บทที่ 80 สอบรอบสุดท้าย ใช้เวลา 10 นาที
ผู้คุมสอบเดินนำกลุ่มผู้สอบแข่งขันทั้ง 10 คนเข้าไปในส่วนลึกของสวนหย่อมขนาดเล็กแห่งนั้น
เดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
“ต่อไปนี้จะเป็นการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับการตรวจโรค และการรักษา”
ผู้คุมสอบมองผู้สอบแข่งขันทุกคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าว “การสอบครั้งนี้ ผู้เข้าสอบจะต้องทยอยเข้าไปตรวจอาการคนไข้ภายในห้องครั้งละหนึ่งคน ภายในห้องจะมีคนไข้ที่เป็นอาสาสมัครอยู่สามคนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการอีกสามท่าน”
“ในระหว่างการตรวจโรค เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการเหล่านั้นจะคอยสังเกตการณ์ตรวจวินิจฉัยของพวกคุณตลอดเวลา เมื่อพวกคุณตรวจโรคคนไข้เสร็จเรียบร้อย ก็ต้องเขียนข้อมูลใบสั่งยา และบอกถึงวิธีการรักษาลงไปในใบวินิจฉัยอาการคนไข้ให้ครบถ้วน”
“เมื่อทำการสอบเสร็จเรียบร้อย ก็ห้ามไม่ให้ผู้เข้าแข่งขันพูดคุยกันเด็ดขาด ใครสอบเสร็จแล้ว ก็ขอให้เดินออกไปนั่งจิบน้ำชาที่ห้องพักข้าง ๆ ได้เลย”
“การสอบครั้งนี้ทุกคนมีเวลาคนละครึ่งชั่วโมง”
“ทันทีที่พวกคุณเดินเข้าไปในห้องตรวจโรค เวลาก็จะเริ่มนับถอยหลังโดยอัตโนมัติ จงตั้งสติให้พร้อมเข้าไว้ เราจะจัดลำดับผู้ที่ได้เข้าไปตรวจโรคตามหมายเลขประจำตัวของผู้เข้าสอบ”
ได้ยินดังนั้น ผู้เข้าสอบหมายเลขหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนโดยทันที
“การสอบรอบสุดท้าย เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!”
สิ้นเสียงประกาศ
ผู้เข้าร่วมสอบคนแรกก็เดินเข้าไปในห้องตรวจโรค และเริ่มทำการวินิจฉัยอาการคนไข้โดยเร็วไว
ซูเย่ก้มหน้ามองหมายเลขประจำตัวของตนเอง และพบว่าเขาเป็นคนสุดท้ายที่จะได้เข้าไปตรวจคนไข้ ดังนั้นซูเย่จึงมีเวลาสงบจิตใจตั้งสมาธิมากกว่าคนอื่น
20 นาทีต่อมา ผู้เข้าสอบคนแรกก็เดินกลับออกมาจากห้องตรวจโรคด้วยสีหน้าเยือกเย็น แต่ในดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
และเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้าร่วมสอบแอบบอกคำตอบต่อ ๆ กัน ชายหนุ่มคนนั้นจึงไม่ได้เหลือบมองมายังแถวที่นั่งทางพวกของซูเย่เลยแม้แต่น้อย เขาเดินตามเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งไปนั่งจิบน้ำชาในห้องพักข้าง ๆ ตามคำสั่งแต่โดยดี
ผู้เข้าสอบคนที่สองเดินเข้าไปในห้องตรวจโรค
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็เป็นผู้เข้าสอบคนที่สาม…
ถึงทุกคนจะมีเวลาตรวจโรค และเขียนใบสั่งยาคนละครึ่งชั่วโมงอย่างเท่าเทียมกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้เข้าสอบจะกลับออกมาจากห้องตรวจโรคก่อนครบกำหนดเวลาเสมอ
ซูเย่นั่งมองเพื่อนผู้เข้าแข่งขันเดินเข้าเดินออกห้องตรวจโรคคนแล้วคนเล่า
บางคนกลับออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา บ้างก็กลับออกมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และบางคนก็กลับออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
เวลา 16:30 น.
“เหออี้เฉิน”
ผู้คุมสอบตะโกนเรียกชื่อเหออี้เฉิน
เหออี้เฉินลุกขึ้นยืน และก้าวเดินเข้าไปในห้อง
เขาใช้เวลาตรวจรวดเร็วมาก เพียง 15 นาทีให้หลัง เหออี้เฉินก็เดินกลับออกมาแล้ว
ในจังหวะที่เดินผ่านหน้าซูเย่ ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะหันมามองหน้าเขาด้วยความมั่นใจ ราวกับเยาะเย้ย
“ซูเย่”
เมื่อผู้คุมสอบตะโกนเรียกชื่อ ซูเย่ก็เดินเข้าไปในห้องตรวจโรคโดยไม่ลังเล
คนไข้ทั้งสามคนนั่งอยู่ด้านใน เบื้องหน้าของพวกเขาแต่ละคนมีโต๊ะประจำตัวคุณหมอตั้งอยู่คนละโต๊ะ
เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ยืนประจำการอยู่ทางซ้ายมือ ทางขวามือ และทางด้านหน้าของโต๊ะตรวจครอบคลุมทั้งสามทิศทาง เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีหน้าที่คอยสังเกตการณ์วิธีตรวจคนไข้ของผู้เข้าสอบอย่างใกล้ชิด
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาให้ซูเย่ดู เป็นสัญญาณบอกว่าเวลาเริ่มนับถอยหลังแล้ว
ซูเย่พยักหน้ารับทราบพร้อมกับยิ้มตอบกลับไป หลังจากนั้นเขาก็เดินไปนั่งด้านหลังโต๊ะตรวจของคนไข้คนแรก ซึ่งเป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณ 50 ปี
“สวัสดีครับ”
ซูเย่เริ่มทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ทราบว่าคนไข้เป็นอะไรมาครับ?”
“ผมเวียนหัวครับหมอ เป็น ๆ หาย ๆ มาได้ครึ่งเดือนแล้ว”
“ก่อนเวียนหัวมีอาการเตือนล่วงหน้าไหมครับ หรือว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน?”
“ตอนนั้นผมกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ข้างถนน แล้วเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งก็เริ่มเดินหมากมั่วไปหมด ผมโมโหขึ้นมาทันที เรามีเรื่องโต้เถียงกัน แล้วหลังจากนั้นผมก็เป็นลมวูบไปเลย พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งผมก็เริ่มมีอาการเวียนหัวเป็นระยะ บางครั้งก็ปวดเมื่อยเนื้อตัว หลานผมเคยพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลอยู่เหมือนกันครับ แต่ว่าจ่ายค่ารักษาไม่ไหว ผมก็เลยมาเป็นอาสาสมัครที่นี่ เพราะหวังว่าคุณหมอจะรักษาผมได้นี่แหละ ไม่งั้นผมคงไม่มีเงินไปจ่ายค่ารักษาเองแน่ ๆ”
ซูเย่พูดอะไรไม่ออก
“แล้วมีอาการอื่นร่วมด้วยอีกไหมครับ?” เขาพยายามสลัดความเศร้าหมองออกไปจากใจ
“ไม่มีครับ จะมีก็แต่อาการโมโหง่ายมากกว่าปกติเท่านั้น เมื่อวานมีคนมองหน้าผมก็เกือบจะมีเรื่องกันมาแล้ว ตอนกลางคืนผมก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยครับ…”
“ช่วงนี้รับประทานอาหารปกติไหมครับ? แล้วการขับถ่ายเป็นยังไงบ้าง?”
