ตราบใดที่จีเฟิงเยี่ยนเเต่งงานกับเล่ยมิน เเละจีเฟิงเยี่ยนในวัย 16 ต้องออกจากเมืองไปเข้าร่วมต่อสู้ตามหน้าที่ของผู้ถือครองเกราะสิ้นพิภพ ถึงเวลานั้นเล่ยมินต้องจะไปครอบครองอำนาจเจ้าเมืองในฐานะสามีอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
อ่า ไม่ว่ามองมุมไหนก็ช่างเป็นความคิดที่คนหน้าด้านปานหนังสุนัขเรื้อนเท่านั้นที่จะกระทำได้
จีเฟิงเยี่ยนรู้สึกเอือมระอากับการเเสดงอันห่วยเเตกเเละความคิดโง่เขลาเบาปัญหาของไอ้เฒ่าเล่ย เเต่อย่างไรก็ดีเพื่อซุ่มบำเพ็ญเพียร หน้ากากเด็กใสซื่อก็ยังคงจำเป็นต้องรักษา
“ท่านลุงเล่ย เฟิงเอ๋อร์ขอบคุณท่านมากสำหรับความปราถนาดี เเต่ว่าตัวเฟิงเอ๋อร์จะต้องไปเข้าสู่สนามรบที่อันตรายถึงขั้นตายตกหรือบาดเจ็บหนักในอนาคต มันจะดีที่สุดถ้าหลานไม่สร้างภาระให้เเก่..เล่ยมิน” ระหว่างการพูดสุนทรพจน์ประโยคนี้จีเฟิงเยี่ยนรู้สึกกระดากปาก นางไม่สามารถกล่าวคำว่า “พี่ชายเล่ย” ออกมาให้เป็นอัปมงคลต่อริมฝีปากนางได้
ต้องการใช้ประโยชน์จากตัวฉันงั้นเรอะ!
ฝันเถอะ ถามมารดาผู้นี้รึยังว่าจะให้มั้ย?
น่าเสียดายที่ป่านนี้เล่ยซูก็ยังเดาความหมายในคำพูดยาวๆของนางไม่ออก เขานึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่านางจะปฏิเสธ เขาคาดเดาจากความร่านผู้ชายจีเฟิงเยี่ยนในวัยเด็กได้ชัดเจน จีเฟิงเยี่ยนเด็กโง่ผู้นี้หลงใหลบุตรชายเเสนวิเศษของตนชนิดเงยหัวไม่ขึ้น ที่นางพูดเช่นนี้เเน่นั้นว่าคงไม่อยากเป็นภาระเเก่เล่ยมินเพราะห่วงใยเขา เล่ยซูจึงยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจที่เหตุการณ์ทั้งหมดกำลังจะเข้าเเผนเขาอย่างสมบูรณ์
เขาถอยหลังเเล้วชี้ไปยังหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนเกาะจนเเทบจะสิงเข้าร่างกายเล่ยมินเเล้วกล่าวว่า “เฟิงเยี่ยนเอ๊ย เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องเล็กพวกนี้หรอก จะยอมให้อุปสรรคเล็กน้อยเหล่านี้ขัดขวางความรักของเจ้าที่มีต่อมินเอ๋อร์ตั้งเเต่เด็กอย่างนั้นหรือ?” ในขณะที่เขาพูดก็มองหน้าจีเฟิงเยี่ยนเเล้วยิ้มให้คนมีเมตตาจากนั้นเขาก็พูดต่อ”เจ้าคงกังวลว่า ถ้าเจ้าไปออกรบเเล้วเล่ยมินจะต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไร้คนดูเเล เเละคงคิดว่าเจ้าจะไม่มีบุตรสืบทอดสกุลเเละดูเเลยามเเก่เฒ่า”
