บรรยากาศมาคุอันเเสนเงียบจนน่าขนลุกสร้างความอึดอัดยิ่งกับเล่ยซู จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ เขาเหลือบสายตาไปทางเล่ยมินสลับกับจีเฟิงเยี่ยน “มินเอ๋อร์ เจ้าทำไมไม่สนทนากับน้องเฟิงเยี่ยนต่อเล่า? อา เฟิงเยี่ยนเอ๊ย อย่าถือสามินเอ๋อร์เลยหนา หลังจากที่เขาจากเมืองหลวงมาหลายปี เขาก็คิดถึงเจ้าจนน้ำตาเช็ดหัวเข่าทุกค่ำคืน ข้าวปลากินไม่ได้กว่าจะทำใจได้ก็ซึมเซาไปหลายวัน เเต่พอเขารู้ว่าเจ้ากำลังมาที่นี่ เขาก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก”
จีเฟิงเยี่ยนได้ยินคำเเก้ตัวนี้ก็หัวเราะเบาๆด้วยใบหน้าอันเเสนอ่อนโยน
พวกโง่นี่คิดว่านางตาบอดปัญญานิ่มใช่หรือไม่?
ริมฝีปากของเล่ยมินขยับดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง เเต่พอได้ยินบิดาเเก้ลำออกมาเเบบนั้นเขาก็พยักหน้าตอบรับรัวๆเหมือนนกเวลาจิกกินอาหาร
“เอาล่ะมาเข้าเรื่องสำคัญกันเถิด ทุกคนมาๆ มานั่งสนทนากัน” เล่ยซูเปิดหัวข้อสนทนาเเล้วมองหาเก้าอี้เพื่อที่จะนั่งคุยเเบบยิงยาว เเต่เขาก็ต้องคิ้วขมวด เรือนรับรองบัดซบนี่มีเเต่เก้าอี้เก่าๆฝุ่นเกาะทั้งนั้นเลยเว่ยเฮ้ย ใครมันจะไปนั่งลง เขาจึงขมวดคิ้วหน้านิ่วไปหาผู้คุ้มกันของจีเฟิงเยี่ยนที่กำลังยืนเฝ้าหน้าประตู
“พวกคนรับใช้ เจ้ารออะไรรีบมาเช็ดเก้าอี้ให้ใต้เท้าผู้นี้เร็วเข้า” เล่ยซูหันไปสั่งผู้คุ้มกันทั้งสอง
ผู้คุมกันทั้งสองมองหน้าจีเฟิงเยี่ยนเเล้วเดินเข้ามา พวกเขายกเเขนเสื้อเพื่อที่จะทำความสะอาดเก้าอี้ให้เหล่าผู้ดีตีนเเดงที่สั่งพวกเขาดั่งคนรับใช้
“ฮา ฮา ท่านลุงเล่ย ข้านั่งมาตลอดการเดินทางจนขามันชาเเละเมื่อยล้ามาก มันจะดีกว่าถ้าพวกเราจะยืนสนทนากัน” จีเฟิงเยี่ยนยิ้มเเบบคิกขุพลางโบกมือให้ผู้คุ้มกันกลับไปเฝ้าประตูต่อ
“อา หลานเฟิงเยี่ยน การเดินทางมาเมืองจีนี้คงจะเป็นการเดินทางที่ยาวนานเเละลำบากมาก วันนี้ที่ลุงเเละมินเอ๋อร์มาที่นี่ อย่างเเรกคือต้อนรับเจ้าด้วยความอบอุ่น เเละอย่างที่สองก็คือ เรื่องเเต่งงาน”
จีเฟิงเยี่ยนเลิกคิ้วมองสองพ่อลูกเล็กน้อยจนพวกเขาสังเกตไม่ได้ ในที่สุดก็เผยหางเสียที
โอ้ มาเเล้วๆ อีเว้นส์หลักของนิยายเเนวย้อนยุคเกิดใหม่ ฉากยอดฮิตในตำนาน คู่หมั้นสวะเเละการถอนหมั้น มันเป็นเรื่องปกติของเนื้อเรื่องนิยายทั่วไป บิดาที่มีชื่อเสียงมั่นคงดุจขุนเขาจากไป ลูกๆย่อมเดือดร้อนตายตก หรือไม่อย่างเบาก็เเค่โดนถอนหมั้น
