บทที่ 91: การปะทะกันของศรัทธา
เมื่อถึงช่วงเช้า สงครามก็ปะทุขึ้นในทันทีที่ม่านหมอกจางหายไปด้วยแสงแดดที่โปรยปรายลงมา จากนั้นถนนอันเงียบสงบด้านนอกคฤหาสน์เขาวงกตก็เต็มไปด้วยเสียงร้องของสงครามอันน่าสยดสยอง
การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้นทันทีที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มออกรบ จุดประสงค์ของกองทัพองค์ชายเวตนั้นชัดเจน พวกเขาพร้อมจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อบดขยี้ศัตรูและจับกุมตัวองค์หญิงวิกตอเรียมาให้ได้
กองทัพขององค์ชายเวตนั้นเต็มไปด้วยพวกนอกรีตมากมาย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่าเป็นพวกนอกรีต แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาหลายคนล้วนเกิดในจักรวรรดิเซนต์เมซิทและเติบโตที่นี่
ทว่าพวกเขากลับถูกเลือกปฏิบัติอย่างเสีย ๆ หาย ๆ เพียงเพราะลักษณะแก่นแท้ต้นกำเนิดที่แตกต่าง จึงทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม
เหตุใดผู้มีความสามารถและบุคลากรชั้นยอดของสังคมจะต้องถูกกีดกัน เพียงเพราะพวกเขาเป็นคนนอกรีต? กลับกันแล้ว ไม่ว่าสมาชิกของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจะสร้างความเสียหายมากขนาดไหนก็มักจะได้รับการละเว้นโทษ
นี่เป็นคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบจนถึงยุคปัจจุบัน วงเวียนแห่งศีลธรรมที่ขัดแย้งกัน ทำให้สถานการณ์นี้กลายเป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
สำหรับเหล่าประชาชนลัทธินอกรีตแล้ว การปฏิวัติของเวตเป็นดั่งแสงแห่งความหวัง มันคือโอกาสที่พวกเขาจะได้ต่อต้านระบบอันไม่เป็นธรรม เพื่อสร้างอนาคตใหม่ให้กับคนรุ่นต่อไป พวกเขาต้องการสร้างสังคมใหม่ที่ส่งเสริมความเท่าเทียม ที่จะไม่มีการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เพียงเพราะเชื้อสายหรือคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด
สำหรับโรเอลผู้มาจากยุคปัจจุบันแล้ว เด็กชายรู้สึกว่าพวกนอกรีตเหล่านี้มีความชอบธรรมในการกระทำของพวกเขา บางทีอาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นในภารกิจของพวกเขา ที่ทำให้พวกนอกรีตมีความมุ่งมั่นอันไม่ลดละ พุ่งบุกโจมตีเข้าไปข้างหน้าโดยไม่เกรงกลัวต่อความตาย
เพื่อที่จะปราบกองทัพของฝั่งวิกตอเรีย พวกเขาเลิกใช้ลูกธนูและอาวุธระยะไกลทั้งหมด และเลือกที่จะใช้โล่วิ่งดาหน้าเข้าไปพร้อมปัดเป่าคาถาเวทที่พุ่งเข้ามา ด้วยแรงฮึดที่ไม่มีใครหยุดได้
การพุ่งโจมตีพลีชีพดังกล่าวทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อทหารคนหนึ่งเสียชีวิตลง ทหารอีกคนก็จะรีบวิ่งเข้ามาแทนที่เขาอย่างรวดเร็ว พวกเขากัดฟัน ยืนหยัดในความเชื่อของตนเองอย่างแน่วแน่
จุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือการเอาชนะสัญชาตญาณเบื้องลึก ตามธรรมชาติแล้วสิ่งมีชีวิตทั้งหมดย่อมมีสัญชาตญาณที่จะต้องหลีกเลี่ยงอันตราย แต่สำหรับมนุษย์นั้นเพื่อความเชื่อและอุดมคติ พวกเขาเต็มใจที่จะเผชิญความทุกข์ยากและอันตรายทั้งปวง ทั้งสองสิ่งนี้อาจจะสลับกันได้ในบางสถานการณ์ ซึ่งโรเอลรู้สึกว่าสิ่งนี้นี่แหละคือจิตวิญญาณที่ทำให้อารยธรรมของมนุษย์สามารถพัฒนามาได้ไกลถึงขนาดนี้
ทว่าไม่ใช่เพียงแค่ทหารในฝ่ายขององค์ชายเวตเท่านั้นที่มีความเชื่อมั่น กองทัพขององค์หญิงวิกตอเรียเองก็เปี่ยมไปด้วยเจตจำนง นั่นก็คือความยุติธรรมที่สถิตอยู่ในใจพวกเขาในฐานะอัศวินและทหารผู้รับใช้จักรวรรดิเซนต์เมซิท พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้พิทักษ์แห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ผู้มีหน้าที่ปกป้องความสงบสุข ปลอดภัยของประชาชน ศัตรูตรงหน้าพวกเขาคือตัวตนที่ก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ภายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ มันจึงเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาที่จะหยุดอีกฝ่ายลงให้จงได้ !
