ตอนที่ 93 เกี๊ยว
ไป๋จื่อนั่งลงข้างกายนาง จับมือของนางเอาไว้ ก่อนจะกล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ท่านแม่ หรือว่าท่านไม่เชื่อข้าแล้ว ต่อจากนี้ชีวิตของพวกเราจะต้องดียิ่งขึ้น สองร้อยตำลึงเงินนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น จากนี้ข้าจะหาเงินให้มากกว่านี้ ให้ท่านมีชีวิตที่ดีอย่างแท้จริง แค่เสื้อผ้าสองชุดจะเท่าไรกันเชียวเจ้าคะ”
จ้าวหลานซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง นางจับมือของบุตรสาวไว้แน่น “ตกลง เด็กดี แค่เจ้ามีจิตใจเช่นนี้ แม่ก็พอใจแล้ว”
รุ่งสางของวันต่อมา ไป๋จื่อตื่นตั้งแต่เช้า หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วก็ไปทำอาหารเช้าที่บ้านของสกุลหูก่อน ตอนที่จ้าวหลานมาถึง โจ๊กสีขาวและผักเคียงส่งกลิ่นหอมก็อยู่บนโต๊ะแล้ว
ลุงหูหรี่ตาเป็นเส้นเล็กๆ ด้วยความเบิกบานใจ “ฝีมือของจื่อยาโถวไม่ธรรมดาจริงๆ เป็นโจ๊กขาวเหมือนกัน ทว่าเจ้าต้มแล้วกลับหอมเป็นพิเศษ ได้กลิ่นแล้วหิวนัก”
ไป๋จื่อวางถ้วยและตะเกียบไว้เรียบร้อยแล้ว ครั้นเห็นหูเฟิงไม่ออกมาจากในห้องเสียที นางจึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “หูเฟิงไปไหนหรือเจ้าคะ ทุกครั้งที่ข้าทำอาหาร เขามักจะมาที่โต๊ะตรงเวลา เหตุใดวันนี้ไม่เห็นเขา”
“เขาบอกว่าจะไปในเมืองกับพวกเจ้า ตอนนี้จึงไปเช่ารถเทียมม้าจากเฒ่าหลี่ เขาไม่ชอบเบียดเสียดกับผู้คน เพื่อไม่ให้เฒ่าหลี่ต้องลากคนอื่นด้วย ก็ทำได้เพียงแต่ต้องเช่ามา” ลุงหูยิ้มกล่าว
“เขาแปลกยิ่งนัก เบียดกันหน่อยคึกคักดีออก ยังได้พูดคุยคลายความกลัดกลุ้มกันด้วย” ไป๋จื่อเอ่ย
ลุงหูส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้จักนิสัยของเขา แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ชอบพูดคุยกับคบค้าสมาคมกับคนแปลกหน้า และไม่ชอบพูดจากับแปลกหน้าด้วย ยิ่งเกลียดเวลาคนแปลกหน้าเข้าใกล้เขา”
ไป๋จื่อคิดถึงใบหน้าเย็นชาของหูเฟิง ก่อนจะยักไหล่ “ก่อนหน้านี้เขาอาจจะมีนิสัยเช่นนั้น ครั้นสูญเสียความทรงจำไปจึงไม่อาจแก้ได้”
ลุงหูถอนหายใจด้วยเช่นกัน และไม่ได้พูดอะไรมากอีก
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดของล้อรถเทียมวัวดังมาจากข้างนอก ลุงหูจึงรีบออกไปต้อนรับ แล้วกล่าวกับหูเฟิงที่เพิ่งเข้าประตูมาว่า “กลับมาแล้วหรือ ล้างหน้าล้างตาเร็วเข้า อาหารพร้อมหมดแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าอาหารพร้อมแล้ว หูเฟิงก็เร่งฝีเท้าในทันที เขาผูกเชือกบนจมูกวัวไว้บนตอไม้ในลานบ้าน จากนั้นก็ตักน้ำออกมาจากในโอ่งกระบวยหนึ่ง ล้างมือและใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่ออย่างรวดเร็ว
อาหารเช้าเรียบง่ายมาก โจ๊กขาวเคียงด้วยผักดอง นางต้มโจ๊กได้ดีมาก นุ่มเนียนและหอมหวาน ส่วนผักเคียงเป็นผักที่เหลือจากในห้องครัว หลังจากลวกแล้วก็หั่นเป็นท่อนเล็กๆ แล้ว นางใช้น้ำมันและเครื่องปรุงต้มในหม้อร้อนๆ จนเป็นน้ำปรุงรส ครั้นเดือดแล้วก็ราดลงบนผักคลุกเคล้าสักหน่อย กลิ่นหอมไม่มีใครเกิน
หูเฟิงกินโจ๊กขาวสามถ้วยหมดรวดเดียว แม้เขาจะกินข้าวค่อนข้างมาก แต่อย่างมากก็กินไปแค่สองถ้วยเท่านั้น วันนี้กลับกินเสียสามถ้วย พอจะเห็นได้ว่าแรงดึงดูดจากผักเคียงของไป๋จื่อมีมากมายเพียงใด
ลุงหูยิ้มกล่าว “จื่อยาโถว ใครสอนเจ้าทำอาหารกัน เกรงว่าไม่ด้อยไปกว่าพ่อครัวใหญ่ของร้านอาหารในเมืองเลย”
ไป๋จื่อทำสีหน้าถ่อมตน “ที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ ข้าเพียงลองผิดลองถูกด้วยตนเองก็เท่านั้น พวกท่านชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
“อีกเดี๋ยวไปในเมือง ซื้อผักที่เจ้าทำอาหารได้ดีที่สุดกลับมาด้วย ในบ้านไม่มีผักแล้ว” หูเฟิงมองไป๋จื่อ สีหน้าจริงจัง
ผักที่นางทำอาหารได้ดีที่สุด เช่นนั้นก็มีถมไป ดีเหมือนกัน หลายวันนี้กินของพวกเขาเพียงอย่างเดียว ถึงตานางควรจะเลี้ยงอาหารบ้างแล้ว
“ได้ อีกเดี๋ยวไปในเมือง พวกเราไปตลาดก่อน ซื้อผักที่ทุกคนชอบกินมาสักหน่อย แล้วก็ซื้อข้าวกับแป้งด้วย วันพรุ่งนี้ข้าจะห่อเกี๊ยวให้พวกท่านกิน”
ลุงหูกับจ้าวหลานล้วนมีสีหน้าสงสัย “เกี๊ยวหรือ เกี๊ยวคือสิ่งใด”
คราวนี้ไป๋จื่อมีสีหน้างุนงง “พวกท่านไม่รู้จักเกี๊ยวหรือ ไม่เคยกินมาก่อนเลยหรือ” เกี๊ยวไม่ใช่อาหารที่มีมาแต่โบราณหรอกหรือ เหตุใดพวกเขาไม่รู้จักกัน
จ้าวหลานประหลาดใจเป็นที่สุด แม้แต่นางก็ไม่รู้จักสิ่งนี้ แล้วเหตุใดจื่อเอ๋อร์จึงรู้จัก “แม่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้ารู้จักสิ่งของอย่างเช่นเกี๊ยวได้อย่างไร”
……….
ตอนที่ 94 เด็กสาวกำลังพูดโกหก
จ้าวหลานเต็มไปด้วยความสงสัย ตั้งแต่จื่อยาโถวฟื้นจากความตาย ไม่เพียงแต่นิสัยที่เปลี่ยนไปมาก ในสมองของนางก็เหมือนจะมีหลายอย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย
นางเลี้ยงลูกมาจนเติบใหญ่ ทุกวันทำอะไร กินอะไร ไปที่ใด นางล้วนรู้ดี
ดังนั้นนางจึงยิ่งแน่ใจ ว่าจื่อเอ๋อร์ไม่มีทางเรียนอะไรมาจากที่อื่นแน่นอน
เช่นนั้นจู่ๆ เรื่องที่นางรู้เหล่านี้ นางไปเรียนมาจากที่ใด
ไป๋จื่อเห็นจ้าวหลานมองตนเองด้วยความสงสัยในแววตา จึงรีบหัวเราะแห้งๆ “ความจริงข้าไม่เคยกินเกี๊ยว ยังคิดว่าท่านลุงหูและหูเฟิงเคยกิน จึงได้คิดพูดโม้”
ลุงหูยิ้มถาม “เช่นนั้นเจ้าพูดเร็ว ว่าเกี๊ยวนี้เป็นอย่างไรกันแน่”
เด็กสาวกลอกตารอบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ความจริงแล้วเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ มีครั้งหนึ่งข้าไปขุดผักป่า ตอนนั้นคนที่ขุดผักป่าที่เดียวกับข้ายังมีเด็กผู้หญิงอีกสองคน พวกนางไม่ใช่คนของหมู่บ้านหวงถัว บอกว่าเป็นหมู่บ้านจูๆ ลี่ๆ อะไรสักอย่าง ข้าไม่ได้จำในตอนนั้น พวกนางน่าจะเกิดหิวขึ้นมา จึงเริ่มพูดถึงอาหารบางอย่าง เวลานั้นข้าหิวเช่นกัน จึงลอบฟังพวกนางคุยกัน พวกนางบอกว่าสิ่งที่อร่อยที่สุดที่เคยกินในชีวิตนี้ ก็คือเกี๊ยว ทั้งยังบอกวิธีทำเกี๊ยวอีกด้วย ขณะนั้นข้ารู้สึกอยากกินเหลือเกิน น้ำลายเปียกเสื้อผ้าเต็มไปหมด”
ครั้นเห็นท่านแม่และลุงหูหัวเราะ นางก็พูดต่ออีก “ตอนนั้นข้าแอบสาบาน ว่าต่อไปจะต้องทำเกี๊ยวให้ได้สักครั้ง กินกับท่านแม่”
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ในใจของจ้าวหลานเต็มไปด้วยความละอาย แต่ก่อนที่บุตรสาวไปขุดผักป่า ทุกครั้งล้วนถูกคนสกุลไป๋ไล่ไปทั้งที่ท้องยังว่าง กลับมาก็อาจจะไม่มีข้าวกลางวันกิน เมื่อตกเย็น หากโชคดีก็จะได้กินโจ๊กเหลวๆ ที่มีข้าวอยู่บ้าง หากโชคไม่ดี ก็เหลือเพียงน้ำข้าวหรือน้ำผักเท่านั้น
หากจะกล่าวโทษ ก็ต้องโทษที่นางเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ปกป้องบุตรสาวไม่ได้ ยิ่งไม่อาจให้เด็กสาวได้มีชีวิตที่ดี ทำได้เพียงมองนางทุกข์ยากเท่านั้น
สำหรับไป๋จื่อแล้ว จ้าวหลานกับลุงหูปักใจเชื่อและไม่สงสัยแล้ว ทว่าอีกคนหนึ่งเป็นข้อยกเว้น
หูเฟิงไม่เชื่อ!
แม้ที่เด็กสาวผู้นี้พูดจะมีต้นสายปลายเหตุ ทว่าเขารู้ว่าเด็กสาวคนนี้กำลังพูดโกหก
เหมือนกับที่นางไม่เคยเรียนวิชาหมอ ทว่ากลับรู้วิชาหมอ
นางไม่เคยเข้าโรงเรียน ทว่ารู้จักหนังสือ
แม้นางจะอายุยังน้อย แต่กลับฉลาดเฉลียวเกินคน ดูเหมือนไร้เดียงสา ทว่าความจริงแล้วความไร้เดียงสาเช่นนี้ เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่นางใช้ปกป้องตนเองเท่านั้น
ยังอายุน้อยอยู่แท้ๆ ก็แผนสูงเช่นนี้แล้ว ทำให้เขาต้องตัดสินใจมองนางใหม่
ยิ่งชายหนุ่มรู้สึกว่านางแตกต่างจากคนอื่น ก็ยิ่งอยากมองนางอย่างละเอียด ทว่ายิ่งมองนางอย่างละเอียด ก็ยิ่งมองนางไม่ออก
หูเฟิงผุดลุกขึ้น กล่าวกับลุงหูว่า “ข้าจะไปให้หญ้าวัวสักหน่อย พวกท่านเตรียมตัวแล้วกัน อีกเดี๋ยวจะออกเดินทางแล้ว” ครั้นหมุนกายไป มุมปากของเขายกยิ้มจางๆ ต้องมีสักวันที่เขาฉีกหน้ากากของเด็กสาวผู้นี้ด้วยตนเอง ภายใต้หน้ากากนั้นซ่อนอะไรไว้ แท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรกันแน่
เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถเทียมม้า พวกเขาคล้ายกับครอบครัวสี่คนจริงๆ สีหน้าผ่อนคล้าย เข้าไปในเมืองพร้อมเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ
หลิวซื่อที่กำลังซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำเห็นเข้าพอดี นางพลันยืดเอวขึ้น ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแหลมๆ “ดูสิดู ดูครอบครัวสี่คนนี้ เมื่อวานเพิ่งแยกบ้าน วันนี้ได้บ้านใหม่แล้วหรือ แม้จะร้อนใจมาก ก็ควรรอสักสองวันกระมัง ผิวหน้าคนเอ๋ย หากจะหนาขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นแม้แต่กำแพงเมืองก็เทียบไม่ได้”
สีหน้าของจ้าวหลานดูไม่น่ามองอย่างยิ่งในทันใด นางอดกลั้นมาเป็นสิบปี ในระยะเวลาสิบปีนี้ นางทำงานให้สกุลไป๋ต่างวัวต่างม้า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าชีวิตของตนเองเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไม่ได้พูดจากับบุรุษคนใดมากนัก ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้คนสกุลไป๋ล้วนรู้ดี