…
ระหว่างที่รับฟังการซักถามของซูเย่ เจ้าหน้าที่ผู้สังเกตการณ์ทั้งสามคนนั้นก็แอบพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ขอหมอจับชีพจรที่ข้อมือหน่อยนะครับ…”
“ขอหมอดูฝ้าที่ลิ้นหน่อยนะครับ”
เมื่อซูเย่ตรวจดูทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มจดบันทึก
คนไข้เพศชาย อายุ 53 ปี
มีอาการเวียนหัว เป็นมาได้ครึ่งเดือน
ก่อนเกิดอาการมีเรื่องถกเถียงกับกลุ่มเพื่อนจนเป็นลมหมดสติ เมื่อตื่นขึ้นมาก็เริ่มมีอาการเวียนหัวตั้งแต่วันนั้น นอกจากอาการเวียนหัวก็ยังมีอาการปวดหัว โมโหง่าย นอนไม่ค่อยหลับร่วมด้วย
ลิ้นเป็นฝ้าเหลืองบาง ๆ ชีพจรเต้นรัวเร็ว
เมื่อจดข้อมูลครบถ้วนแล้ว ซูเย่ก็เริ่มกรอกข้อมูลลงไปในเอกสารการวินิจฉัยคนไข้
การวินิจฉัยโรค : อาการบ้านหมุน
สาเหตุ : ตับมีความร้อนมากผิดปกติ การไหลเวียนเลือดถูกรบกวน
การรักษา : ทำให้ตับเย็นลง และกดธาตุหยางเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้น
ใบสั่งยา : ฉ่าโอ๊ว 9 กรัม, อึ่งงิ้ม 9 กรัม, ดอกฮว๋ายฮวา 15 กรัม, ดอกหลงต่าน 9 กรัม, สมุนไพรเล็บแมว 15 กรัม, กัวกิง 15 กรัม, เฉินหลงมู่เก้อ 30 กรัม, หอยมุก 30 กรัม, แปะเจียก 12 กรัม, หยู่หลี่เหริน 15 กรัม, แชผ้วย 12 กรัม, จือเจี๊ยะ 15 กรัม, ผงหูพั่ว 3 กรัม
วิธีใช้ : นำไปต้มน้ำรับประทานวันละ 1 หม้อ แบ่งเป็นตอนเช้ากับตอนเย็น รับประทานให้ครบกำหนด 7 วัน
แนวคิดการรักษา : เมื่อตับมีความร้อนมากเกินไป จึงทำให้คนไข้มีอาการกระสับกระส่ายใจร้อนโมโหง่าย จำเป็นต้องทำให้ตับเย็นลง เมื่อตับเย็นลงแล้ว ความตึงเครียดในร่างกายของคนไข้ก็จะลดน้อยลง และเพื่อทำให้ระดับความร้อนของตับลดลง จึงจำเป็นต้องใช้สมุนไพรอย่างเช่นฉ่าโอ๊ว อึ้งงิ้ม ดอกฮว๋ายฮวา ดอกหลงต่าน สมุนไพรเล็บแมว กัวกิง และเฉินหลงมู่เก้อช่วยระบายความร้อนออกจากตับ ก่อนจะเพิ่มความเย็นให้แก่ร่างกายด้วยหอยมุก และช่วยให้คนไข้อารมณ์เย็นลงด้วยจือเจี๊ยะ ส่วนแปะเจียก และหยู่หลี่เหรินจะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย และซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากอาการธาตุหยินขาดความสมดุลของตัวตับ แชผ้วยรับหน้าที่ปรับการไหลเวียนของลมปราณ ในขณะที่ผงหูพั่วจะช่วยควบคุมการไหลเวียนโลหิต ทำให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อนำสรรพคุณของตัวยาแต่ละชนิดมารวมกันแล้ว ก็จะทำให้ความร้อนในร่างกายของคนไข้ถูกระบายออกไป คนไข้จะกลับมาอารมณ์ดี พร้อมทั้งนอนหลับสนิทมากขึ้น รับประทานอาหารได้ดีมากขึ้น และขับถ่ายได้อย่างสะดวกมากขึ้น…