศัยได้ อยู่ด้านนอกบ้านของข้าเช่นนี้ คงไม่ทำให้เกิดคำพูดเสียหายอะไร เจ้าไปอยู่ที่นั่นสักสองสามวันไม่ดีกว่าหรือ”
ครั้นหัวหน้าหมู่บ้านได้ยิน เขาก็รีบโน้มน้าว “ความคิดนี้ดีนัก ข้ารู้จักเรือนนั้น เป็นเรือนไม้หลังหนึ่ง อย่างน้อยก็ป้องลมกันฝนได้ อีกอย่างมือของเจ้าก็บาดเจ็บ ไป๋จื่อก็มีแผลทั่วทั้วตัว หากพานางไปนอนที่ชื้นแฉะ คงจะไม่ดีกับอาการบาดเจ็บของพวกเจ้าอย่างยิ่ง”
จ้าวหลานมองเรือนใหญ่ ประตูปิดสนิท ตามสัญชาตญาณของนาง พวกเขาลงกลอนจากด้านในแล้วแน่นอน วันนี้ถึงแม้นางจะพาจื่อเอ๋อร์ไปนอนพื้นชื้นแฉะในห้องโถงก็คงจะไม่เหมาะสม
นางมองจื่อเอ๋อร์อีก ตนเองน่ะช่างเถิด ทว่าบุตรสาวมีบาดแผลเต็มตัว จะทนลมแรงฝนหนาวเย็นทั้งคืนได้อย่างไรกัน
ในที่สุดนางก็กัดฟัน พลางพยักหน้า “พี่หู ข้าขอขอบคุณท่าน”
หูจ่างหลินโบกมือด้วยความเบิกบาน “มีอะไรต้องขอบคุณกันเล่า แค่บ้านเก่าว่างๆ เท่านั้น พวกเจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปช่วยพวกเจ้านำผ้าห่มฝ้ายมา ในเรือนข้ามีเหลือเฟือทีเดียว” เขาพูดแล้วก็รีบร้อนไปหอบผ้าห่มฝ้ายผืนบางเต็มเตียงออกมา รวมถึงกะละมังไม้เก่าสองใบ
……….
ตอนที่ 12 บุรุษรูปงามน่าดึงดูด
ไป๋จื่อก็ลอดเข้าไปเก็บเสื้อผ้าที่มักจะใส่อยู่บ่อยๆ ออกมาสองสามตัว
หัวหน้าหมู่บ้านรับกะละมังไม้ในมือของหูจ่างหลิน รีบกล่าวว่า “รีบไปเถิด ข้าจะไปส่งพวกเจ้าสองแม่ลูก อีกเดี๋ยวฝนน่าจะตกห่าใหญ่”
จ้าวหลานตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วรีบจูงจื่อเอ๋อร์ตามพี่หูและหัวหน้าหมู่บ้านออกจากประตูลานบ้าน
เพิ่งเดินออกไปได้ครึ่งทาง ฝนก็ตกลงมา พวกเขาวิ่งสั้นๆ ไปถึงบ้านของหูจ่างหลิน ก่อนที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดว่า “พวกเจ้าสองแม่ลูกหลบฝนอยู่ที่นี่ก่อน อีกเดี๋ยวฝนหยุดแล้วค่อยไปเก็บกวาดบ้าน ผ้าห่มจะได้ไม่เปียกฝน”
จ้าวหลานตอบตกลงเต็มปากเต็มคำทันที ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านยืมเสื้อกันฝนของหูจ่างหลิน แล้วฝ่าฝนกลับบ้านไป
หูจ่างหลินนำจ้าวหลานและไป๋จื่อไปนั่งในบ้าน แต่ก้นยังไม่ทันจะได้หย่อนลง ก็ได้ยินเสียงคล้ายกับมีบางอย่างเคลื่อนไหวดังมาจากด้านหลังลานบ้าน พวกนางจึงรีบตามเจ้าบ้านไปตรวจดู
ที่แท้เป็นหูเฟิงที่เพิ่งกลับมาจากที่ดิน เขากำลังนั่งเปลือยท่อนบนอยู่ใต้ชายคาลานบ้านด้านหลัง ซักเสื้อผ้าที่เปียกเหงื่อจนชุ่มอยู่
หยดน้ำฝนตกกระทบท่อนบนของชายหนุ่มที่มีรูปร่างแข็งแรง หยดน้ำฝนเหมือนผลึกหินไหลลงด้านล่างไม่ขาดสาย จากแผ่นหลังเกลี้ยงเกลา ทอดยาวเข้าไปในขอบกางเกงสีเขียวเข้ม ช่างน่าดึงดูดอย่างสุดขีด
ผิวที่ตอนกลางวันตากแดดจนดำคล้ำไม่ได้ลดความหล่อเหลาบนใบหน้าเลยสักนิด เพราะเขามีใบหน้าที่เพียงพอจะทำให้หญิงสาวล้วนใจเต้น
ไป๋จื่อกลืนน้ำลาย ละสายตาออกจากเรือนร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มอย่างยากลำบาก
ลุงหูหัวเราะ “หูเฟิง จากวันนี้เป็นต้นไป อาสะใภ้หลานและจื่อเอ๋อร์จะมาพักในเรือนไม้ของสกุลเรา ตอนนี้ฝนตกหนัก จึงให้พวกนางมาหลบฝนก่อน”
หูเฟิงหันหน้ามองไปยังจ้าวหลาน ก่อนจะพยักหน้าให้นาง จากนั้นก็กวาดสายตามองไป๋จื่อ สายตาของเขาไม่ได้รั้งรอนาน ก่อนจะซักเสื้อผ้าของเขาต่อ
ลุงหูกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าไปใส่ใจ ปกติหูเฟิงเขาไม่ค่อยชอบพูดจา ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับพวกเจ้าหรอกนะ”
จ้าวหลานยิ้ม พลางพยักหน้า “ข้ารู้ดี ครั้งก่อนข้าไปเก็บผักป่า เกือบจะตกจากเขา ก็เป็นหูเฟิงเนี่ยแหละที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย”
ลุงหูหัวเราะฮ่าๆ เสียงหนึ่ง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่ ข้าไม่เคยได้ยินเขาพูดมาก่อนเลย เช่นนั้นพวกเจ้านั่งสักพักก่อน ข้าจะไปทำอาหารเย็น กินข้าวเย็นเสียที่นี่แล้วค่อยไปพักผ่อนในเรือนไม้แล้วกัน”
เมื่อไป๋จื่อได้ยินคำว่าทำอาหาร นางก็ดึงแขนเสื้อกล่าวทันที “ข้าทำเองๆ ข้าขอทำอาหารเย็น ห้องครัวอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”
ลุงหูรีบโบกมือ “ไม่ต้องๆ เจ้ามีบาดแผลเต็มตัว ไปพักก่อน แผลหายดีแล้วเจ้าค่อยทำ ถึงตอนนั้นข้าไม่ห้ามเจ้าแน่นอน”
ไป๋จื่อหาห้องครัวเจอแล้ว นางเดินตรงเข้าไป ก่อนจะพูดโดยที่ไม่หันหน้ากลับไป “แผลข้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นแผลภายนอกบนผิวหนังทั้งนั้น ผ่านไปไม่กี่วันก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
ลุงหูหันไปมองจ้าวหลาน อีกฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจ บุตรสาวบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้ ยังจะแย่งทำอาหารอยู่อีก น่าจะเป็นเพราะรางเกรงใจที่ต้องกินข้าวในบ้านของคนอื่นเปล่าๆ ปลี้ๆ “นางอยากทำก็ให้นางทำเถิด เพียงแต่ฝีมือไม่ได้เรื่องอยู่บ้าง อีกเดี๋ยวคงต้องขอท่านให้อภัยด้วย”
ฝีมือทำอาหารของนางแย่มากหรือ?
ไป๋จื่อลอบหัวเราะ ที่ฝีมือแย่คือไป๋จื่อคนก่อนต่างหาก ไป๋จื่อในตอนนี้เป็นคนมีเสน่ห์ปลายจวัก เรื่องการทำอาหารไม่ได้ด้อยไปกว่าพ่อครัวใหญ่ในโรงแรมเก้าดาวเลย
นอกจากหม้อ ชาม กระบวย และกะละมังแล้ว ในห้องครัวไม่มีอะไรสักอย่าง แม้แต่ผักก็ไม่เห็นสักต้น
นางหาอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็พบข้าวก้นถังในถังขนาดเล็ก กะจากสายตาแล้ว ข้าวเหล่านี้ปกคลุมเพียงก้นถัง อย่าว่าแต่ได้ข้าวสำหรับสี่คนแล้ว แค่สองคนก็ไม่พอกินแล้ว ไป๋จื่อในความทรงจำไม่เคยได้กินข้าวขาวหอมๆ เลยสักครั้ง ทั้งวันได้กินเพียงน้ำแกงข้าว หรือไม่ก็โจ๊กที่ใสจนไม่รู้จะใสอย่างไร
สกุลไป๋มีที่นาห้าหมู่ หากเก็บทั้งหมดเป็นเสบียง เลี้ยงดูทั้งครอบครัวให้กินข้าวก็นับว่าเพียงพอ เพียงแต่สกุลไป๋มีไป๋เสี่ยวเฟิงที่ต้องเรียนหนังสือ