บทที่ 57 อี้สั่ว
“เจ้าเป็นใคร?” เยี่ยฉวนถาม พินิจดูเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวผู้เข้ามาขวางทางอย่างระแวดระวัง
แม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะดูไม่คุ้นตา แต่การที่มายืนอยู่ตรงนี้ในยามนี้ได้แสดงว่าเขาต้องเป็นศิษย์ในสำนักหมอกเมฆาเช่นกัน รูปร่างแลดูสง่างามทว่าเย็นชาไร้อารมณ์ กระแสพลังงานที่แข็งแกร่งในร่างแสดงให้เห็นว่าขั้นการฝึกตนของเขานั้นสูงกว่าจูซือเจีย อายุยังน้อยแต่ฝึกตนได้ระดับสูงถึงเพียงนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาทั้งเยือกเย็น หยิ่งยโส และถือตัวนัก
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยฉวนพลางเอ่ยตอบ “อี้สั่ว”
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงนั้นเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ทหารอารักขากลุ่มหนึ่งได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเดินเข้ามาด้วยคิดว่ามีผู้ประลองตัวต่อตัวกันในสำนัก แต่เมื่อมาถึงและเห็นร่างของอี้สั่วในชุดคลุมสีขาวก็พลันหันกลับไปยืนกอดอกเฝ้าดูห่างๆ ในความมืด
“นายท่าน เหตุใดจึงไม่ห้ามพวกเขาเสีย?”
“ฮึ่ม ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ อีกฝ่ายเป็นถึงศิษย์สายตรงของอาวุโสลำดับสาม จะให้ข้าหยุดพวกเขางั้นหรือ? เจ้าเชิญก่อนเลย!”
เสียงของทหารอารักขาดังแว่วมา
ทหารอารักขาเร่งรีบมายังที่เกิดเหตุ ทว่าเมื่อเห็นภาพตรงหน้ากลับไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง ไม่นานนักศิษย์ในสำนักหมอกเมฆาก็ทยอยเข้ามามุงดู จำนวนผู้สังเกตการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีวี่แววของคนระดับสูงในสำนัก ไม่มีร่องรอยของผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสแม้แต่คนเดียว เห็นได้ชัดว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในครั้งนี้
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ อี้สั่วยิ่งยืดอกขึ้นอย่างหยิ่งผยอง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกภูมิใจในตัวเองยิ่ง
นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ ยิ่งวุ่นวายมากเท่าไหร่ยิ่งดี!
นี่คือวันแรกที่เขากลับสู่สำนักหลังออกเดินทางหลายปี มันคือการประกาศตนว่าอี้สั่วผู้นี้กลับมาแล้วในแบบฉบับของเขา! แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินว่าศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนผู้ไร้ชื่อในอดีตได้ตื่นรู้ขึ้นฉับพลันและกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในช่วงนี้ เขาจะช่วยระบายความโกรธแค้นของท่านอาจารย์ได้อย่างไรหากไม่รีบจัดการเยี่ยฉวนให้อยู่หมัด?
อี้สั่วมองดูเยี่ยฉวนเพื่อรอดูความกังวลและกระวนกระวาย เขาต้องการฉีกหน้าเยี่ยฉวนในที่แจ้งให้อับอายและกำราบศิษย์พี่ใหญ่ ทว่ากลับต้องผิดหวัง
สีหน้าของเยี่ยฉวนเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงราวกับไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใด เมื่ออี้สั่วได้เห็นแววตาไม่แยแสนั้นจึงยิ่งโกรธจัดจนแทบระเบิด
“ขอโทษที ข้าได้ยินไม่ถนัด เจ้าชื่ออะไรนะ? ช่วยพูดอีกครั้งได้หรือไม่?” เยี่ยฉวนถามขึ้น น้ำเสียงฟังดูซื่อตรงและแสดงสีหน้าราวกับไม่ทันได้ยินจริงๆ
อันที่จริงเยี่ยฉวนเข้าใจทุกสิ่งตั้งแต่ได้ยินว่าเด็กหนุ่มชุดขาวเบื้องหน้าคืออี้สั่ว ศิษย์สายตรงของอาวุโสลำดับสาม เขาเพียงแค่แสร้งเป็นไม่รู้เท่านั้น
“แซ่อี้ นามว่าสั่ว!”
อี้สั่วระงับโทสะเอาไว้และพูดออกมาดังๆ ทีละคำอีกครั้ง
ความพยายามไม่ควรเกินสามหน หากเยี่ยฉวนยังได้ยินไม่กระจ่างอีกเขาจะไม่สนใจแล้วว่าพูดจริงหรือเท็จ แต่จะลงมือสั่งสอนบทเรียนให้เยี่ยฉวนตรงนี้เป็นแน่!
