แต่ท้ายที่สุดเฉินเถียนเถียนก็หยุดคิดเรื่องทั้งหมดทันที ตอนนี้ทุกอย่างของครอบครัวเฉินอยู่ในมือของนาง ไม่สำคัญว่าใครจะเกลียดชังหรือรักใคร่! เพราะความรู้สึกแห่งความยุติธรรมในฐานะตำรวจยังคงเต็มล้นดังนั้นนางจึงไม่อาจยอมโดนกดขี่อย่างอยุติธรรมได้
อีกทั้งร่างนี้ไม่ใช่เฉินเถียนเถียนคนเดิมอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแสร้งทำว่าอ่อนแอในท้ายที่สุดนางก็จะยืนหยัดด้วยขาของตนเองให้ได้
ตราบใดที่เฉินผิงอันและหลินชวนฮวาไม่เข้ามากวนใจ นางก็จะไม่สร้างปัญหาอะไรอีก
ความจริงทั้งหมดของเรื่องที่เกิดขึ้นคงจะกระจ่างไม่ช้าก็เร็ว
ณ ถ้ำแห่งหนึ่งในภูเขาเทพธิดา หยุนเคอมองดูสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นและเริ่มมีความคิดที่อยากจะปลูกเรือนในหมู่บ้าน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทของครอบครัวเฉินในวันนั้น หมู่บ้านแห่งนี้ดูชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย เฉินเถียนเถียนมีเล่ห์เหลี่ยมอันชาญฉลาด จนทำให้หลินชวนฮวาไม่สามารถสร้างปัญหาใด ๆ ได้เลย
เมื่อเวลาผ่านไป… หลินชวนฮวาเริ่มมองหาอาหารที่เฉินเถียนเถียนกิน
นางต้องการกลั่นแกล้งเด็กสาวโดยการนำวัตถุดิบไปซ่อน ทว่าเฉินเถียนเถียนตระเตรียมอาหารไว้สำหรับทุกคนและตักแบ่งส่วนของตนไว้แล้ว!
ส่วนเฉินผิงอันรู้สึกพอใจมากที่ลูกสาวรู้จักหน้าที่และบทบาทของตนเป็นอย่างดี!
เมื่อเห็นอาหารที่น่ารับประทานบนโต๊ะ หลินชวนฮวาจึงวางแผนที่จะซ่อนเนื้อตุ๋นไว้ให้กับลูกชายแต่เพียงผู้เดียว และเพื่อไม่ให้เฉินผิงอันเห็นสิ่งที่ตนทำ หลินชวนฮวาจึงแอบซ่อนเนื้อราวสองสามชิ้นไว้ในจานก่อนจะนำเข้าไปให้เฉินเฉิงเยี่ย
ใบหน้าฟกช้ำจากการถูกรุมทำร้ายของเฉินเฉิงเยี่ยเกือบจะหายดีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าออกมาพบปะผู้คนอยู่ดี
อย่างไรก็ตามอาหารที่หลินชวนฮวานำมาในวันนี้ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก… แล้วเขาจะพอใจกับอาหารจานนี้ได้อย่างไร? เพราะขุนนางไม่มีทางทานอาหารเช่นเดียวกับคนธรรมดาได้
“เฉิงเยี่ย… แม่จัดการกับอีขี้ครอกนั่นแล้วและตอนนี้อาหารทั้งหมดก็อยู่กับแม่ เจ้าแต่ไม่ต้องกังวลเลย… แม่จะไม่ยอมปล่อยให้เจ้ากินอาหารชั้นต่ำเช่นนี้ไปตลอดเด็ดขาด อดทนก่อนนะลูก… หากมีโอกาสแม่จะแอบซื้อเนื้อมาฝากเจ้า!”
แม้เฉินเฉิงเย่จะรู้สึกไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้คำใดกลับ เพียงแต่มองหลินชวนฮวาด้วยแววตาเย็นชาจนน่าขนลุก
“เฉิงเยี่ย… แม้ตอนนี้ลูกจะไปโรงเรียนไม่ได้ แต่จงอย่าล้าหลังหรือยอมแพ้ในการศึกษา ที่แม่ยอมทุกอย่างในตอนนี้ก็เพื่อเจ้า หากเจ้าทำสำเร็จ… ความคับข้องใจที่แม่ต้องอดทนทั้งหมดจะไม่ไร้ประโยชน์!”
เฉินเฉิงเยี่ยพ่นลมหายใจเย็นชาก่อนตอบกลับ “ข้ารู้แล้ว!”
ความจริงหลินชวนฮวาพูดประโยคนี้บ่อยครั้งจนเฉินเฉิงเยี่ยเบื่อที่จะฟังอีกต่อไป
“แต่… ข้าว่าเราควรปล่อยนางไปดีไหม? เด็กสาวนั่นเริ่มจะรับมือยากขึ้นเรื่อย ๆ! ดูสิ… วันนี้ไอ้โง่เฉินผิงอันได้รู้ความจริงเรื่องที่นางเป็นคนทำอาหารแล้ว ข้าเกรงว่าหากนานไปเราจะยิ่งเสียเปรียบ!”
หลินชวนฮวาขมวดคิ้วพลางพูดว่า “ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าอีขี้ครอกนั่นยากจะรับมือ แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องร่วมมือกัน ต่อให้เด็กสาวผู้นั้นจะรับมือยากเพียงใดมันก็คงไม่เกินความสามารถของเราสองคนหรอก!”