ธงที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานหลายร้อยปีถูกยกขึ้นเหนือศีรษะ กองทัพฝ่ายวิกตอเรียเริ่มตอบโต้อย่างรุนแรงสวนกลับศัตรูที่พุ่งเข้ามาหา
แม้ว่าชุดเกราะอันทรงเกียรติที่สลักเครื่องหมายแห่งความเมตตาของพวกเขาจะถูกย้อมด้วยเลือด แต่ทุกคนก็ยังคงยืนหยัดอย่างไม่เกรงกลัวต่อศัตรูผู้รบกวนความสงบสุขของเมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ เกียรติยศของพวกเขาคือเจตจำนงนี้ และพวกเขาไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย่ำมัน
สนามรบอันดุเดือดกลายเป็นดั่งเครื่องบดเนื้อ ทุกวินาทีจะต้องมีใครสักคนล้มลงบนกองเลือด ในไม่ช้า เมื่อการเผชิญหน้าครั้งแรกได้สิ้นสุดลง ผู้นำของทั้งสองฝ่ายต่างก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเองจากด้านหลังสุดของขบวนทัพ คู่หูอาจารย์กับศิษย์ และ องค์ชายกับอัศวิน ทั้งวิกตอเรียและเวตต่างก็มีใบหน้าอันซับซ้อน ทว่าแววตาของพวกเขากลับมั่นคงแน่วแน่
ขณะเดียวกัน พอนเต้ก็ได้หยุดการใช้งานอุปกรณ์เวทของคฤหาสน์เขาวงกตลง เนื่องจากตอนนี้มันไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องซ่อนจากศัตรูอีกต่อไปแล้ว ภายใต้แสงแดดอันแรงกล้าของพระอาทิตย์ยามเช้า สองพี่น้องได้พยายามเจรจากันเป็นครั้งสุดท้าย
“พี่สาวของข้า เจ้าลืมโศกนาฏกรรมที่มารดาของเราเผชิญไปแล้วงั้นหรือ? เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นอีก และเพื่อความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท พวกเราจำเป็นจะต้องรวบรวมกองกำลังทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยากลำบาก แต่ก็จำเป็น! หากเจ้าเลือกจะหยุดการปฏิวัติครั้งนี้ และพึงพอใจกับการอยู่นิ่ง ๆ ล่ะก็ เจ้าจะแตกต่างอะไรไปจากเหล่าขุนนางฉ้อฉลที่ทำให้มารดาของพวกเราถึงแก่กรรมล่ะ?”
เบื้องหน้าทหารของทั้งสองฝ่าย เวตถามการกระทำของวิกตอเรียด้วยท่าทางอันโกรธเกรี้ยว เขาอ้างถึงการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีแมรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครพูดถึงมาเป็นเวลานาน เนื่องจากหัวข้อนี้เป็นเรื่องอันน่าเศร้าและน่าอับอายของจักรวรรดิ คำพูดของเวตจึงทำให้เกิดความไม่สงบภายในกองทัพของวิกตอเรีย ส่งผลให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาเริ่มสั่นคลอน ทหารหลายคนในที่นี้ต่างก็รู้จักมเหสีแมรี่เป็นอย่างดี และรู้สึกเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อชะตากรรมของเธอ
แม้แต่วิกตอเรียก็ยังหดหู่เล็กน้อยเมื่อนึกถึงแม่ผู้เสียชีวิตไปแล้วของเธอ พอนเต้เอื้อมมือออกไปจับมือขององค์หญิงเอาไว้แล้วบีบมัน ทำให้เธอหันมายิ้มตอบท่าทางอันอบอุ่นของเขา สงบอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็วก่อนจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อตอบกลับเวต
“เวต ข้าไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นกับมารดาของเรา และไม่เคลือบแคลงใจต่อการแก้แค้นของเจ้าแต่อย่างใด ทว่าการปฏิวัติที่เจ้าแสวงหานั้นต้องแลกมาด้วยราคาอันสูงลิ่ว ดูสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปสิ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน บ้านเกิดอันเป็นที่รักของพวกเราก็ถูกย้อมด้วยแม่น้ำสายโลหิตเสียแล้ว! มีคนตายเพราะความทะเยอทะยานของเจ้าไปแล้วกี่คนกัน? เจ้าไม่รู้สึกสำนึกผิดต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์เลยงั้นเหรอ? ”
“การเสียสละเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการปฏิวัติ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาการปฏิวัติคือตัวการที่กำจัดผลประโยชน์ฉ้อฉลของผู้มีอำนาจ หากพวกเราไม่รื้อระบบเก่าออกไป ยุคใหม่ก็ไม่มีวันมาถึง! สิ่งที่เจ้ากล่าวเป็นเพียงอุดมคติที่ไม่มีวันบรรลุผล! การปฏิวัติโดยปราศจากการนองเลือดจะถูกระงับโดยเหล่าขุนนางและนักบวชไปทีละเล็กทีละน้อย ก่อนที่จะถูกลืมเลือนไปในที่สุด!”
“ข้าไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เจ้าเพิ่งพูดไป แต่นั่นเป็นหน้าที่ของราชวงศ์มิใช่หรือ! ความรับผิดชอบของพวกเราคือการเป็นผู้นำ กำหนดทิศทางของจักรวรรดิ นำทุกคนไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น ถ้าพวกเราจะต้องสูญเสียเลือดเนื้อไประหว่างการกระทำดังกล่าว ข้าขอยอมให้เป็นเลือดของข้าเสียยังดีกว่าพลเรือนผู้บริสุทธิ์! เวต เจ้ากำลังใช้เลือดเนื้อของเพื่อนร่วมชาติ ในการเติมเต็มความทะเยอทะยานของเจ้า! เจ้าลืมคำสอนของตระกูลเราไปแล้วงั้นหรือ?”
“… คงไม่มีทางที่พวกเราจะประนีประนอมกันได้สินะ”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ทั้งสองต่างยืนหยัดในเจตจำนงแนวคิดของตนเอง ทำให้การเจรจาขั้นสุดท้ายพังทลายลง คำพูดของพวกเขาต่างก็ได้ส่งเสริมขวัญกำลังใจของแต่ละฝ่าย แต่ก็เป็นตัวผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ เหล่าทหารต่างกำอาวุธในมือแน่น ตัดสินใจก้าวสู่สนามรบแห่งความตาย
เวตชักดาบออกมา โดยมีเฟลเดอร์ติดตามไปข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว หันมาเผชิญหน้าศัตรูพร้อมกับเหล่าทหารองค์รักษ์ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น พร้อมคำรามกู่ร้อง
“เพื่อความยุติธรรม!”
เสียงเปิดศึกของเวตตามมาด้วยเสียงโห่ร้องอันฮึกเหิมจากเหล่าทหารของเขา องค์ชายยกดาบขึ้นสูงแสดงสัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติ ทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด
ทางด้านวิกตอเรียและพอนเต้ พวกเขาต่างก็ก้าวไปข้างหน้าเคียงข้างกันแล้วชักดาบออกมา
“เพื่อความสงบสุข!”
ซึ่งทหารของพวกเขาเองก็ส่งเสียงคำรามออกมาสนั่นหวั่นไหวไม่แพ้กับฝ่ายของเวต ราวกับกำลังแยกเขี้ยวใส่ศัตรู ในแง่ของขวัญกำลังใจดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะเท่าเทียมกัน
หลังจากนั้นเสียงแตรสงครามก็ดังขึ้น และกองทัพทั้งสองฝั่งก็เริ่มพุ่งเข้าห้ำหั่นกัน
“พวกเจ้าสองคนพร้อมรึยัง?”