จิตสังหารของอี้สั่วแรงกล้าขึ้นและเตรียมลงมือ เคราะห์ร้ายที่เยี่ยฉวนไม่ให้โอกาสเขาได้ทำเช่นนั้นแต่กลับพยักหน้าราวกับครั้งนี้ได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง “อี้สั่ว ดี เป็นชื่อที่ดี ศิษย์น้องมายืนต้อนรับศิษย์พี่ใหญ่ดึกดื่นเช่นนี้น่าประทับใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่ข้าไม่มีของขวัญใดให้เจ้าเลย น่าขายหน้าจริง”
เยี่ยฉวนคลำร่างของตนราวกับต้องการจะหยิบของขวัญออกมาให้อี้สั่วหลังจากพบกันเป็นครั้งแรก น่าเสียดายที่เขาไม่มีสิ่งใดให้เลย ผู้คนที่เฝ้าดูพากันหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีจริงจังหน้าตายของเยี่ยฉวน
“พอกันที!”
อี้สั่วโกรธจนหน้าเขียวคล้ำก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้า “ไอ้สารเลว ประลองกับข้า! แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้ามีทักษะและคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักหรือไม่ แสดงให้ข้าเห็นว่าท่านไม่ได้มีดีแค่วาจา หากไม่มีฝีมือก็จงหลีกทางไปซะ!”
การกระทำของเยี่ยฉวนทำให้อี้สั่วหมดความอดทนอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์น้องอี้สั่วต้องการประลองกับข้าหรือ?”
เยี่ยฉวนมองดูอี้สั่วผู้ฉุนเฉียวด้วยท่าทีนิ่งเฉยและซื่อตรง แต่ในใจนั้นแอบหัวเราะเยือกเย็น “ข้าเกรงว่าเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น มันยังไม่ถึงเวลา ศิษย์น้องเอ๋ย เจ้าต้องรอไปอีกสองวัน เจ้าสามารถท้าประลองกับผู้อื่นได้ทุกๆ ห้าวันตามกฎเหล็กประจำสำนักของเรา แม้ข้าจะเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ประจำสำนักแต่การริเริ่มแหกกฎคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก”
เยี่ยฉวนตราหน้าอี้สั่วว่าเป็นผู้แหกกฎของสำนักโดยไม่ต้องลงมือเสียด้วยซ้ำ ‘เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าหยิ่งผยองและเก่งกาจนักไม่ใช่หรือ? ได้ ลงมือมาเสียสิ! ข้าจะฉีกหน้าเจ้าต่อหน้าฝูงชนต่อด้วยลงโทษทุบตีเจ้าเสีย เอาให้ตาย!’
เยี่ยฉวนเย้ยหยันในใจ การรับมือกับคนอย่างอี้สั่วนั้นเป็นสิ่งที่เขาถนัด
“หากเจ้ามีฝีมือจริงก็อย่าเอากฎของสำนักมาอ้างเลย ข้าและเจ้ามาสู้กันสักสามร้อยรอบโดยไม่ต้องมีเล่ห์กลอันใดให้เห็นกันไปเลยดีกว่า!” อี้สั่วจ้องมองเยี่ยฉวนด้วยแววตาดุดัน
แม้จะหยิ่งยโสทว่ากลับไม่โง่เขลา เขาไม่มีทางกระโดดลงไปในหลุมที่เยี่ยฉวนขุดไว้ ตอนนี้เขาเพียงต้องการยั่วยุจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมลงมือเท่านั้น
“หากทุกคนเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าไม่ต้องต่อสู้ทั้งวันโดยไม่มีเวลาฝึกตนและปรุงยาเลยหรือ?” เยี่ยฉวนส่ายศีรษะก่อนจะก้าวมาข้างหน้า “ศิษย์น้อง อย่ามากวนข้าเลย ข้ายุ่งมาก อย่างที่โบราณว่าไว้ สุนัขที่ดีจะไม่มาขวางทาง แต่ตอนนี้แม้แต่สุนัขบ้าก็ไม่เข้ามาขวางทาง สุนัขที่มาขวางคงแย่ยิ่งกว่าสุนัขบ้าเสียอีก”
เสียงหัวเราะจากบรรดาศิษย์น้องดังขึ้นจากทุกทิศทาง
อี้สั่วหมดความอดทน เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะชักกระบี่แหลมคมออกมา “ไอ้บัดซบ มาสู้กัน!”
เยี่ยฉวนหยุดฝีเท้า มองไปที่อี้สั่วแล้วส่ายศีรษะ “ศิษย์น้อง เจ้าใคร่จะท้าทายผู้อาวุโสและละเมิดกฎสำนักอย่างนั้นหรือ?”