เฉินเฉิงเยี่ยตอบกลับอย่างเยือกเย็น “แม่คงไม่รู้สินะ… ไม่ใช่เพียงชื่อเสียงของขุนนางที่สำคัญ ชื่อเสียงของหญิงสาวก็สำคัญด้วย หากเฉินเถียนเถียนมีชื่อเสียงที่ไม่ดี แม้นางจะไม่สนใจ แต่ท่านผู้เฒ่าต้องขับไล่นางออกไปจากบ้านแน่!”
หลินชวนฮวาตอบกลับอย่างหนักแน่น “ในตอนแรกแม่ตั้งใจใช้นางเป็นสินบนเพื่อแลกกับโอกาสที่เจ้าจะได้เข้าศึกษา แต่แผนนี้กลับล้มเหลว…”
“แม่ไม่ต้องคิดมาก! อย่างไรซะนางก็ไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของข้า! หากชื่อเสียงของนางย่ำแย่เราก็ประกาศตัดสัมพันธ์กับนางเสีย ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การใช้นางเป็นเครื่องมือ แต่เป็นการทำลายชื่อเสียงของนางจนต้องถูกขับไล่ออกไป… จะเป็นการดีที่สุดที่จะทำให้นางออกจากบ้านนี้ไปโดยไม่ได้ครอบครองทรัพย์สินใดเลย!” เฉินเฉิงเยี่ยกล่าวคำออกพร้อมเผยแววตาเย็นชาชั่วร้าย
หลินชวนฮวาได้ยินอย่างนั้นจึงรีบกล่าวชื่นชมลูกชาย “โอ้… ลูกชายของแม่ช่างฉลาดนัก! ไม่ต้องห่วง หลังจากคืนที่นางหลบหนีมาจากบ้านของนายน้อยหลี่ไม่มีใครเชื่ออีกแล้วว่านางยังบริสุทธิ์ แม่จะสร้างเรื่องให้ทุกคนคิดว่านางเสียบริสุทธิ์ไปแล้ว… เช่นนี้ต้องได้ผลแน่!”
เมื่อได้ยินดังนั้นเฉินเฉิงเยี่ยจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แน่นอนว่าขุนนางไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงมอบแผนการทุกอย่างไว้ให้หลินชวนฮวาจัดการ
หลินชวนฮวาเดินออกจากห้องไปด้วยความสบายใจ แม้ภายนอกของนางจะยอมอ่อนข้อแต่ภายในใจเต็มไปด้วยไฟแห่งความริษยาและเกลียดชัง!
แน่นอนว่าทุกคนย่อมเกิดมาพร้อมความสอดรู้สอดเห็น ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างออกมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยและนินทาครอบครัวเฉิน!
“เจ้าคิดว่าหลินชวนฮวาจะเปลี่ยนนิสัยได้จริงหรือ? ข้าว่านางเพียงแสร้งทำเท่านั้น… แสร้งคุกเข่าลงขอโทษลูกสาวเพื่อเรียกคะแนนสงสาร!”
ชาวบ้านอีกคนแสยะยิ้ม “หากเป็นเจ้าจะยอมทำเช่นนั้นโดยเปล่าประโยชน์หรือ? เจ้าก็รู้ว่าเถียนเถียนครอบครองทรัพย์สินมากมายของนางหยุนอยู่ หลินชวนฮวาไม่มีทางทำไปโดยไร้จุดประสงค์!”
“ลูกสาวของนางหยุนเปรียบเสมือนคนใช้สำหรับครอบครัวเฉิน เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพวกเขาปฏิบัติต่อนางอย่างไร? หากท่านผู้เฒ่าทราบว่าหลินชวนฮวากระทำต่อลูกเลี้ยงอย่างทารุณ นางต้องเดือดร้อนเป็นแน่!”
หลินชวนฮวาเกือบหลุดหัวเราะออกเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้!
เป็นเพราะหลินชวนฮวาไม่เคยให้ค่าหญิงปากสว่างพวกนี้เลยและยังรู้สึกเสมอว่าการพูดคุยกับพวกนางเป็นการลดระดับของตนเองเพราะในอนาคตนางจะกลายเป็นแม่ของขุนนางผู้ยิ่งใหญ่!
นางจึงทำได้เพียง… อดทนเท่านั้น แน่นอนว่าหลินชวนฮวาไม่จำเป็นต้องเข้าไปเจรจากับพวกนางเพื่อให้เสียเวลา เพียงนั่งลงร่ำไห้อยู่หน้าบ้านอย่างน่าสงสารก็พอ
เมื่อชาวบ้านเห็นอย่างนั้นจึงเริ่มให้ความสนใจและถามไถ่
“นางหลิน… เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเจ้าต้องทำงานบ้านต่าง ๆ มากมายและยังถูกลูกเลี้ยงรังแก กลั่นแกล้งอย่างนั้นหรือ? เมื่อก่อนเป็นเจ้าที่คอยทารุณนาง แล้วเหตุใดวันนี้จึงเป็นฝ่ายถูกทำร้ายเสียเองเล่า?!” หญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งถามด้วยความตกใจ!
ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลินชวนฮวาไม่มีทางสนทนากับพวกนางแน่ แต่เพื่อเรียกคะแนนสงสารจึงต้องจำยอมที่จะพูดคุย
‘เอาล่ะ! เป็นคำถามที่หยาบคายยิ่ง… แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีใครถามเลย!’
“มิใช่! เถียนเถียนเป็นลูกสาวที่ดีเสมอมา… ทั้งยังให้อภัยในสิ่งที่ข้าทำลงไปก่อนหน้านี้ด้วย!”