เมื่อเกริ่นนำเรื่องมาได้พักหนึ่งเขาก็เริ่มเข้าเรื่องอย่างเเท้จริง “หญิงผู้นี้มีชื่อว่า ซูหลิงเฉิง เป็นคนจากตระกูลซูที่มีชื่อเสียง นางจะเเต่งงานกับมินเอ๋อร์พร้อมกับเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถทำหน้าที่ในสนามรบได้อย่างไร้กังวล นางพร้อมที่จะให้กำเนิดลูกเเทนเจ้าให้กับเล่ยมิน หรือไม่ถ้าบางทีเจ้าให้กำเนิดลูก หลิงเฉิงก็สามารถเลี้ยงดูเขาเเทนเจ้าได้ ในอนาคตเจ้าจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องสามีเเละลูกจนกระทบกับการต่อสู้ในสนามรบอีก”
เล่ยซูกล่าวเเต่ละประโยคด้วยรอยยิ้มเเละน้ำเสียงที่เเสดงถึงความตั้งใจเเฝงด้วยความห่วงใย คล้ายกับว่าเขานั้นห่วง..จีเฟิงเยี่ยนอย่างมากกกก
จีเฟิงเยี่ยนที่เพลินเพลินกับบทละครที่ชายคนนี้เเสดงให้นางดูก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาเเล้วเหมือนกัน
นางไม่เเปลกใจเลยที่ผู้หญิงที่ชื่อหลิงเฉิงจะมองนางด้วยสายตาที่อยากจะกินหัวนางเเบบนั้น
นี่เล่ยซูคิดว่าตัวนางเป็นคนโง่ขนาดนั้นเชียวเหรอ
เมื่อเล่ยซูเห็นว่าจีเฟิงเยี่ยนยังคงยิ้มเเละไม่พูดอะไร เขาจึงรีบส่งสายตามองกันก็รู้ใจไปให้เล่ยมินต่อทันที เเน่นอนว่าเล่ยมินย่อมอ่านออก เขาพูดกับเฟิงเยี่ยนว่า “หลิงเฉิงเป็นคนดีเเละอ่อนโยนยิ่ง นางสามารถดูเเลครอบครัวพวกเราได้เป็นอย่างดี เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องพวกนี้”
ได้ยินประโยคนี้จีเฟิงเยี่ยนถึงกับหลุดหัวเราะ
คนพวกนี้เคยคิดว่าจีเฟิงเยี่ยนคนเก่านั้นเป็นคนหัวอ่อนเเละเชื่อคนง่าย ในฐานะนักรบจุติ นางจะต้องเข้าสู่สนามรบเเละเจอการต่อสู้ที่เลวร้ายจากอันตรายภายนอก เเละเล่ยซูคนนี้ตั้งใจจะให้ลูกชายของเขามีความสุขไปกับธุรกิจ เงินทอง ผู้หญิง อำนาจ เเละบรรยากาศที่งดงามของเมืองจีโดยทั้งหมดนั้นมาจากน้ำพักน้ำเเรง หยาดเหงื่อเเละโลหิตของนางเอง
หากร่างนี้ยังเป็นของจีเฟิงเยี่ยนคนเก่าอยู่ เป็นไปได้สูงที่นางจะซาบซึ้งใจคนพวกนี้ที่หวังดีถึงขั้นตระเตรียมอนาคตให้นาง ทว่าน่าเสียดาย ตอนนี้นางคือจีเฟิงเยี่ยนคนใหม่เเล้ว!!
“ขอบคุณสำหรับความปราถนาดีของท่านลุงเล่ย คุณหนูซูนั้นงดงามเเละเปี่ยมไปด้วยวาสนาจะให้นางเเต่งเป็นเมียรองใครได้อย่างไร ถ้าทำเช่นนั้นความสุขของลูกผู้หญิงคงพังทลายเเน่เเท้ เฟิงเอ๋อร์ก็มีภาระใหญ่หลวงในอนาคต ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะอยู่เป็นหมาโสดต่อไปตราบจนวันสุดท้ายชีวิตจะมาถึง” จีเฟิงเยี่ยนยิ้มเเละบอกคำตอบของนางออกมา
คำพูดนี้ของนางทำให้ทั้งห้องตกตะลึง โดยเฉพาะเล่ยมินเขาถึงกับยิ้มด้วยความดีใจจนเล่ยซูถึงกับถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห