บทที่ 15 ส่งคำเชิญ (ตอนต้น)
“สนุกสิ! สนุกมากเลยด้วย!”
ซูชือกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ฉากภายในเกมก็สวยมากเลยนะ อย่างกับหลุดมาจากโลกแฟนตาซีเลยล่ะ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แถมยังดูสมจริงแบบสุดๆ อีกต่างหาก!”
จินฟานพยักหน้าเห็นด้วย
“เกมยากรึเปล่า?”
ซูเย่ถามอีกครั้ง
ซูชือและจินฟานมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาแห้ง ๆ
“ก็ไม่ยากขนาดนั้นหรอก”
จินฟานกล่าวขณะที่เปลี่ยนเสื้อผ้า “เทียบแล้วก็เหมือนกับการทดสอบไอคิวและความสามารถในการตอบสนองของแต่ละคน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีแค่การไล่หวดตั๊กแตนในเมืองเริ่มต้นก็เถอะ”
“ตัวเกมมันทดสอบไอคิวจริง ๆ หรือฉันโง่เองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือต้องใช้ความสามารถในการตอบสนองระดับสูงมาก ฉันรู้สึกจริง ๆ นะว่าพวกเราทุกคนกำลังโดนทดสอบอยู่”
ซูชือกล่าวอย่างสัตย์จริง เขาหันกลับไปมองหมวก VR ที่อยู่บนเตียงแล้วบ่นอุบอิบ “แต่น่าเสียดายเพราะระเบียบข้อบังคับประจำชาติ ทำให้ฉันเล่นตอนกลางวันไม่ได้ แม้จะอยากเล่นแค่ไหนก็ตาม ฉันล่ะอยากจะฝังตัวอยู่ในเกมนี้ตลอดไปชะมัด”
ซูเย่พยักหน้า
ผลงานของรัฐบาลสินะ
มีอีกหลายเกมที่คล้าย ๆ กันแบบนี้ก็เปิดตัวในประเทศอื่นๆ เช่นกัน
เจ้าหน้าที่รหัส 197 คนนั้นเองก็แนะนำให้เขาเล่นเกมนี้
ดูท่าว่าเกมนี้จะไม่ใช่อะไรที่กะโหลกกะลาจริง ๆ
ซูเย่คิดกับตัวเอง เขาอยากจะเข้าไปลองสัมผัสด้วยตัวเอง ว่ามันจะสุดยอดขนาดไหนกันเชียว
“ฉันจะหาซื้อหมวกแบบนั้นได้ที่ไหนบ้าง?”
“ไม่รู้หรอกเหรอ?”
ซูชือและจินฟานอ้าปากเหวอ
เกมแนวนี้มันปล่อยออกมานานหลายปีแล้วนะ ไปมุดหัวอยู่หลังเขาไหนมาเนี่ย?
“ก็ก่อนหน้านี้ฉันตั้งใจเรียนอย่างเดียวนี่” ซูเย่กล่าวก่อนจะยักไหล่อย่างไม่แยแส
โกหก!
ทั้งสองคนสบถในใจอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่จินฟานจะเริ่มอธิบาย
“ถ้าอยากจะเล่นเกมแนวนี้ ต้องเริ่มจากไปซื้อหมวกนี่ที่สถานีตำรวจ นายจะต้องเอาบัตรประชาชนไปลงทะเบียนเพื่อซื้อ หมวกแบบนี้จะต้องซื้อจากรัฐโดยตรงเท่านั้น เพราะมันเป็นอุปกรณ์ที่จะใช้ข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบจริง ๆ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่สามารถหาซื้อตามร้านค้าทั่วไปได้ และเพราะอย่างนั้น ถ้านายทำอะไรผิดกฏหมาย ก็เตรียมเจอคุณตำรวจมาเคาะก๊อกๆ หน้าประตูได้เลย เพราะพวกเขามีข้อมูลจริงของนายทุกอย่าง”
ต้องไปถึงสถานีตำรวจเพื่อซื้อหมวก VR สินะ…
ซูเย่พยักหน้าตอบรับคำอธิบายอย่างเข้าใจ
วันนี้วิชาในช่วงบ่ายก็มีเพียงแค่วิชาเดียว น่าจะพอใช้เวลาหลังจากนั้นเพื่อไปสถานีตำรวจได้ เขาชักเริ่มสนใจในเกมนี้จริง ๆ ซะแล้ว
แม้ว่าในประวัติศาสตร์ที่ตัวเขาได้ผ่านพบประสบมา ก็ยังมีเรื่องมากมายที่ซูเย่ยังไม่รู้ แต่ตัวของเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มาพบเจอกับเกมที่สามารถทำให้รู้สึกอยากลองทำอะไรแบบนี้มาก่อน..
ช่างน่าสนใจจริง ๆ
ซูเย่ลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะไปอาบน้ำ
หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสามเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างตรงไปยังโรงอาหารในทันทีเพื่อรับประทานอาหารเช้า
ซูเย่สังเกตุได้ว่าแทบจะทุกคนที่เห็นในโรงอาหารแห่งนี้ ต่างพูดคุยถึงเกม “Fantasy Dream” อย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้น ดูท่าว่าเกมนี้จะเป็นเกมที่ได้รับความสนใจจากทุกคนอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย
หลังจากที่รับประทานมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามคนนำจานชามไปล้างตามหน้าที่ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอาคารเรียน
ด้วยความที่นักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีนนั้นจบการศึกษาเร็วกว่านักศึกษาคณะอื่น ๆ จึงทำให้มีวิชาที่ต้องเรียนอยู่มากมาย และแน่นหนาจนตารางเรียนไม่เหลือที่ว่าง
และเนื่องจากเหล่าน้องใหม่ที่ได้เข้ามาเรียนในด้านการวิจัยสมุนไพรจีนนั้น ส่วนใหญ่มักปราศจากความรู้พื้นฐาน ทำให้ยากต่อการจะทำความเข้าใจ ทุกวิชาในช่วงแรกนั้นจึงเริ่มต้นจากการสอนข้อมูลในระดับขั้นพื้นฐานด้วยกันหมดทั้งสิ้น
วิชาเอกแรกที่ต้องเจอในตอนเช้านี้คือวิชา “ทฤษฎีพื้นฐานทางการแพทย์แผนจีน”
ซึ่งนี่ก็เป็นบทเรียนแรกของวิชานี้
ผู้ที่สอนบทเรียนนี้ก็คืออาจารย์หวังชวงเหริน เป็นอาจารย์สูงอายุที่มีผมขาวเป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าเขาจะไม่มีผลงานการวิจัยทางวิชาการที่น่าทึ่งเหมือนอาจารย์คนอื่น ๆ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีพื้นฐานวิชาการแพทย์แผนจีนแน่นปึกมากที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อนักเรียนของตนเองทุกคน
ดังนั้น เขาจึงถูกส่งมาสอนให้กับเหล่านักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีน
“ถ้าหากพวกคุณอยากจะเรียนเรื่องการแพทย์แผนจีนให้ดี พวกคุณจะต้องตั้งใจเรียนวิชานี้ให้ได้มากที่สุด”
อาจารย์หวังชวงเหรินยืนอยู่ที่ด้านหน้าห้องบนพื้นยกระดับที่ทุกคนมองเห็นได้ เขามองนักเรียนทั้งยี่สิบชีวิตก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“ถ้าหากคุณไม่เริ่มก้าวเดินอย่างมั่นคง ก็จะไม่มีวันเดินทางไปถึงจุดหมาย รากฐานของแพทย์แผนจีนนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก มันสามารถกำหนด อนาคต ระดับความสามารถทางการแพทย์ของคุณได้เลยทีเดียว ดังนั้นผมจึงหวังว่าเมื่อจบเทอมนี้ พวกคุณจะสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้ทั้งเล่ม ผมบอกได้เลยว่าข้อสอบตอนไฟนอลนั้นจะไม่ง่ายอย่างแน่นอน”
“ผมรู้ว่ายังไงพวกคุณจะพยายามอย่างหนักกันอยู่แล้ว เพราะคุณเป็นคนที่เลือกมาเรียนสายนี้เอง แต่คุณจะต้องพยายามให้ได้มากกว่านั้น และก้าวข้ามอุปสรรคเพื่อไปให้ถึงจุดหมายให้จงได้!”
เหล่านักศึกษานั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ภายในห้องเรียนที่มีบรรยากาศกึ่งฮึกเหิมกึ่งน่าหวาดหวั่นใจ
อาจารย์หวังชวงเหรินยืนนิ่งอยู่ข้างหลังโพเดียมก่อนจะพูดต่อ “พวกคุณอาจจะเคยได้ยินมาแล้วว่า พวกคุณมีสิทธิที่จะเป็นคนสุดท้ายในรุ่น ที่เรียนจบในคณะวิจัยสมุนไพรจีนใช่ไหม? “
“ถ้าหากปีนี้คุณไม่สามารถทำคะแนนสอบได้ถึงเกณฑ์ คุณจะไม่ได้อยู่ต่อในฐานะนักศึกษาในปีถัดไป…ดังนั้น ความพยายามของคุณไม่ได้ส่งผลแค่กับตัวคุณเท่านั้น แต่มันจะส่งผลไปยังผู้ที่ต้องการโอกาสที่จะได้เรียนเหมือนคุณอีกด้วย”
“ผมหวังว่าคุณจะสามารทนต่อสู้เพื่อตัวเองและผู้อื่นที่รักในแพทย์แผนจีนเช่นกัน อย่าทอดทิ้งโอกาสที่ผู้คนก่อนหน้านี้ได้พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาเรียนในสถาบันแห่งนี้”
“และนับตั้งแต่วันนี้ไป ผมอยากให้พวกคุณพึงรำลึกเอาไว้เสมอว่า พวกคุณคืออนาคตของแพทย์แผนจีน จงอย่าลืมในสิ่งที่ตนเป็น จงคำนึงถึงเป้าหมายในการเรียน ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ลืมสถานภาพของตัวเองนะ!”
หลังได้ยินคำพูดปลุกใจจากอาจารย์หวังชวงเหริน สีหน้าของทุกคนนั้นก็เต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจังทันที
พวกเขาพยักหน้ารับคำสัญญาด้วยหัวใจที่พองโต
ในเมื่อพวกเขาได้เลือกเส้นทางนี้แล้ว พวกเขาก็จะเดินไปอย่างมั่นคง
แม้เส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยอุปสรรคและคำถากถางก็ตาม
“ครับ/ค่ะ!”
เมื่อเห็นทุกคนเริ่มฮึกเหิมกัน อาจารย์หวังชวงเหรินก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เอาล่ะ เรามาเริ่มคลาสเรียนกันเลยดีกว่า”
“อึก..!”
จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เป็นเสียงที่พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบาของเด็กสาวคนหนึ่ง
ซูเย่หันไปมองที่ตรงกลางของห้องเรียน
เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งใช้มือข้างหนึ่งยันไว้กับโต๊ะเพื่อทรงตัว อีกมือหนึ่งกุมท้องเอาไว้ หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ใบหน้าซีดเซียวของเธอเต็มไปด้วยสีหน้าของความเจ็บปวด
จู่ ๆ มือที่ใช้ค้ำยันร่างของเธอไว้นั้นก็ผ่อนแรง จนทำให้ร่างกายไร้ที่ยึดเหนี่ยวนั้นล้มลงกับพื้น
ในวินาทีที่ศีรษะของเธอกำลังจะกระแทกกับเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ นั้น
ดวงตาของซูเย่ฉายแสงวาบ ก่อนจะเอ่ยคำออกมาอย่างรวดเร็ว “ผู้รู้แก่การจะไม่อยู่ใต้พาลภัย”
ขณะที่ศีรษะของเด็กสาวกำลังจะกระแทกเข้ากับเก้าอี้ ก็มีพลังบางอย่างได้ผลักมันออกไปราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากท้องฟ้าดังปัง! แม้ว่าจะเกิดเสียงแบบนั้น แต่ศีรษะของเธอไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใด ๆ เลย ร่างของเด็กสาวล้มลงไปนอนอยู่บนพื้นด้วยความนุ่มนวล
เหล่านักศึกษาในห้องต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า พวกเขารีบเข้าไปดูอาการของเด็กสาวทันทีด้วยความเป็นห่วง
ซูเย่เองก็ลุกขึ้นไปดูเช่นกัน
อาจารย์หวังชวงเหรินรีบวางหนังสือในมือแล้วเดินไปหาเด็กสาวทันที เขากล่าวถามเธออย่างร้อนรน
“เป็นอะไรไป? รู้สึกยังไงบ้าง?”
“นะ..หนูสบายดีค่ะ ” เด็กสาวกล่าวเสียงเบาอย่างอับอายที่เธอดันทำเรื่องใหญ่โตในห้องเรียนไปเสียแล้ว ยิ่งเมื่อได้มองใกล้ ๆ ใบหน้าของเธอซีดเซียวมากอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าโกหกอาการป่วยกับหมอสิ” อาจารย์หวังชวงเหรินบอกให้นักศึกษาคนอื่นๆ ช่วยพยุงเด็กสาวให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ กับเก้าอี้ ก่อนจะทำการจับจุดชีพจรที่ข้อมือของเธอ
เขาถามคำถามต่าง ๆ นานาขณะจับชีพจร
“ใต้จุดซานอินเจียวเย็นและชื้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นอาการปวดประจำเดือน โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก.. “
บอกเล่าความรู้:จุดซานอินเจียว (三阴交) ซาน (三) แปลว่า สาม ; อิน (阴) แปลว่า เส้น ลมปราณอินเจียว (交) แปลว่าตัดกัน คือเป็นจุดที่เส้นลมปราณอิน 3 เส้นมาตัดกัน
ตำแหน่ง : เหนือยอดตาตุ่มด้านใน 3 ชุ่นชิดขอบด้านหลังกระดูก