“ท้าทายผู้อาวุโสอะไรกัน ข้าอยากจะถ่มน้ำลาย เข้ามาเลยไอ้ชั่ว!” สีหน้าของอี้สั่วดุดัน เขาพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นลงแต่ไม่อาจทำได้ ยิ่งเยี่ยฉวนกล่าวคำใดก็ยิ่งทำให้เขาไม่อาจระงับอารมณ์
เยี่ยฉวนสั่นศีรษะพลางฉีกยันต์สื่อสาร พลันเกิดเสียงร้องดังก้องมาจากที่ไกลๆ ก่อนที่ชายชราเคราสีเทายาวจะแบกจอบขุดสมุนไพรพุ่งตรงมา แม้จะยังอยู่ไกลแต่เสียงคำรามนั้นดังกึกก้อง “ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่ปล่อยให้ข้านอนอีก ไอ้คนไม่ดูตาม้าตาเรือที่ไหนมาเรียกหาข้าในยามนี้… โอ้ เยี่ยฉวน เจ้ากลับมาแล้ว”
สีหน้าหงุดหงิดของอาวุโสลำดับสองนั้นแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันทีที่เห็นเยี่ยฉวน สองวันมานี้เขาใช้พลังทั้งหมดไปกับการช่วยชีวิตสมุนไพรเขี้ยวมังกรที่กำลังร่วงโรยแต่ทำทุกวิถีทางแล้วก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงเป็นกังวลและหมดหนทาง การได้เห็นเยี่ยฉวนตรงหน้าจึงทำให้แววตาของเขาลุกวาว
“อาวุโสลำดับสอง ท่านเอาแต่เล่นแร่แปรธาตุและปรุงยาสมุนไพรทั้งวัน เคยสนใจสำนักของเราบ้างหรือไม่?” เยี่ยฉวนส่ายศีรษะด้วยท่าทีผิดหวังในตัวอีกฝ่าย
อาวุโสลำดับสองอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “แน่นอน ข้าต้องใส่ใจสิ เยี่ยฉวน เกิดอะไรขึ้น? หรือว่ามีผู้ใดสังหารศิษย์สำนักหมอกเมฆาหรือ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่มีผู้กล่าวว่ากฎของสำนักนั้นเป็นเพียงเสียงผายลมไม่สลักสำคัญอะไร อีกทั้งยังท้าทายผู้อาวุโสกว่า มิหนำซ้ำยังต้องการฆ่าศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้ในที่แจ้ง ข้าคิดว่าคงไม่เป็นผลดีในระยะยาวแน่” เยี่ยฉวนตอบ อี้สั่วรู้สึกหนักใจกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมาก เขาย่อมอวดดีต่อหน้าศิษย์ชายหญิงทั้งหลายได้แต่ต่อหน้าผู้อาวุโสนั้นคงไม่บังอาจ เขาอยากขัดจังหวะแต่ไม่มีโอกาสให้อ้าปากพูด
“มันเป็นใคร?!” อาวุโสลำดับสามเบิกตากว้าง ผู้สังเกตการณ์ถอยกรูดโดยพร้อมเพรียงกัน
ในสำนักนี้มีผู้ใดไม่รู้จักอาวุโสลำดับสอง? มีผู้ใดไม่รู้ถึงความแข็งแกร่ง ความหุนหันพลันแล่น และความวิปริตของเขาบ้าง?
บรรดาผู้ที่เฝ้าดูอยู่นั้นต่างรู้ทันทีที่อาวุโสลำดับสองมาถึงว่าสถานการณ์กำลังจะเลวร้ายลง พวกเขาจึงรีบออกไปแจ้งข่าวให้จินจื่อคุนและอาวุโสลำดับสามทราบ
“อาวุโสลำดับสอง ดูท่าสายตาท่านจะแย่ลงเสียแล้ว” เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ
อาวุโสลำดับสองหันหลังฉับพลันและเพิ่งสังเกตเห็นว่าอี้สั่วมีกระบี่อยู่ในมือ เขาเหวี่ยงจอบของตนลง “ไอ้หนู เจ้าใช่หรือไม่? เจ้าบังอาจโจมตีศิษย์พี่ใหญ่ซ้ำยังท้าทายผู้อาวุโสกว่า เจ้าคิดว่ากฎของสำนักเป็นเพียงอากาศหรืออย่างไร?”
“ไม่เลย อาวุโสลำดับสอง มันไม่ใช่…”
อี้สั่วกระโดดหลบพร้อมกับร้องออกด้วยความเจ็บปวด จอบของอาวุโสลำดับสองส่งกระบี่คมลอยหลุดมือเขาไป เมื่อเห็นว่าอาวุโสลำดับสองไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยง่ายจึงตวัดสายตามองเยี่ยฉวนอย่างดุดัน ความเกลียดชังเยี่ยฉวนยิ่งทวีคูณ เสียงหัวเราะดังแว่วมาจากเบื้องหลัง ในตอนแรกนั้นเขาทั้งหยิ่งผยองและวางท่าแต่ตอนนี้กลับต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
ใบหน้าของเยี่ยฉวนเรียบเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเพียงแค่หันไปหัวเราะกับอาวุโสลำดับสองหลังอี้สั่วจากไป เมื่อครู่ชายชราผู้นี้เพียงแค่แสร้งโง่เท่านั้นเอง