แม้เฉินเฉินจะไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดเกี่ยวกับการเข้าโรงเรียน แต่เขาก็ได้ยินพี่ใหญ่สัญญาว่าจะสอนหนังสือให้ เท่านั้นเขาก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
เรื่องราวทั้งหมดทำให้เขาตื่นเต้นจนไม่อาจข่มตานอนได้
ขณะที่พ่อแม่กำลังหลับนอนกันอยู่ เฉินเฉินย่องออกจากบ้านพร้อมเข้าไปในโรงเก็บไม้เพราะต้องการบอกข่าวดีนี้กับพี่สาวด้วยตนเอง
“เฉินเอ๋อเจ้ามาทำอะไรที่นี่ แม่ไม่ให้เจ้านอนในห้องงั้นหรือ?”
เด็กชายไม่สนใจที่จะตอบคำถามแต่กล่าวอย่างอื่นแทน “พี่สาว… พ่อบอกว่าจะส่งเสียให้ข้าเรียนหนังสือ!”
เฉินเถียนเถียนยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับ “ยอดเยี่ยม อย่างนั้นเจ้าจงตั้งใจเล่าเรียน หากในอนาคตเจ้าเก่งกาจมากพอ เจ้าจะไม่ต้องพบเจอความหิวอีกต่อไป”
เฉินเฉินพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น “หากวันนั้นหากไม่ต้องทนหิวแล้ว พี่สาวก็ต้องไม่ทนหิวเช่นเดียวกันกับข้า!”
เฉินเถียนเถียนรู้สึกพอใจมาก การให้ข้าวให้น้ำกับเขาไม่ไร้ประโยชน์ ในที่สุดเด็กชายคนนี้ก็คิดได้…
“อย่างนั้นจงตั้งใจเรียนให้ดี ถึงเฉิงเยี่ยสัญญาว่าจะสอนเจ้าอ่าน แต่ข้าก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ยังไงซะข้าจะจับตามองเจ้าอยู่ห่าง ๆ แล้วกัน”
เพราะเฉินเฉินยังเด็กจึงไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่สาวพูด เขาไม่คิดอะไรพร้อมเดินกลับห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แม้เฉินเถียนเถียนจะค่อนข้างกังวลมาก แต่ก็ไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร… ยังไงซะตอนนี้ทำได้เพียงปล่อยผ่านไปก่อน หากเฉิงเยี่ยทำเกินกว่าเหตุก็ยังไม่สายที่จะจัดการเขา!
คืนนี้เฉินเถียนเถียนคิดจะขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง
หลังจากทุกคนเข้านอนหมดแล้ว เฉินเถียนเถียนจึงรีบขึ้นไปบนภูเขา ตอนนี้หยุนเคอยืนอยู่ข้างริมธารแต่วันนี้เขาไม่ได้ตระเตรียมอาหารใดมาให้นางกิน
แต่ถึงอย่างไรเฉินเถียนเถียนก็ไม่ได้สนใจนัก นางจึงนำตุ๋นเครื่องในหมูที่เก็บในคราวก่อนออกมากิน หลังจากอิ่มแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง
เพราะหมูป่าในคราวก่อนถูกแบ่งคนละครึ่ง ดังนั้นเหยื่อต่อไปก็จะต้องถูกแบ่งเช่นกัน ทั้งสองคนไม่มีวันแยกจากกันได้อีกต่อไป เพราะหากแยกกันแล้ว หยุนเคอต้องใช้เวลานานโขกว่าจะล่าสัตว์ได้เท่ากับตอนที่มีนางอยู่ด้วย
ตอนนี้หยุนเคอตระหนักได้แล้วว่าเด็กสาวคนนี้มีประโยชน์ นางสามารถแกะรอยสัตว์ป่าได้มากมายแม้จะเป็นเวลากลางคืน!
หลังจากล่าสัตว์เสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาจึงแบ่งเหยื่อกันและคิดแยกย้าย
“ให้ข้าไปด้วยไหม?”
หยุนเคอถามออกเพราะคิดว่าเฉินเถียนเถียนคงไม่สามารถแบกเหยื่อมากมายกลับบ้านได้โดยใช้ร่างเล็กนี้แน่
แต่เด็กสาวกลับโบกมือปฏิเสธด้วยความเด็ดเดี่ยว “ไม่เป็นไร เจ้าพักผ่อนเถิดคงเหนื่อยมาแล้ว”
แววตาหยุนเคอทอประกายวูบไหวแต่ก็ไม่กล่าวคำใดตอบ เขาหันหลังและเดินกลับเข้าถ้ำไป เมื่อเห็นว่าเขาลับตาแล้ว เถียนเถียนจึงใช้เถาวัลย์มัดเหยื่อแล้วค่อย ๆ ลากลงจากภูเขา
นางมองซ้ายขวาจึงมั่นใจว่าหยุนเคอไม่ได้ตามมา เช่นนี้จึงเหวี่ยงเหยื่อทั้งหมดเข้าไปในเถาเป่า!
ทันใดนั้นเองเหยื่อทั้งหมดก็หายวับไป เถียนเถียนถูมืออย่างพึงพอใจก่อนจะเดินลงจากภูเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แต่ในมุมมืด… ชายร่างใหญ่กำลังมองเด็กสาวตัวน้อยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่… เหยื่อของนางไปไหนหมดแล้ว?
ข้าได้ยินมาว่าเด็กหญิงจากตระกูลเฉินแห่งหมู่บ้านเทพธิดาไม่ได้มีทักษะใดมิใช่หรือ? อย่างนั้นแสดงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เฉินเถียนเถียนคนเดิม เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเขาก็ไม่อาจอธิบายได้เช่นกัน… หรือว่าเฉินเถียนเถียนจะเป็นปีศาจร้าย?