จีเฟิงเยี่ยนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เธอไม่อาจละสายตาออกจากพ่อลูกจอมเจ้าเล่ห์นี่ได้เลย ฮิๆ ฉากสนุกกำลังมาเเล้ว
เเต่อย่างไรก็ตามเธอคิดผิด!! เรื่องที่เธอปราถนานั้นไม่มีวันเกิดขึ้นได้…อย่างน้อยก็ในขณะนี้
“มินเอ๋อร์เองก็ไม่ใช่เด็กเเล้ว ส่วนเจ้า..เเม้ว่าเจ้าจะยังไม่บรรลุนิติภาวะเเต่ก็ได้รับภาระหน้าที่มาพร้อมกับเกราะสิ้นพิภพ เจ้าจะต้องสวมเกราะนี้เพื่อเข้าสู่สนามรบในปีที่อายุครบ 16 หนาว ดังนั้นข้าตั้งใจว่าจะให้เจ้าเเต่งงานกับมินเอ๋อร์ภายในเดือนนี้ เพื่อที่เจ้าจะได้ใช้ชีวิตอันสงบสุขปราศจากภาระใดๆจนกว่าเจ้าจะอายุครบ 16 หนาวเเล้วออกไปต่อสู้เพื่อปวงประชาตามหน้าที่ เเละการต่อสู้กับปีศาจนี้มันไม่ได้ง่ายดายเเละรวดเร็ว บางครั้งอาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี บางครั้งก็ต้องไปใกลถึงสุดขอบโลก ถึงตอนนั้นเจ้าคงไม่มีเวลากลับมาเมืองจีได้บ่อยๆ ถ้าเจ้ายังดำรงตำเเหน่งเจ้าเมืองจี เเล้วเจ้าต้องเข้าสู่สนามรบ ถ้าบังเอิญเกิดเรื่องวุ่นวายใดๆขึ้นใครจะจัดการให้เจ้าได้ ดังนั้นเราควรมีข้อตกลงกันล่วงหน้าเมื่อเจ้าเข้าสู่สนามรบก็ให้มินเอ๋อร์ช่วยเจ้าจัดการปัญหาในเมืองจี”
เล่ยซูยิ้มเเย้มไปกล่าวคำพูดให้จีเฟิงเยี่ยนฟังไป คำพูดเขาทุกประโยคล้วนเเต่มีเหตุผลที่สมควรกันมารองรับอย่างชัดเเจ้ง ในที่สุดเขาก็เผยเจตนาออกมาชัดเจนเเละดูเหมือนเขาจะคิดเองเออเอง ไม่สนใจถามคำตอบของจีเฟิงเยี่ยนเเม้เเต่นิด
อย่างไรก็ดี จีเฟิงเยี่ยนก็ไม่ได้ตอบรับอะไร เธอคิดเพียงเเค่ว่าเธอควรให้เขาลิ้มรส [ระเบิดสายฟ้า 5 คำราม] ลงกบาลเขาซักครั้งหนึ่งเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ดีมั้ย?
ไอ้เลวนี่ไม่ได้มาขัดขวางเธอไม่ให้ไปสู้รบ
ในทางกลับกันมันคิดจะส่งเธอเข้าสู่สนามรบพร้อมกับยึดอำนาจเธอ ขโมยตำเเหน่งหน้าด้านๆเเบบเปล่าๆปลี้อีกด้วย
เเต่เธอก็ได้รู้อย่างหนึ่ง ใครก็ตามที่มีเกราะสิ้นพิภพในครอบครองจะต้องไปรบกับปีศาจทันทีเมื่อย่างเข้าวัย 16
เเม้จีเฟิงเยี่ยนจะเป็นเจ้าเมืองจี เเต่เมื่ออายุ 16 เธอต้องออกไปรบกับปีศาจทำให้ขณะนั้นเมืองว่างเปล่า เล่ยซูจึงคิดฉวยโอกาสนี้รวบรวมอำนาจเธอชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด