บทที่ 20″เสี่ยวเย่…ทำพวกเขาอึ้งตาแตกเลยมั้งเนี่ย?” (ตอนปลาย)
ก่อนที่อาจารย์ลั่วตงหมิงจะได้คิดอะไรเพิ่มเติม ซูเย่ก็พูดต่อทันที
“ต้นกำเนิดของพิณผีผาเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในราชวงศ์ฉิน ในตอนแรกนั้นรูปร่างลักษณะของมันยังเป็นแค่เครื่องดนตรีที่มีลักษณะกลมและมีด้ามจับที่ยาว”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ภายในราชวังแห่งความทรงจำก็ก่อเกิดภาพพิณผีผาในรูปลักษณ์ที่ซูเย่กำลังกล่าวถึง
ซูเย่กล่าวขณะที่ใช้มือประกอบท่าทางอย่างคร่าว ๆ “ในสมัยก่อนนั้น ผู้คนยังไม่เรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่าพิณ แต่ถูกนับเรียกเป็นเครื่องดีดชนิดหนึ่ง ในภายหลังถึงได้มีการเปลี่ยนชนิดและการเรียกมาเป็นพิณดังเช่นทุกวันนี้
น่าเบื่อ!
นักศึกษาหลาย ๆ คนมีสีหน้าที่เรียบเฉย
ในหนังสือก็มีบอกหมดแล้ว จะเอามาพูดซ้ำทำไมกันเนี่ย
อาจารย์ลั่วตงหมิงยกยิ้มขึ้นมุมปาก เด็กคนนี้เป็นคนในวิถีเดียวกันอย่างแน่นอน เขาช่างคุ้นเคยกับพิณได้อย่างดีจริง ๆ!
“ในช่วงยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ พิณผีผามีลักษณะรูปร่างคล้ายกับลูกท้อ มีส่วนคอโค้งและเครื่องสายสี่สายล้วนเป็นพิณที่มาจากภูมิภาคตะวันตก จากนั้นได้มีคนนำมารวมกับพิณผีผาแบบจีนและเปลี่ยนเป็นพิณผีผาที่มีสไตล์แบบใหม่ … “
พิณผีผาในอีกรูปลักษณ์หนึ่งปรากฎขึ้นในราชวังแห่งความทรงจำ ทุกครั้งที่ซูเย่พยายามนึกถึง
ซูเย่ยังคงใช้มือทำท่าทางประกอบเพื่ออธิบายรูปลักษณ์ให้ผู้ฟังเข้าใจ
น่าเบื่อว่ะ!
นักศึกษาหลาย ๆ คนยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉยเช่นเดิม
“นับจากยุคราชวงศ์เหนือไปจนถึงยุคราชวงศ์ถัง พิณผีผาได้มีการวิวัฒนาการที่เปลี่ยนไปมากมาก…”
ไม่เห็นแปลกใหม่อะไรเลยนี่!
นักศึกษาหลาย ๆ คนในตอนนี้ ก็ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉยอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างกับนั่งอ่านสคริปท์ให้ฟัง!
น่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจ!
ทุกครั้งที่ที่ซูเย่กล่าวถึงข้อมูลในภาคทฤษฎี พวกเขาต่างก่นด่าซูเย่อยู่ภายในใจ ที่พูดในสิ่งที่พวกเขาต่างรู้กันอยู่แล้ว ทำแบบนี้ไปมันช่างเสียเวลาจริงๆ
แต่คงมีเพียงจินฟานและซูชือที่นั่งฟังด้วยสายตาลุกวาวไปด้วยความประทับใจ
เสี่ยวเย่เตรียมพร้อมมาดีเหมือนกันนี่นา ถ้านับแค่ความรู้มากขนาดนี้ก็นับว่าเจ๋งสุดยอดแล้ว!
“ผมขอไม่กล่าวถึงเรื่องในยุคสมัยปัจจุบัน เพราะว่าพวกคุณคงจะคุ้นเคยเรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว”
ซูเย่ยิบพิณผีผาห้าสายที่อยู่ข้างตัวขึ้นก่อนจะกล่าวพร้อมร้อยยิ้ม
“ผมจะแสดงเทคนิคที่พัฒนามาตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฉินมาจนถึงยุคสมัยปัจจุบันให้ฟังเป็นตัวอย่าง”
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ดวงตาของอาจารย์ลั่วตงหมิงเบิกกว้างขึ้นอย่างปิติยินดี นี่สิ! ในที่สุดก็มาเสียที!
นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะเห็นที่สุด
แต่เขากลับรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
สิ่งที่ซูเย่กล่าวขึ้นเมื่อซักครู่…เขาบอกว่าเทคนิคทั้งหมดของราชวงศ์ที่ผ่าน ๆ มา? ไม่ใช่ว่าเขารู้แค่เทคนิคของราชวงศ์ถังงั้นหรือ?
นักศึกษาที่ฟังอยู่ต่างมองซูเย่อย่างคลืบแคลงใจและไม่สนใจที่จะเชื่อหรือเปิดใจให้กับสิ่งที่พวกเขาได้ยิน
พวกเขาต่างรู้ดีว่าเทคนิคเหล่านั้นล้วนสูญหายไปตามกาลเวลา โกหกมาได้ ไม่อายฟ้าดินหรือยังไง!
พวกเขาทุกคนต่างเรียนเกี่ยวกับพิณผีผามาโดยตรง การที่อีกฝ่ายมาทำท่าทีรู้ดีแบบนี้ ก็ราวกับไปท้าประฝีมือทวนยาวกับกวนอู ขายปลาให้ชาวประมง ขายภาพวาดกับศิลปิน สอนจระเข้ว่ายน้ำหรืออะไรทำนองนั้น…
ท่านอาจารย์ของพวกเขาหมกมุ่นกับพิณผีผามาก แต่อาจารย์คิดอะไรอยู่นะถึงได้พาเจ้าหมอนี่มา
ไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียนมองซูเย่ด้วยความประหลาดใจที่เห็นได้ชัดผ่านสายตาที่มองไปยังเวทีตรงหน้า ถึงแม้ว่าพวกเธอเองจะยังไม่ได้เรียนรู้จนเข้าถึงขั้นลึกซึ้ง แต่พวกเธอก็รู้ดีว่าเทคนิคโบราณของพิณผีผานั้นได้สูญหายไปนานแล้ว
มีเพียงแค่จินฟานและซูชือเท่านั้นที่ฟังสิ่งที่ซูเย่พูดบรรยายแล้วไม่รู้สึกรู้สาอะไร และมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ พวกเขาทำได้แค่นั่งฟังอย่างงง ๆ ทั้งที่ตัวเองไม่เข้าใจอะไรเช่นกัน
“และนี่คือเทคนิคการเล่นในยุคสมัยราชวงศ์ฉิน”
ซูเย่ถือพิณผีผาในแนวนอนก่อนจะโบกมือบรรเลงด้วยมือข้างหนึ่ง
เสียงบรรเลงที่ไพเราะดังขึ้น
ดวงตาของอาจารย์ลั่วตงหมิงเบิกกว้างขึ้น
เขาจับจ้องภาพเบื้องหน้าอย่างพินิจพิจารณา
พลางนึกถึงเนื้อหาที่เคยได้อ่านในหนังสือโบราณ
นี่มันถูกต้อง!
เสียงมันเป็นเช่นนี้นี่เอง
เหล่านักศึกษาในหอประชุมต่างหันไปมองกันอย่างอย่างสับสน สายตาที่แข็งกร้าวในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“นี่คือเทคนิคของยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้”
เมื่อกล่าวจบ ซูเย่เปลี่ยนท่าทางในการจับพิณผีผาในมืออีกครั้ง
อาจารย์ลั่วตงหมิงรีบนึกถึงสิ่งที่เขาเคยอ่าน และครั้งนี้ก็ถูกต้องอีกเช่นกันt!
ความประหลาดใจที่ฉายชัดผ่านสายตาของเขายิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น
เป็นไปไม่ได้!
สายตาของนักศึกษาที่อยู่ในห้องก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน
“นี่คือเทคนิคการเล่นของยุคสมัยราชวงศ์ถังตอนปลาย”
ซูเย่กล่าวขณะที่เปลี่ยนท่าจับเป็นโอบกอดพิณผีผาเอาไว้ในแนวตั้งและสาธิตวิธีการเล่นต่อไป
เหล่านักศึกษาต่างมองไปยังอาจารย์ลั่วตงหมิงเพื่อสังเกตุการณ์ อาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิณผีผาในราชวงศ์ถังที่สุด ถ้านี่เป็นแค่การเล่นมั่ว ๆ อาจารย์จะต้องจับได้แน่
ใช่แล้ว!
ในช่วงใกล้สิ้นสุดของราชวงศ์ถัง การเล่นพิณผีผาต้องเล่นด้วยการโอบกอดเป็นแนวตั้ง
อาจารย์ลั่วตงหมิงกล่าวอย่างตื่นเต้น
หลังจากที่เห็นท่าทางที่ตื่นเต้นของอาจารย์ลั่วตงหมิง ทุกคนก็เก็บความตกใจเอาไว้ไม่อยู่ เทคนิคการบรรเลงนี้เป็นของจริงงั้นเหรอเนี่ย?
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า อาจารย์ลั่วตงหมิงก็ตบหน้าผากของตัวเองเบา ๆ เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้
“เอ้า ๆ เร็วสิ! ถ่ายเก็บเอาไว้นะ นี่สำคัญมาก!”
อาจารย์ลั่วตงหมิงกล่าวอย่างตื่นเต้นกับนักศึกษาของเขา
“ฮะ? อ้อ!”
นักศึกษาในหอประชุมนั้นต่างหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาเพื่อถ่ายวิดีโอเก็บเอาไว้ ตามคำสั่งของอาจารย์
หัวใจของพวกเขาถึงกับหล่นวูบ ปฎิกิริยาท่าทางที่อาจาราย์ของพวกเขาแสดงออกมาเป็นหลักฐานว่าสิ่งที่ซูเย่กำลังแสดงอยู่บนเวทีนั้นคือของจริง!
“เสี่ยวเย่…ทำพวกเขาอึ้งตาแตกเลยมั้งเนี่ย?”
ซูชือเอ่ยขึ้นมาอย่างเลิกลั่ก
“ดูเหมือน….จะเป็นแบบนั้น” จินฟานมองทุกคนรอบตัวเขาที่ต่างหยิบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพื่อบันทึกเหตุการณ์นี้เอาไว้อย่างสับสน
ซูเย่ไม่ได้สนใจกับปฎิกิริยาของนักศึกษาที่เปลี่ยนไป เขายังคงสาธิตการดีดพิณต่อไปอย่างมีสมาธิ
“นี่คือยุคห้าวงศ์สิบรัฐ” เขาเปลี่ยนท่าทางพร้อมกับพูดอธิบาย
“นี่คือยุคราชวงศ์ซ่ง” ซู่เย่แสดงท่าทางการดีดพิณในยุคราชวงศ์ซ่ง
“นี่คือยุคราชวงศ์หยวน!” ชายหนุ่มยังคงใช้สมาธิแสดงการดีดพิณในแต่ละช่วงยุคสมัยให้กับนักศึกษาทั้งหมดได้ดู
…
ใช่แล้ว!
ถูกต้อง!
ทุกอย่างถูกต้องอย่างไม่ผิดเพี้ยน!
อาจารย์ลั่วตงหมิงตื่นเต้นมากจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ การที่ได้เห็นเทคนิคการเล่นที่สูญหายไปเหล่านี้ราวกับความฝันอันสูงสุดของเขาได้เป็นจริงเสียที
นักศึกษาทุกคนเริ่มให้ความสนใจและพินิจพิจารณาศึกษาจดจำกันอย่างจริงจัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจจดจำหรือเรียนรู้เข้าใจได้ถึงแก่นแท้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจยอมทิ้งโอกาสเรียนรู้อันดีนี้ไปง่าย ๆ
ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดจริง ๆ
เทคนิคที่ได้เรียนรู้จากนักศึกษามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนคนนี้มันช่างมีประโยชน์เหลือเกิน!
ช่างเป็นเรื่องที่ดีอะไรเช่นนี้!
จากตอนแรกที่เต็มไปด้วยความเคลือบแครงใจ กลายเป็นความประหลาดใจ ไปจนถึงความชื่นชมสรรเสริญ!
ราชวงศ์หมิง!
ราชวงศ์ชิง!
สาธารณรัฐจีน!
เสียงบรรยายของซูเย่ยังคงดังในหังประชุมเรื่อยๆ
…
หกสิบนาทีต่อมา ซูเย่จบการบรรยายและหน้าที่วิทยากรของเขาลง เขาโค้งศีรษะเป็นการขอบคุณ พร้อมกับสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วหอประชุมอย่างไม่ขาดสาย
ซูเย่เฝ้ารอเสียงหนึ่งให้ดังขึ้นในจิตใจของเขา