แม้หยุนเคอจะตื่นตระหนกไม่น้อยแต่เขาก็รู้สึกได้ว่านางไม่ได้ต้องการทำร้ายเขา ดังนั้นจึงสงบสติก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
ส่วนเฉินเถียนเถียนเองก็ไม่คาดคิดว่าตัวตนของนางกำลังจะถูกเปิดเผย!
เมื่อคืนนางล่าสัตว์ได้มากมายและเก็บมันไว้ในเถาเป่า ตอนนี้นางหยิบกระทะออกมาเพื่อตระเตรียมปรุงอาหารเช้า
เมื่อเสร็จสิ้นนางจึงจัดการกับไก่จนอิ่มหนำและนำที่เหลือไปซ่อนไว้ดังเดิม
ได้เวลากลับบ้านแล้ว…
ส่วนเฉินเฉินตื่นเช้ามากเพราะตื่นเต้นอย่างต้องการเรียนหนังสือ!
วันนี้เขามาทันมื้อเช้าที่แม่ของตนตระเตรียมเอาไว้บนโต๊ะ
เพราะเฉินเถียนเถียนเคยมอบอาหารให้เขาในยามหิว เด็กชายจึงคิดอยากตอบแทนพี่สาวบ้าง
เด็กน้อยโพล่งขึ้นกลางโต๊ะอาหารด้วยความประหม่า “พ่อ… พี่สาวข้ายังไม่ได้กินข้าว ข้าชวนนางมาร่วมโต๊ะกับเราได้หรือไม่?”
สีหน้าของเฉินผิงอันเปลี่ยนไปทันที เขาเกลียดที่ลูกชายพูดถึงเด็กสาวขี้ครอก!
หลินชวนฮวาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เด็กนี่ช่างรนหาที่จริง ๆ! ผู้เป็นพ่อคิดอยากเอาใจแต่เขากลับทำลายทุกสิ่งด้วยการพูดถึงนังเด็กสารเลวนั่น!
“เฉินเอ๋อ! เจ้าควรจะห่วงตนเองก่อน รีบกินข้าวซะ!”
เฉินผิงอันดุลูกชายด้วยความหงุดหงิด คิดไตร่ตรองเพียงครู่เขาก็ทุบตะเกียบลงบนโต๊ะพร้อมลุกหนีไปโดยไม่แยแสผู้ใด
หลังจากถูกดุ เฉินเฉินพลันเจ็บปวดยิ่ง อีกทั้งหลังจากเฉิงผิงอันเดินออกไปแล้ว ใบหน้าหลินชวนฮวาแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดทันที
“ถ้าเป็นห่วงอีขี้ครอกนั้นมากก็ไม่ต้องกิน เอาไปแบ่งให้นางซะ! ข้าเลี้ยงเจ้ามาหลายปี เจ้าก็ได้เรียนรู้การกินอาหารในบ้านและการหากินเองนอกบ้านแล้วไม่ใช่หรือ? หากเจ้าไม่อยากกินอาหารฝีมือข้า… ก็ไม่ต้องกิน!”
จากนั้นนางคว่ำชามและตะเกียบในมือของเฉินเฉินอย่างรุนแรง น้ำตาของเด็กน้อยไหลอาบแก้ม แต่ไม่ว่าจะร้องไห้แค่ไหนก็ไม่สามารถปลุกความเห็นใจหรือความเป็นแม่ในตัวของหลินชวนฮวาได้ รังแต่ยิ่งทำให้นางหงุดหงิดมากขึ้นด้วยซ้ำ
นางทุบหลังเฉินเฉินอย่างรุนแรงพร้อมก่นด่า “ขี้ขลาดถึงเพียงนี้ก็ยังอยากจะเล่าเรียนเพื่อเป็นนักปราชญ์หรือ? เจ้าควรจะเป็นขี้ข้าและถูกเหยียบย่ำไปจนตาย!”
หลังจากกล่าวจบ นางเลิกสนใจเฉินเฉินที่ร้องไห้แต่กลับนำอาหารที่เหลือทั้งหมดไปส่งที่ห้องของเฉิงเยี่ยแทน
เพราะเฉิงเยี่ยกล่าวรับปากว่าจะสอนน้องชายด้วยตนเอง เช่นนี้จึงต้องรับผิดชอบงานหนักขึ้น แต่สายป่านนี้เขากลับยังไม่ลุกจากเตียง!
หลินชวนฮวาไม่ได้สนใจอะไรนักจึงวางอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปอย่างเงียบเชียบด้วยความเกรงใจ
เมื่อเฉินเฉินเห็นแม่เดินออกมาก็รีบวิ่งเข้าห้องเพื่อหลบซ่อนเพราะเกรงว่าจะถูกตีอีกครั้ง
เฉินเฉินไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายคนโตจึงมีค่าราวกับทองคำ แต่พี่สาวของเขากลับถูกเหยียบย่ำราวกับวัชพืช!
ในที่สุดแม่ผู้น่ารังเกียจก็ออกไปจากบ้าน เฉินเฉินจำได้ดีว่าพี่ชายสัญญาจะสอนหนังสือให้กับเขา ดังนั้นถึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้องของเฉินเฉิงเยี่ยด้วยความตื่นเต้น
แต่เขาจะเล่าเรียนได้อย่างไรก็ในเมื่อนักปราญช์ผู้นั้นยังไม่ยอมลุกจากที่นอน?
เฉินเฉินกลืนน้ำลายขณะมองอาหารบนโต๊ะ แต่เขาก็ไม่กล้าแตะต้องมันเพราะรู้ว่าแม่ตั้งใจทิ้งไว้ให้พี่ชายใหญ่…