ซูหลิงเฉิงไม่ได้กล่าวอะไร แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เช่นกัน ทั้งหมดที่นางทําคือยืน สวยๆและปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแบบเงียบ ๆ ใบหน้างามมีร่องรอยคิ้วขมวดแสดงให้เห็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ
นางไม่ได้บอกว่าจะกลับคําพูดเสียหน่อย นางแค่ทําตาม “ความปรารถนา ของทุกคนเท่านั้นเอง!
เท่านี้! นางก็จบเรื่องได้แบบสวยๆ
จี้เฟิงเยี่ยนส่ายหัวและมองหน้าของซูหลิงเฉิงที่ยืนนิ่งแต่แอบยิ้มเยาะเหมือน นางร้ายกากๆที่เห็นในทีวี นางก็ยิ้มหัวเราะเบาๆแต่ภายใต้รอยยิ้มนั้น…นาง ก็ซ่อนความเย็นชาเอาไว้ และตัดสินใจว่าจะหาทางฉีกหน้ากากจอมปลอมของ นังผู้หญิงตอแหลคนนี้อีกที
จี้เฟิงเยี่ยนค่อยๆเก็บอาการของตัวเองและกล่าวกับซูหลิงเฉิงด้วยคําพูดธรรมดาๆ
“ปกติข้าเป็นคนรักสงบ ไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก แต่ถ้ามีใครจงใจสร้างปัญหาให้ข้า ข้าคงไม่ใจดีนิ่งเฉยเหมือนพระโพธิสัตว์แน่นอน และที่สําคัญนะ ข้าไม่ใช่พวกขี้ขลาดที่สร้างเรื่องแล้วหนีปัญหาดุจสุนัขวิ่งหนีหางจุกตูด” ขณะที่พูดประโยคสุดท้าย จี้เฟิงเยี่ยนก็หันมามองซูหลิงเฉิงอย่างตั้งใจ
“เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่? เป็นแค่ผู้หญิงแท้ๆ เหตุใดเจ้าถึงได้มีจิตใจชั่วร้ายไร้ซึ่งความเมตตาเช่นนี้!” เจ้าของร้านที่อยู่ด้านข้างไม่สามารถช่วยอะไรซูหลิงเฉิงได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ขอพูดเพื่อสนับสนุนนางเถอะ
ทันใดนั้นจี้เฟิงเยี่ยนก็หันควับมาเจ้าของร้านที่กําลังพูดเสียงดัง เพียงแค่จ้องมองด้วยแววตาเฉยเมย จู่ๆเจ้าของร้านก็เกิดกลัวจนคําพูดที่เหลือไม่กล้าหลุดออกมาแม้แต่ครึ่งคํา ราวกับว่าเขานั้นกําลังสําลัก เขาจึงไม่สามารถพูดออกมาได้ แม้แต่คําเดียวได้แต่ยืนตัวสั่นงกๆมองพื้นอย่างจริงจังประหนึ่งกําลังมองหาเหรียญที่หล่นหาย
“ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดแล้วหรือ?” เจ้าของร้านอ้าปากค้างหน้าแดง แต่พูดอะไรไม่ออกถึงออกเขาก็ไม่อยากพูด
“พวกเจ้าเนี่ย ทําตัวน่าเบื่อจริงๆ” จี้เฟิงเยี่ยนเปลี่ยนเส้นทางมองไปที่ซูหลิงเฉิง ซูหลิงเฉิงเองก็มองไปที่นางเช่นกัน แถมยังมองพร้อมกัดฟันใส่ด้วยสายตาโกรธแค้นอีกด้วย
“ หลิงเฉิง?” เมื่อทุกคนกําลังตกอยู่ในสถานการณ์ลําบาก เพราะการถกเถียงกันของทั้งสาม จู่ๆ ก็มีบุรุษหนุ่มรูปงามร่างสูงเพรียวเดินเข้ามาท่ามกลางฝูงชน เขาเดินเข้าไปที่คนทั้งสามอย่างสง่างามและยื่นมือไปเบื้องหน้าของซูหลิงเฉิงด้ว ยอารมณ์ที่ไม่สู้จะพอใจเท่าไหร่
ซูหลิงเฉิงตกตะลึงและเมื่อนางมองขึ้นไป นางก็เห็นร่างที่คุ้นเคยความเกลียดชังและความไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ก็พลันเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ที่โศกเศร้าและทุกข์ใจในทันทีทันควัน เปลือกตาของนางหลบลงเล็กน้อย นางใช้น้ําเสียงที่ทําให้ทุกคนใจละลายเพื่อพูดว่า…