“พวกเราพร้อมแล้วท่านผู้บัญชาการ โปรดอย่าลังเลที่จะกลับไปยังหน่วยของท่าน”
“เข้าใจแล้ว ขอเทพีเซียจงสถิตอยู่กับเจ้า”
ผู้บัญชาการอัศวินร่างสูงบอกลาโรเอลและนอร่าก่อนจะพุ่งเข้าสู่สนามรบพร้อมกับคนของเขา
โรเอลยืนอยู่กับนอร่าด้วยใบหน้าอันซีดเซียว เขามองดูสนามรบอันวุ่นวายตรงหน้า พลางถอนหายใจเบา ๆ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ช่างเป็นโศกนาฏกรรมอันเลวร้าย
เมื่อคิดถึงเหตุผลเบื้องหลังแล้ว ไม่มีอะไรถูกหรือผิดทั้งนั้น มีเพียงความคิดเห็นและอุดมคติที่ต่างกัน ทั้งวิกตอเรียและเวต ล้วนแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับจักรวรรดิเซนต์เมซิทและผู้คนของพวกเขา เพียงแต่วิธีการของพวกเขานั้นแตกต่างกันออกไป
สำหรับนอร่าผู้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกอันชัดเจนในความถูกต้อง ภายใต้การปลูกฝังของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง เธอจึงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกอันไม่ชัดเจนในศีลธรรมนี้ แม้นอร่าจะดูมีวุฒิภาวะเกินวัย แต่ท้ายที่สุดเธอก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่เพิ่งมีประสบการณ์ชีวิตได้ 10 ปี
ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์ ความสามารถแค่ไหน เรื่องนี้ก็ยังมากเกินไปสำหรับเด็กอยู่ดี
โรเอลคิดกับตัวเองพลางเหลือบมองไปยังนอร่า ทันใดนั้นเด็กชายก็รู้สึกได้ว่านอร่ายื่นมือออกมาจับมือของเขาเอาไว้ ทันทีที่หันศีรษะไปพวกเขาก็สบตากัน แต่แทนที่เด็กสาวจะแสดงความมั่นใจตามปกติ+ของเธอออกมา ดวงตาสีไพลินนั้นกลับเต็มไปด้วยความอ่อนแอและสับสน การแสดงช่องโหว่อย่างกะทันหันของเธอทำให้หัวใจของโรเอลเต้นระรัวอย่างรุนแรง
“ข้า… ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก ท่านปู่บอกให้ข้ามาเป็นสักขีพยาน แต่ข้าก็ยังไม่รู้เสียทีว่าฝ่ายไหนที่ถูกกันแน่ แม้จะใช้เวลาคิดมานานหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม”
“ช่วยไม่ได้… โลกมันไม่ได้เรียบง่ายขนาดที่พวกเราจะสามารถแบ่งทุกอย่างออกเป็นถูกและผิดได้อย่างชัดเจนหรอกนะ มันขึ้นอยู่กับบริบทและมุมมองของแต่ละคน”
คำพูดของโรเอลนำความชัดเจนกลับมาสู่แววตาของนอร่า เธอหันไปมองที่องค์หญิงวิกตอเรียจากนั้นความมุ่งมั่นก็ค่อย ๆ กลับมา
โรเอลไม่แปลกใจเท่าไหร่ กับการเปลี่ยนแปลงที่นอร่ากำลังเผชิญ รอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูกปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา ดูเหมือนว่าคำพูดของเด็กชายจะเข้ากับจังหวะหัวใจของนอร่าได้พอดิบพอดี เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็สั่นคลอนที่จะต้องตัดสินระหว่างทั้งสองฝ่ายเช่นกัน
ตอนนี้พวกเขายังเหลือเวลาอีกราว ๆ 10 ชั่วโมง ก่อนสถานะผู้เฝ้ามองจะสิ้นสุดลง และโรเอลก็รู้ดีว่านี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการประเมินจากระบบ เขาจะสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นและรับรางวัลมาได้ หรือจะล้มเหลว ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในตอนนี้
ขณะที่โรเอลและนอร่ากำลังครุ่นคิดอยู่ วิกตอเรียก็หันไปหาพอนเต้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมพยักหน้า พอนเต้เข้าไปรับเธอเอาไว้ ก่อนจะหยุดการโจมตีด้วยคาถาเวทของฝั่งตรงข้ามทั้งหมด แล้วนำอัญมณีหลากสีออกมา
“ท่านอาจารย์!”
