สามีข้า… คือพรานป่า ตอนที่ 139 เข้าสู่ร้านอาหาร
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนเดินออกมาด้วยท่าทีที่ต่างออกไปซึ่งเขาอาจเป็นผู้จัดการร้าน
“เสี่ยวหลินเจ้าอวดดีมากเกินไปแล้ว!เอาล่ะไปหยิบเงินค่าแรงของเจ้าแล้วออกไปซะ! ร้านอาหารแห่งนี้เป็นเพียงร้านเล็กๆคงไม่สามารถรองรับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เช่นเจ้าได้!”
หลังจากตําหนิลูกจ้างด้วยสีหน้าจริงจังแล้ว เขาเดินมาหาทั้งคู่ก่อนจะกล่าวต้อนรับ “ท่านทั้งสองถามถึงข้า… มีเรื่องอะไรหรือ?”
แม้หยุนเสียนเถียนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูไม่ดีนักแต่ก็กล่าวออกด้วยท่าทางอ่อนโยน “ข้าอยากจะขอพบนายน้อยหลี่พวกเรามีเรื่องจะต้องเจรจากับเขาเช่นนี้จึงต้องรบ กวนท่านด้วย”
ผู้จัดการร้านหลี่ตาเล็กน้อยพลางมองไปยังหยุนเถียน เถียนแม้นางจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าและทรุดโทรมแต่ก็ยังคงงดงามในทุกการเคลื่อนไหวการเผชิญหน้ากับนางนั้นทําให้เขาแทบควบคุมตนเองไม่ได้
หากมองข้ามเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่สวมใส่ ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะคิดผู้คนจะคิดว่านางคือสนมของชายยศใหญ่ในวัง
ส่วนนายน้อยหลี่เองนั่งอยู่ในห้องใต้หลังคาและเฝ้ารอการมาถึงของหญิงสาวผู้งดงามมาตลอดหลายวัน…
เช่นนี้ผู้จัดการร้านไม่รีรอและนําทั้งสามขึ้นไปยังชั้นบนทันที
“เอาล่ะสาวน้อย ให้ชายวัยกลางคนและเด็กน้อยรอตรงนี้เสียก่อน”
“ชายวัยกลางคน??
หยุนเทียนเถียนถึงกับอดไม่ได้ที่จะยิ้ม.
หยุนเคอบอกว่าเขาอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้นเหตุใดอีกฝ่ายจึงมองว่าเขาเป็นชายวัยกลางคน?!
มันง่ายที่จะสับสนอายุที่แท้จริงของหยุนเคอเพราะหนวดเครารุงรังนั้น
เฉินเฉินเองก็สงสัยและแปลกใจว่าเจ้าของร้านรู้ได้อย่างไรว่าหยุนเคอเป็นชายวัยกลางคน?!
อย่างไรก็ตาม หยุนเถียนเถียนไม่สนใจคํากล่าวนั้นและพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อห้ามตนเองไม่ให้หัวเราะออกมาก่อนจะเดินต่อไปพร้อมกับหยุนเคอ
ทันทีที่หยุนเถียนเถียนเดินขึ้นไปถึงชั้นบนก็พบว่านายน้อยหลีกําลังยืนอยู่ริมหน้าต่างพลางพิมพ์ “ หากเป็นหญิงสกปรกผู้นั้นข้าไม่ยอมปล่อยนางไปอีกแน่!”
หยุนเถียนเถียนกระแอมทันที “นายน้อยหลี่กําลังนินทาหญิงสกปรกอยู่ไม่กลัวนางได้ยินหรือ?”
หลี่ซื่อฮวาหันกลับมาอย่างรวดเร็วเขาอดไม่ได้ที่จะเพิกเฉยต่อเสื้อผ้าอันทรุดโทรมพลางมองไปยังใบหน้าที่แสนงดงามของนางและตกอยู่ในภวังค์สักครู่หนึ่ง
.
เมื่อเห็นดังนั้น หยุนเคอก็รู้สึกโกรธโดยไม่มีเหตุผลก่อนจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อบดบังสายตาของหลี่ซื่อฮวาเขารู้สึกว่าไม่ควรเห็นด้วยกับเรื่องไร้สาระที่หญิงผู้นี้กําลังจะทํา
.
..
“นายน้อยหลี่ ข้าทั้งสองนําเนื้อตากแห้งมาให้ท่านชิมหากถูกใจก็เป็นไปได้ที่เราจะร่วมธุรกิจกัน ท่านคิดว่าอย่างไร?”
หลี่ซื่อฮวามองหยุนเคอด้วยความเกรี้ยวกราดทันที
2
“เจ้ากําลังจะบอกว่า… นางคือคนรักของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าทั้งสองทําผิดศีลธรรมจนต้องแต่งงานกัน ใช่หรือไม่?!อะไรกัน?กล้ายอมรับหรือไม่?”
หยุนเคอกล่าวตอบด้วยน้ําเสียงเย็นชา “ขอนายน้อยหลี่โปรดเคารพต่อศักดิ์ศรีของเถียนเถียนด้วยนางเป็นคู่หมั้นของข้าและท่านไม่มีสิทธิ์ในตัวนางจึงไม่ควรกล่าววาจา เช่นนี้!”
หลี่ซื่อฮวาตกตะลึงและยิ้ม“เป็นไปไม่ได้!หญิงใฝ่สูงผู้นี้จะชายตาลงมามองเจ้าได้อย่างไร? แม้แต่ชายที่มาจากตระกูลสูงส่งเช่นข้ายังไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย!”
หยุนเคอกล่าวตอบหนักแน่น “วันที่ข้าตกลงรับเอานางมาเป็นภรรยาทุกคนในหมู่บ้านก็ต่างร่วมเป็นพยาน!และหัวหน้าหมู่บ้านก็ไปยังสํานักราชการเพื่อดําเนินเรื่องที่ดิน ที่ข้าจะใช้สร้างเรือนหอให้แล้วด้วย!ทําไมหรือ?นายน้อยหลีมีข้อข้องใจอันใดหรือไม่?”
สิ่งที่หลี่ซื่อฮวาแปลกใจไม่ใช่คําพูดของหยุนเคอแต่เป็นการตอบสนองของหยุนเถียนเถียนซึ่งทําให้เขาแทบรับไม่ได้…
หากหญิงผู้นี้ไม่เต็มใจแต่งงาน แน่นอนว่านางต้องลุกข์นต่อสู้และปฏิเสธเสียงแข็งแต่คราวนี้ดูเหมือนว่านางจะยินดีรับชะตากรรม
หลี่ซื่อฮวาไม่รู้ว่าทําไมเขาถึงรู้สึกว่างเปล่าในใจราวกับว่าได้สูญเสียสิ่งที่สําคัญไป!
“อะไรนะ? จากการกระทําของนายน้อยหลี่ ข้าคิดว่าท่านกําลังตกหลุมรักนางสุดหัวใจ… ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของข้าจะทําให้ท่านเจ็บปวดใจไม่น้อย!” หยุนเคอส่งสายตาเย้ยหยันออก
หลี่ซื่อฮวาพยายามข่มความรู้สึกไว้เพื่อไม่ให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าดูถูกหรือหัวเราะเยาะ เขารีบกล่าวตัดบท “เอาล่ะ!เลิกพูดถึงปัญหาเหล่านี้ได้แล้ว! สิ่งที่เจ้านํามาคืออะ ไรกัน? พาข้าไปดูสิ!”
หยุนเทียนเถียนหยิบตะกร้าจากหยุนเคอและวางมันบนโต๊ะก่อนจะเปิดผ้าคลุมออก
เพื่อหน้าตาและรสชาติที่ดีหยุนเถียนเถียนได้ทําการชําระควันดําและคราบไหม้ออกไปจากเนื้อเหลือเพียงสีน้ําตาลสดซึ่งทําให้เกิดความอยากอาหารเพิ่มขึ้นและทันทีที่เปิดผ้าออกกลิ่นหอมก็พวยพุ่งออกอย่างไม่อาจต้าน
หลี่ซื่อฮวารู้สึกว่ากลิ่นหอมเหล่านี้ดึงดูดใจเป็นอย่างมากแต่กลับแสร้งทําเป็นไม่สนใจและพูดว่า “ก็เป็นเพียงเนื้อราคาถูกไม่ใช่หรือ?ข้าก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นสิ่งพิเศษอะไร! สาวน้อย…เจ้าเอาเนื้อนี้มาให้ข้าดูเพื่อสิ่งใดกัน?”
หยุนเถียนเถียนเลิกคิ้วเล็กน้อย “เนื้อนี้เป็นเอกลักษณ์ของเมืองต้าเย่ว! แน่นอนว่านายน้อยหลี่ต้องไม่เคยลิ้มรสมาก่อนเหตุใดจึงมั่นใจนักว่าเป็นเพียงเนื้อธรรม ดา?”
หลีชื่อฮวาวางพัดในมือก่อนจะนั่งลงอย่างเฉยเมย
“เอาล่ะ! พ่อครัวของเราไม่เคยเห็นเนื้อนี้จึงไม่รู้ว่าต้องทําอย่างไรเช่นนั้นแล้ว เจ้าจงไปปรุงเนื้อนี้ในครัวและนํามาให้ข้าชิมเสีย”
หยุนเถียนเถียนพยักหน้าก่อนจะเดินตามเชี่ยวชื่อไปยังห้องครัวทันที
หยุนเคอนั่งรออยู่ในร้านอาหารพลางดื่มชาอย่างใจเย็นเฉินเฉินเองก็นั่งอยู่ข้างเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะการที่พี่สาวพามาในเมืองและซื้อเสื้อผ้าให้ก็รับว่าเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ มากแล้วสําหรับเขา
ในโอกาสนี้เขาไม่อยากพูดอะไรมากเพียงมองด้วยตาและฟังด้วยหูก็พอ
หยุนเคอนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร และหลีชื่อฮวาเองก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรเช่นกัน ดูเหมือนว่านายน้อยหลี่จะยังคงไตร่ตรองว่าความรู้สึกสูญเสียในหัวใจของเขานั้นมาจาก ที่ใด?!
จากนั้นไม่นาน หยุนเสียนเถียนก็เดินออกมาพร้อมถาดในมือ
เพื่อไม่ให้คนครัวของนายน้อยหลี่รู้เคล็ดลับของตนหยุนเถียนเถียนจึงปรุงโดยการนําไปนึ่งเพราะสูตรลับพิเศษในการปรุงเนื้อตากแห้งคือการนําไปอบกับกิ่งเมเปิ้ล ซึ่งเป็น สูตรที่เปิดเผยให้ใครไม่ได้ง่าย ๆ
ทันทีที่เปิดฝาครอบออกควันและกลิ่นหอมของเนื้อตากแห้งก็ลอยคลุ้งไปทั่ว!
หลี่ซื่อฮวาถอนหายใจอย่างโล่งอกชีวิตของเขาฟุ่มเฟือยมาโดยตลอดและไม่มีอาหารรสชาติเยี่ยมชนิดไหนเลยที่เขายังไม่ได้ลิ้มลองแต่กลิ่นหอมของเนื้อตากแห้งนี้กลับดึงดูดใจเขาเป็นอย่างบอกไม่ถูก
นายน้อยหลี่หยิบตะเกียบขึ้นพลางคีบไปยังเนื้ออันหอมหวนขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เขาจะค่อย ๆ คืบเนื้อเข้าปากก่อนจะเคี้ยวจนสัมผัสได้ถึงรสชาติอันโอชะ และกลิ่นหอมคลุ้งตลบอบอวลอยู่ในปากตลบอบอวนไปทั่วศีรษะ
“เป็นเนื้อที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!เจ้าทําได้อย่างไร?”
“ดูจากสิ่งที่นายน้อยหลี่พูดแล้วเคล็ดลับการปรุงเนื้อตากแห้งของข้าคงใช้ทําเงินได้ไม่น้อยจะให้บอกกับผู้อื่นง่าย ๆได้อย่างไร?”
หลี่ซื่อฮวายังคงถือตะเกียบไว้ในมือพลางพูดต่อ “เนื้อนี้รสชาติเยี่ยม งั้นบอกมาเถิดว่าเจ้าต้องการเท่าไหร่?”
หยุนเถียนเถียนรินน้ําชาอย่างใจเย็น “ดูเหมือนว่าท่านจะพอใจไม่น้อย…”