“มิน”
เล่ยมินมองไปที่ซูหลิงเฉิง เขาเห็นคนรักมีท่าทางผิดปกติและเขาก็เกิดกังวลมากจนทนไม่ได้
จู่ๆ เขาก็ทราบข่าวจากคนงานของร้านว่าให้รีบไป..มีเรื่องด่วน เขาจึงไม่รอรี เพราะรู้ว่านางคงตกอยู่ในอันตราย และในทันทีที่เขามาถึง เขาก็เห็นผู้หญิงที่ เขาคอยหมั่นดูแลด้วยรักและปกป้องอย่างห่วงใยยืนนิ่งด้วยท่าทางที่ดูใจลอยท่ามกลางฝูงชน
“หลิงเฉิง เป็นอะไรรึไม่? ข้ามาแล้ว ใครมันทําอะไรเจ้า?” เลยมินพุ่งเข้ามา กอดซูหลิงเฉิงและปลอบโยนด้วยความห่วงใย พวกเขาพูดคุยกันสนิทใกล้ชิดประหนึ่งว่า ณ ที่นี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคนที่ด้วยกัน ส่วนคนที่เหลือนั้นมีค่าแค่เศษฝุ่นที่ปลิวไปปลิวมา
ซู่หลิงเฉิงเม้มริมฝีปากของนางแน่น และส่ายหัวช้าๆราวกับว่านางไม่ต้องการ ให้เล่ยมินรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าทีที่จนใจและเจ็บปวดของนางทําให้เลยมินมองนางด้วยแววตาสงสารจับจิต
การมาถึงของเล่ยมิน ทําให้เจ้าของร้านถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารีบปรี่ตรงเข้าไปหาเล่ยมินราวกับเขาเป็นขี้ข้าผู้ซื่อสัตย์และพูดว่า…
“นายน้อยจวนจ้าวเมือง ในที่สุดท่านก็มาถึงเสียที ท่านเห็นหรือไม่ขอรับ ลูกค้ารายนี้ยืนกรานที่จะเดิมพันหินกับคุณหนูซูและเรียกร้องสิ่งเดิมพันที่ไม่สมเหตุสมผล ที่นางชนะคุณหนูซูได้ก็เพราะความโชคดีทั้งนั้น อีกทั้งนางอยากให้คุณหนูซูคุกเข่าขอขมาต่อหน้านางพร้อมกับตั้งใจจะช่วงชิงหยกของคุณหนูซูด้วย…” เจ้าของร้านผลักความผิดทั้งหมดไปที่จี้เฟิงเยี่ยน ในขณะที่พูด เขายังยกมือชี้ไปที่จี้เฟิงเยี่ยนแสดงความเกลียดชังอย่างสุดขีดที่มีต่อนาง
ในที่สุดเลยมินก็ตระหนักถึงการมีตัวตนอยู่ของ “คู่หมั้น” นามจี้เฟิงเยี่ยน
ซูหลิงเฉิงคล้องแขนอิงแอบข้างๆกายเล่ยมิน นางซุกใบหน้าและซ่อนแววตา ภายใต้การคุ้มครองของเล่ยมินราวกับว่านางถูกหญิงชั่วร้ายตรงหน้า “ปฏิบัติกับ นางอย่างไม่เป็นธรรม” และนางก็กลัวจนไม่กล้าจะมองหน้า…
ใบหน้าที่สวยงามของนางนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แต่จี้เฟิงเยี่ยนที่ดูผอม แห้งนั้นกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างอวดเบ่ง คิดแข่งบารมีพร้อมกับท่าทางที่บ่งบอกถึงความ “เอาแต่ใจ”
ทันทีที่เล่ยมินเห็น เขาก็เดาทุกอย่างได้และมองไปที่จี้เฟิงเยี่ยนด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
“เจ้ายังสร้างปัญหาไม่พออีกหรือ?” ประโยคแรกที่เล่ยมินพูดกับจี้เฟิงเยี่ยน นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ต่างจากเสียงอ่อนโยนที่พูดกับซูหลิงเฉิงลิบลับ