“เข้าใจแล้ว”
พอนเต้ได้เริ่มเปิดใช้งานคฤหาสน์เขาวงกตอีกครั้ง มันคือไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่กองกำลังที่อ่อนแอกว่าของวิกตอเรียจะไม่ใช้มัน
ที่จริงแล้วการต่อสู้ครั้งนี้เป็นกับดักมาตั้งแต่ต้น สาเหตุที่พอนเต้ยอมคลายเขาวงกตลงก็เพื่อล่อให้กองทัพของเวตเข้ามาลึกลงไปในเขาวงกตมากขึ้นนั่นเอง
เขาร่ายคาถาเวทมาครึ่งวันนับตั้งแต่รุ่งสาง ทำให้ม่านหมอกใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นในการก่อตัวท่ามกลางกองทัพองค์ชายเวต ส่งผลให้ทัศนวิสัยของพวกเขาลดลงอย่างมาก สิ่งนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งเนื่องจากมันได้ขัดขวางความสามารถของผู้บัญชาการทหารในการประเมินสนามรบ และปรับเปลี่ยนรูปขบวน
ดังนั้น เฟลเดอร์จึงสั่งให้กองทัพบุกไปข้างหน้าเพื่อกดดันกองกำลังของวิกตอเรียต่อไป ซึ่งอีกฝั่งก็ทำแบบเดียวกัน
นี่เป็นผลให้ทหารของทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าชนกันเหมือนคลื่น อย่างไรก็ตามฝ่ายของวิกตอเรียนั้นอยู่บนภูมิประเทศที่สูงกว่า เมื่อพวกเขาพุ่งลงมาตามทางลาดจนได้รับความเร็วเพิ่มขึ้นมหาศาล พวกเขาจึงได้เปรียบในการโจมตีระลอกแรก และสังหารทหารของฝ่ายเวตหลายคนลงด้วยหอก
ทว่า รูปขบวนของกองทัพองค์ชายเวตแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย กองหน้าของพวกเขายังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความเร็วอันยอดเยี่ยม
ขณะเดียวกัน เวตก็ได้ร่ายคาถาเวทสายฟ้าสีแดงอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงเข้ม สายฟ้านับไม่ถ้วนส่งเสียงแตกรอบ ๆ ตัวเขา ทำให้หมอกที่พอนเต้เรียกออกมากระจายไปเป็นพัก ๆ แต่ผลกระทบนั้นไม่มาก เนื่องจากเขาไม่สามารถขจัดหมอกทั้งหมดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับไปได้
กองทัพของเวตที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเริ่มออกนอกขบวน และถูกจัดการลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถต่อสู้กลับไปได้เท่าที่ควร ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มแคบลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งในที่สุด กองทัพขององค์หญิงวิกตอเรียก็ได้เปรียบเหนือกว่าฝั่งเวตเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การปะทะได้เริ่มต้นขึ้น
“พวกเราทำได้เพียงแค่กระจายขบวนรบของพวกเขาเท่านั้น พวกเขายังสามารถจัดกลุ่มใหม่และโต้กลับได้หากมีเวลาเพียงพอ พวกเราต้องรีบคว้าชัยชนะให้ได้โดยเร็วที่สุด”
ความพยายามของพอนเต้ในการดึงพลังเวทออกมาจากอัญมณีที่ควบคุมคฤหาสน์เขาวงกต ส่งผลกระทบอย่างมาก มันทำให้ผิวของเขาซีดเซียวลง จากนั้นจอมเวทก็กล่าวเตือนลูกศิษย์ ก่อนจะซ่อนอัญมณีหลากสีกลับเข้าไปในเสื้อ แล้วชักดาบสั้นออกมา
มันคือดาบสั้นที่โรเอลคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก แต่พอนเต้นั้นเหนื่อยเกินกว่าจะใช้มันได้ด้วยตัวคนเดียว ทำให้เขาต้องขอความช่วยเหลือจากวิกตอเรียในการจับดาบสั้นในมือของเขาเอาไว้
ณ ใจกลางสนามรบ อาจารย์และศิษย์คู่นี้สบตาเข้าหากัน เผยให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะผลักดันเจตจำนงของตนเองให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มือพวกเขาขยับขึ้นชี้ดาบสั้นไปทางเวต ผู้ห่อหุ้มร่างของตนเอาไว้ด้วยสายฟ้าสีแดงสด
ชั่วพริบตาต่อมา แสงสีเงินที่เต็มไปด้วยอานุภาพทำลายล้างก็พุ่งทะลวงออกไป แล่บผ่านสายตาผ่านเหล่าทหารที่กำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบ
คาถาเวทที่ถูกลืมเลือน เทวทูตประสานเสียง