“อย่าบอกนะว่านี่คือข้อได้เปรียบจากการมาเกิดใหม่ของเธอกัน?” จี้เฟิงเยี่ยนลูบคางตนเองพลางคิดถึงเรื่องความฝันที่น่าสะพรึง เเละเสียงของอาจารย์ผู้ล่วงลับไปเเล้วของตัวเอง นี่มันก็ผ่านมาเนิ่นนานเเล้ว นับตั้งเเต่อาจารย์จากไป เธอก็ไม่เคยได้ยินเสียงของเขาอีก ทว่าเพราะฝันเมื่อคืนทำให้เธอได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง นี่นับเป็นครั้งเเรกที่เขาทิ้งข้อความไว้ให้เธอหลังจากล่วงลับไป..ถ้าใช่เขาจริงน่ะนะ เเม้ว่าเธอเเละอาจารย์จะสนิทสนมจนทะเลาะเบาะเเว้งกันทุกวัน เเต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่อาจารย์จะมาหาเรื่องเธอหลังจากตายตกมายาวนาน จนกระทั่งลูกศิษย์ก็เเทบลืมเลือนไปเเล้ว เธอสังหรณ์ว่าอาจารย์มากล่าวเตือนเช่นนี้ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง
หลิงเหอเเละคนอื่นๆหลังจากทำความสะอาดกันทั้งคืน พวกเขาล้วนเหนื่อยอ่อนเเละเเยกย้ายสลายโต๋ไปหลับไปนอนกันตามระเบียบ ในที่สุดเรือนรับรองผีสิงเเห่งนี้ก็เเลสะอาดหูเจริญตาขึ้นมาบ้าง เเม้มันจะโล่งไร้สมบัติทรัพย์สินเเต่อย่างน้อยมันก็ดีเพียงพอให้ซุกหัวนอนได้สบายๆอยู่
จี้เฟิงเยี่ยนเดินสำรวจตรวจตราเรือนรับรองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบ่ายคล้อยจึงได้ดูครบถ้วน เธอนั้นเดาได้ว่าตนเองคงต้องอยู่ที่เมืองจีนี่เนิ่นนาน จึงได้ก้าวเท้าออกจากเรือนรับรองตรงดิ่งไปยังตลาดที่มีฝูงชนมากมายเดินกันให้ควั่ก
เป้าหมายของเธอคือหาสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์จำเพาะทั้งหมดของเมืองจี้นี้
เเม้ว่าเมืองจีจะมีขนาดเล็กผู้คนที่อยู่อาศัยล้วนใช้ชีวิตเรียบง่าย เเต่สำหรับตลาดกลับใหญ่โตเเละมีคนเดินกันหนาเเน่นดูวุ่นวายเเละคึกคักยิ่ง เเผงขายของร้านรวงขนาดเล็กขนาดใหญ่เปิดขายของกันเต็มสองฝั่งทางเดิน สินค้านั้นมีมากมายนำเสนอขายอย่างครบครัน
เอาจริงๆเมืองจีก็ไม่ได้ขาดเสื้อผ้า ธัญญาหาร คมนาคมกันดาลอย่างที่เขาล่ำลือกัน อาจจะเพราะจี้เฟิงเยี่ยนได้เดินสำรวจคร่าวๆจึงพอเข้าใจเมืองเเห่งนี้ได้ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับศตวรรษที่ 24 ยุคนี้จึงดูเรียบง่ายเเละคงความดั้งเดิม ดูจากตลาดเเม้จะมีลักษณะไปต่างอะไรจากตลาดยุคใหม่เเต่สินค้านั้นค่อนข้างต่างกันมาก ที่นี่ไม่มีเเจ็คเก็ต กระโปรงหรือเสื้อเชิ้ตขาย มีเพียงมีด ดาบ อาวุธ เกราะ เเละเเท่งไม้ที่คล้ายว่าจะเป็นคธาวิเศษสำหรับผู้วิเศษหรือผู้ใช้เวทย์มนต์
เสียงกระเพาะน้อยๆของจี้เฟิงเยี่ยนดังขึ้น เธอก็เลิกสนใจบรรยากาศความเเปลกใหม่ของเมืองจี เเละเริ่มมองหาของกินที่สามารถเติมเต็มกระเพาะคลายหิวเเทน เมื่อมองไปมองมาเธอก็พบกับร้านๆหนึ่งที่ไม่รู้ว่าขายอะไร เพราะที่หน้าร้านนั้นเต็มไปด้วยฝูงชนยืนออกันเเน่นจนเเทบมองป้ายหน้าร้านไม่เห็น
จี้เฟิงเยี่ยนที่กำลังเบื่อก็รีบเดินเข้าไปชมดูด้วยความตื่นเต้น
มันเป็นห้างร้านขนาดใหญ่ ทว่ากลับไม่มีของหรูหราตั้งขาย พนักงานในร้านก็เเต่งตัวไม่ดูดีเฉกเช่นร้านอื่นๆ ซ้ำร้ายสินค้าที่พวกเขาขายมันเป็นเเค่หิน อีกทั้งเป็นเเค่หินสกปรกที่วางเเน่นกองเป็นภูเขาเลากา
ก้อนหินที่วางขายนั้นมีมากมายหลากหลายให้เลือกซื้อ ทั้งหินทรงกลม หินทรงรี หินรูปดาว หินเฉยๆไร้รูปทรง บ้างก็ใหญ่เท่าบ้าน บ้างก็เล็กจิ๋วเท่าไข่นกกระทา
หินโสโครกเหล่านี้ถูกวางกองเป็นภูเขาย่อมๆหลายๆกองให้ผู้คนได้ดูกันทั่วถึง
เเละในบรรดาหินเหล่านั้นก็มีหินที่ค่อนข้างสวยหน่อยวางไว้บนชั้นอย่างประณีต ผู้คนที่มุงดูหินกันพยายามเสนอราคาเพื่อขอซื้อหินกันอย่างคึกคัก บางรายถึงกับวางมวยต่อสู้กันอย่างดุเดือด บางรายก็เถียงกันอย่างรุนเเรง บรรยากาศในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับร้านเหล้า เเละเมื่อมีชายกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดเก่าๆขาดรุ่งริ่งเเบกหามตระกร้าใส่หินเข้ามา พวกเขาก็พากันมารุมดูหินในตระกร้าอย่างสนอกสนใจ
ราวกับว่าหินสกปรกเหล่านี้คือเเท่งทองคำอันเล่อค่าก็ไม่ปาน
“พี่ชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่?” จี้เฟิงเยี่ยนพยายามเบียดตัวเข้าไปในฝูงชนโดยใช้ข้อได้เปรียบจากรูปกายที่เป็นเพียงเด็กผอมเเห้งของตัวเองเเล้วไถ่ถามชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่กำลังตะโกนเสนอราคาท่ามกลางความความวุ่นวาย
ชายร่างใหญ่นั้นได้ยินเสียงเล็กๆที่พยายามอะไรบางอย่างกับเขาจึงหันไปดูที่ต้นเสียง ชัดเจนว่าเป็นเพียงเด็กหญิงเหลือขอคนหนึ่งที่สูงยังไม่ถึงครึกตัวของเขาด้วยซ้ำ “นี่ไม่ใช่ที่เล่นของเด็ก ออกไปซะ!!”
จีเฟิงเยี่ยนไม่สนใจเเละยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ทำไมล่ะหนูถึงมาไม่ได้ล่ะเจ้าคะ?”
ชายตัวใหญ่เพ่งมองไปที่เด็กหญิง “เจ้าไม่ใช่คนเมืองนี้รึ ถึงว่าล่ะ”
“พี่ชายรอบรู้ยิ่ง ถูกเเล้วข้าน้อยเพิ่งเดินทางผ่านมา” จีเฟิงเยี่ยนกล่าวพร้อมพยักหน้า
“งั้นข้าก็ไม่เเปลกใจหรอกที่เจ้าไม่รู้ ที่นี่คือ…” ชายตัวอย่างยกมุมปากขึ้นสูงเเล้วยิ้มตอบกลับ