ตอนที่ 37 ชีวิต
ไป๋จื่อมองโสมภูเขาที่อยู่ในมือ โสมภูเขาอายุร้อยปีเช่นนี้ หากอยู่ในยุคปัจจุบันล่ะก็ คาดว่าอย่างน้อยต้องขายได้มากกว่าสองแสน
ในศตวรรษที่ยี่สิบสาม มีเกษตรกรปลูกโสมโดยเฉพาะ โสมที่คนงานเช่นนั้นปลูกออกมาล้วนมีคุณภาพดี อย่างมากก็ขายได้หนึ่งร้อยถึงหนึ่งพันต่อต้น ส่วนโสมป่าที่แท้จริง แทบจะถูกขุดไปจนสูญพันธุ์แล้ว โสมภูเขาที่ขายอยู่ในตลาด เกือบจะเป็นของปลอมทั้งสิ้น และคนทั่วไปยากจะแยกออก
“หูเฟิง เจ้าว่าโสมภูเขาต้นนี้จะขายได้เงินเท่าไร” นางถามยิ้มๆ
หูเฟิงส่ายศีรษะ “ไม่รู้”
“ไม่ว่าจะขายได้เท่าไร ข้าจะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง”
ชายหนุ่มพลันเลิกคิ้ว เด็กสาวใจกว้างนัก ครั้นคิดว่าตนเองคุ้มครองนางตลอดทาง แบ่งกับนางครึ่งหนึ่งก็สมควรแล้ว จึงไม่ได้ปฏิเสธอะไร ถึงอย่างไรที่บ้านของเขาก็ยากจนนัก ต้องการเงิน
นางใช้ใบไม้ห่อโสมอย่างดี แล้วใส่ลงไปในตะกร้า จากนั้นก็ปิดด้วยสมุนไพรทั่วๆ ไปจำนวนหนึ่ง ตอนกลับไปจะได้ไม่มีใครเห็นเข้า
บัดนี้นางกับครอบครัวสกุลไป๋ยังไม่ได้แยกบ้านกัน หากพวกเขารู้เรื่องนี้เข้า นางจะยอมทิ้งโสมให้พวกเขาหรือไม่? ย่อมไม่มีทางอยู่แล้ว
ทั้งสองคนกลับไปทางเดิม อาจจะเป็นเพราะโชคกลับมาแล้ว หูเฟิงจับไก่ป่าได้ระหว่างทางกลับอีกสองตัว แม้จะไม่นับว่าได้ราคาเช่นกัน แต่อย่างไรก็พอจะขายนำเงินมาใช้จ่ายภายในบ้านได้บ้าง
หลังจากลงเขา พวกเขาพักดื่มน้ำอยู่ริมลำธาร ถือโอกาสขุดผลบัวหิมะอีกหลุมหนึ่ง ก่อนจะล้างทั้งหมดจนสะอาด แล้วใส่เข้าไปในตะกร้าสะพายหลัง
ไป๋จื่อเห็นว่ามีป่าไผ่เหมาอยู่ผืนหนึ่งไม่ไกล จึงให้หูเฟิงไปตัดไผ่หนาเท่าปล้องแขนคนมาท่อนหนึ่ง
หูเฟิงโยนท่อนไม้ไผ่ลงตรงหน้านาง ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าต้องการมันไปทำอะไร”
นางชี้ไปยังน้ำในลำธารด้านข้าง ยิ้มพลางกล่าว “ท่านลุงหูกับท่านแม่ของข้าทำงานอยู่ในที่นา ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว อากาศก็ร้อนยิ่งนัก น้ำที่นำไปด้วยย่อมมีให้ดื่มไม่เท่าไร น้ำที่นี้เย็นสดชื่นเช่นนี้ พวกเรานำไปให้พวกเขาดื่มคลายร้อนสักหน่อยเถิด”
ชายหนุ่มเข้าใจในทันที “เจ้าเอาใจใส่ทีเดียวนะ” เขาดึงจุกปิดไม้ไผ่ด้านบนออก หลังจากล้างจนสะอาดแล้วก็ใส่น้ำลงไปจนเต็ม เมื่อใส่เข้าไปในตะกร้าสะพายหลัง ก็ค่อยนำใบไม้และหญ้ามาปิดด้านบนไว้
ตะกร้าหนักขึ้นมาก บนไหล่ของไป๋จื่อยังมีบาดแผลอยู่ ทุกย่างก้าวที่สะพายตะกร้านี้อยู่ ล้วนทรมานยิ่งนัก
นางกัดฟันทน ไม่ร้องว่าเหนื่อยเหรือเจ็บเลยตลอดทาง
เดิมทีหูเฟิงเดินอยู่ข้างหน้า ก็ตั้งใจผ่อนฝีเท้าลงแล้ว ทว่าจื่อยาโถวที่อยู่ข้างหลังกลับเดินตามเขาไม่ทันเสียที
เขาหยุดฝีเท้า แล้วหันหน้าไปมองเงาร่างเล็กที่เดินเข้ามาหาเขาทีละก้าว ภายใต้แสงอาทิตย์ยามนี้ บนใบหน้าที่มีร่องรอยฟกช้ำเต็มไปหมดของนาง แผ่กระจายความเข้มแข็งและอดทนที่หาไม่ได้จากสตรีทั่วไป
นางขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเม้มริมฝีปากแน่น สองมือประคองก้นตะกร้าสะพายหลังไว้ ราวกับอยากจะลดน้ำหนักที่แบกอยู่สักเล็กน้อย
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น บนเสื้อสีดำตรงช่วงไหล่ของนาง ก็ยังคงมีรอยเลือดสีแดงสดซึมออกมาอยู่ดี
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเร่งเดินไปหานาง ชายหนุ่มยื่นมือไปยกตะกร้าสะพายหลังไว้ แล้วปลดมันลงมาจากหลังของนาง
ครั้นน้ำหนักบนหลังหายไป นางพลันเงยหน้ามองเขา เหงื่อแทบจะทำให้ดวงตาของนางพร่ามัว ทว่าเงาร่างเลือนรางสูงใหญ่ของเขา ก็ยังคงทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมา
“เจ้าทำอะไร” นางนวดไหล่ที่กำลังเจ็บปวด พลางมองหูเฟิงอย่างไม่เข้าใจ
หูเฟิงหยิบไก่ป่าตัวหนึ่งออกจากในถุงผ้าติดตัว “เจ้าถือสิ่งนี้แล้วกัน ข้าจะสะพายตะกร้าเอง”
เขาแบกกระต่ายป่าสองตัวและไก่ป่าสองตัวอยู่แล้ว ยังมีงูลายสาบคอเขียวตัวใหญ่อีกตัวด้วย ทั้งหมดล้วนเต็มกระเป๋าผ้าทั้งใบ รวมกันแล้วหนักกว่าตะกร้านี้ของนางมาก ตอนนี้เขาต้องแบกตะกร้าไว้ข้างหลังอีก
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงสะพายตะกร้าแล้วหมุนกายเดินต่อ
……….
ตอนที่ 38 งูตายตัวหนึ่ง
นางมองเงาหลังสูงใหญ่ของเขา ฝีเท้ามั่นคง ท่าทางหนักแน่นระหว่างก้าวเดิน ล้วนไม่ใช่ทีท่าที่ชายในป่าคนหนึ่งจะมีได้ จู่ๆ นางก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง หูเฟิงก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำไป แท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรกันแน่?
เมื่อนางดึงสติกลับมา หูเฟิงก็เดินไปไกลแล้ว นางจึงรีบถือไก่ป่าวิ่งสั้นๆ ตามไป
เด็กสาวมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า คาดว่าตอนนี้น่าจะเป็นเวลาประมาณบ่ายโมง นับเป็นยามเว่ย[1]ในภาษาโบราณ
ดวงตะวันในเวลานี้แผดเผาเป็นที่สุด ส่วนใหญ่แล้วคนที่ทำงานในทุ่งนาจะหายไปกันหมด บางคนกลับบ้านไปกินข้าวและพักผ่อน บางคนหาพื้นที่ร่มไม้พักขาและหลบแดด เมื่อความร้อนช่วงนี้กระจายตัวไปบ้างแล้วถึงค่อยเริ่มทำงาน หลีกเลี่ยงอาการไข้ขึ้นสูง อย่างไรก็ได้ไม่คุ้มเสีย
หูเฟิงนำทางไป๋จื่อไปยังที่นาของตระกูลเขา พื้นที่ปลูกผักและที่นาปลูกข้าวสาลีไม่ได้อยู่ด้วยกัน พื้นที่ปลูกผักจะอยู่ใต้ที่ราบพยัคฆ์ ทุกที่ล้วนมีต้นไม้และต้นหญ้า เย็นสบายกว่าที่นามาก และมีร่มไม้มากมายให้ได้ตากลมพักผ่อน มิน่าเล่าคนสกุลไป๋ถึงได้ชอบทำงานในทุ่งนานัก
พวกเขามองเห็นหูจ่างหลินกำลังเกลี่ยดินพร้อมเหงื่อเต็มตัวอยู่ไกลๆ ส่วนจ้าวหลานช่วยเขาพรวนดินอยู่ข้างหลัง แม้จะใช้มือซ้าย ทว่ายังคงทำงานได้คล่องแคล่วมาก ช่วยอีกฝ่ายได้ไม่น้อยเลยจริงๆ
ไป๋จื่อเร่งฝีเท้าเข้าไปหา “ท่านแม่…พวกข้ามาแล้ว”
จ้าวหลานหยุดงานในมือ ก่อนจะหันไปเห็นบุตรสาววิ่งเข้ามาหานาง ใบหน้าเล็กตากแดดจนแดงระเรื่อ เลือดฝาดบนนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในมือถือไก่ป่าที่ไร้ลมหายใจอยู่ตัวหนึ่ง
“วิ่งช้าๆ หน่อย เดี๋ยวจะหกล้มเอา” นางยิ้มพลางวางอุปกรณ์ทำนาในมือลง แล้วเข้าไปจับมือบุตรสาวเอาไว้ ก่อนจะจูงไปนั่งใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง “เจ้าพักอยู่ตรงนี้ พวกข้ายังเหลืองานอีกเล็กน้อย อีกเดี๋ยวทำเสร็จแล้วค่อยกลับไป”
ไป๋จื่อรั้งมารดาไว้ “อย่าไปเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่พักสักหน่อยเถิด ข้าทำเอง” นางยัดไก่ป่าในมือตนใส่อ้อมอกของจ้าวหลาน จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังที่นา เมื่อครู่นางเห็นท่าทางจ้าวหลานทำงานอยู่ไกลๆ เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ทำนาพรวนดินผืนใหญ่ให้เป็นเม็ดเล็กๆ จะได้เพาะปลูกได้สะดวก ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ขณะนี้หูเฟิงก็ปลดตะกร้าที่สะพายหลังอยู่ และกระเป๋าผ้าที่มีข้าวของล้นลงแล้ว เขาพิงศีรษะบนต้นไม้ ทว่าเห็นไป๋จื่อเดินไปในที่นาแล้ว จึงตามไปบ้าง แล้วคว้าอุปกรณ์ทำนาในมือของอีกฝ่ายไว้ “ข้าทำเอง”
เขาแรงเยอะมาก มือข้างหนึ่งหยิบเอาอุปกรณ์ทำนา ส่วนมือข้างหนึ่งก็จับแขนของไป๋จื่อไว้ เพื่อดึงนางไปด้านข้าง
ลุงหูที่เห็นเหตุการณ์อยู่อีกด้าน พลันหัวเราะขึ้นมา “จื่อยาโถวก็เหนื่อยแล้วกระมัง รีบพักอยู่กับแม่เจ้าใต้ต้นไม้เถิด งานเล็กน้อยเช่นนี้ข้ากับหูเฟิงจะทำเอง ไม่นานหรอก”
บนตัวไป๋จื่อมีบาดแผล ความจริงแล้วก็ทำงานหนักอะไรไม่ได้ ท่ายลุงหูพูดเช่นนี้ นางก็ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน เพียงยิ้มกริ่มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไปเตรียมอาหารดีกว่า อีกเดี๋ยวข้าจะมาเรียกพวกท่าน”
เดิมลุงหูอยากถามว่านางได้อาหารมาจากที่ใด ทว่าเมื่อเห็นนางเดินออกจากใต้ต้นไม้ไปด้วยความเบิกบาน เขาก็ไม่ได้ถามมากความ ใจคิดว่าต้องขุดมันเทศกับหูเฟิงจากบนภูเขาได้อีกแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าในผืนป่าเช่นนั้น นางคิดว่าจะทำได้อย่างไร
ลุงหูกับหูเฟิงก้มหน้าก้มตาทำงาน ส่วนไป๋จื่อนำงูพิษตัวใหญ่และยาวออกมาจากในถุงผ้า
และนั่นเกือบจะทำให้จ้าวหลานตกใจจนเป็นลมไป
ครั้นเห็นจ้าวหลานหน้าซีดสะดุ้งโหยงไปอยู่ข้างๆ ไป๋จื่อก็ถืองูในมือแกว่งไกวไปมา พลางหัวเราะร่า “เพียงแค่งูที่ตายไปแล้วเท่านั้น ดูสิทำให้ท่านตกใจแล้ว”
จ้าวหลานเห็นว่างูตัวนั้นตายแล้วจริงๆ คราวนี้ถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่ายังคงไม่กล้าเข้าใจ แค่ชี้งูในมือไป๋จื่อกล่าวว่า “เร็ว โยนมันทิ้งไป”
ไป๋จื่อส่ายศีรษะ “เช่นนั้นไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ อาหารกลางวันของพวกเราในวันนี้ก็คือมัน โยนทิ้งไปได้อย่างไรกัน”
[1] ยามเว่ย (未) เท่ากับเวลาประมาณ 13:00-14.59 น.