ตอนที่ 3 การพบกัน
ภายใต้พุ่มไม้หนาทึบในป่าใหญ่บนภูเขา ซึ่งในบางครั้งอาจได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายมากมายหลายชนิด
ค่ำคืนนี้พระจันทร์เสี้ยวแขวนอยู่สูงบนท้องฟ้า ซึ่งมีเมฆดำหนาทึบปกคลุมอยู่
และภูเขาทั้งลูกก็ได้เปลี่ยนเป็นทิวทัศน์ที่มืดสนิท ความเงียบสงบในบรรยากาศเช่นนี้ ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ชางอู๋ซินถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทุกย่างก้าวของนางว่องไวแต่กลับมิได้ยินเสียงฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวมิมีอาหารตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว ร่างกายของนางจึงค่อนข้างอิดโรย และไร้เรี่ยวแรง
หากได้พบสัตว์ป่าที่ดุร้ายในตอนนี้ คงมิมีทางรอดชีวิตกลับไปเป็นแน่
ถึงแม้ว่าร่างกายของชางอู๋ซินจะมีความอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่หลังของนางกลับตั้งตรงอย่างเห็นได้ชัด
และแม้ว่าร่างกายนี้จะผอมแห้ง แต่นางก็ยังคงเป็นเหมือนราชาแห่งป่านี้
ดวงตาที่แหลมคมราวกับสัตว์ป่าคู่นั้นกำลังเฝ้าระวังบริเวณรอบข้างอยู่ตลอดเวลา
และในตอนนี้แววตาที่เยือกเย็นของชางอู๋ซิน จ้องมองไปยังร่างที่มิไหวติงนั้น ซึ่งมันดูเหมือนซากศพที่กำลังนอนอยู่
แม้ว่าศิลปะการต่อสู้เดิมนั้นจะสูงส่งมาก แต่นางยังมิได้ปรับตัวให้ชินกับร่างกายนี้
และในเวลากลางคืนเช่นนี้ มันทำให้ชางอู๋ซินมิสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของชายผู้ที่กำลังนอนอยู่บนพื้นได้อย่างชัดเจน
แต่นั่นมิใช่สิ่งที่สำคัญ เพราะชางอู๋ซินมิได้แยแสความทุกข์ร้อนของผู้อื่นอยู่แล้ว
ในการกลับมาเกิดนี้ นางต้องการกลับมาล้างแค้นเท่านั้น
ชางอู๋ซินคือผู้ที่มีใจคอดุร้าย และโหดเหี้ยม มิว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ นางก็ควรเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของตนเอง
ในขณะที่ชางอู๋ซินกำลังจะเดินข้ามศพนั้นไป เป็นจังหวะดียวกันกับที่ร่างนั้นได้ส่งเสียงครวญครางขึ้น
แต่นั่นมิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดของนางได้
เพราะชางอู๋ซินจำเป็นต้องรีบเดินทางกลับไปยังที่ประทับขององค์รัชทายาทโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้เข้าไปแสดงตัวในฐานะองค์ชาย
และอีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะนางตระหนักได้ว่า มิว่าจะอยู่แห่งหนใด การมีตำแหน่งและอิทธิพลเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด
แม้ว่านางจะกลับมาเกิดใหม่ แต่ก็มิได้ตั้งใจที่จะมีชีวิตอันน่าเบื่อหน่ายและเงียบสงบ
ตราบใดที่ชางอู๋ซินสามารถกุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ในมือได้ นางก็จะสามารถบัญชาชะตากรรมของตนเองได้ และมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
ทันใดนั้นเองร่างที่กำลังนอน อยู่บนพื้นได้คว้าเท้าเปล่าของชางอู๋ซิน ทำให้ทั้งร่างของนางตอบโต้กลับโดยสัญชาตญาณในทันที
เท้าของชางอู๋ซินเตะเข้าไปยังชายผู้ที่กำลังลืมตาอยู่ โดยการเตะนั้นพุ่งเป้าไปยังช่องท้องของร่างนั้น
หากมันโดนเขา นอกจากจะเกิดอาการบาดเจ็บที่รุนแรงแล้ว เขาอาจจะมิสามารถมีชีวิตรอดได้
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า บุคคลผู้นี้มิใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
เพราะเมื่อการเตะชางอู๋ซินพุ่งเข้าไปใกล้กับบริเวณหน้าอกของร่างนั้น
บุคคลผู้นั้นได้กลิ้งหลบอย่างรวดเร็ว ชางอู๋ซินสามารถกล่าวได้เลยว่า ศิลปะการต่อสู้ของเขามิได้ต้อยต่ำและเป็นผู้ที่มีความอดทนสูงมาก
ขณะนี้เขายังคงตื่นตัวอยู่ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถหลบหลีกได้อย่างแม่นยำ
ชางอู๋ซินค่อย ๆ นั่งลงข้างร่างนั้น โดยมิได้ระวังตัวแต่อย่างใด
เพราะคิดว่าร่างกายนี้ได้รับบาดเจ็บมากมาย แม้แต่การลุกขึ้นนั่งก็นับว่ายากมากแล้ว
เมฆดำทะมึนเริ่มคลายตัวออกเผยให้เห็นพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งกำลังกระจายแสงบางส่วนไปทั่วผืนป่าบนภูเขาแห่งนี้
ชางอู๋ซินจึงใช้แสงจันทร์ช่วยในการมองดูร่างที่กำลังนอนอยู่บนพื้น
เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความสง่างามเป็นอย่างมาก ผมสีดำยาวถูกมัดกระจัด กระจายอยู่ด้านหลังที่กลาดเกลื่อนไปด้วยใบไม้แห้ง
ภายใต้คิ้วอันบอบบางนั้น มีดวงตาที่น่าหลงใหลคู่หนึ่ง
มุมตาด้านนอกจึงยกขึ้นเล็กน้อยซึ่งมันช่วยเพิ่มเสน่ห์มากยิ่งขึ้น และริมฝีปากซีดของเขาคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
แต่ชางอู๋ซินสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าอันรุนแรง ที่มุ่งเป้ามาที่นางในตอนนี้
คนผู้นี้เป็นผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน เพราะชางอู๋ซินได้กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงเป็นอย่างมาก
มันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของผู้ที่สังหารผู้คนมาแล้วมากมาย จนมิสามารถล้างคราบคาวนี้ออกได้
ฮันซวนห่าวได้หมดสติไปหลังจากเกิดอาการบาดเจ็บสาหัส และเขารู้สึกว่า มีคนเดินผ่านมาจึงรีบคว้าเท้าของคนผู้นั้นเอาไว้
แม้ว่าฮันซวนห่าวจะเจ็บหนัก แต่ก็รู้ดีว่า หากมิหลบหลีกก็คงจะได้ลงไปอยู่ในนรกแล้ว
ชายผู้นี้จ้องมองไปยังผู้ที่ค่อย ๆ นั่งลงด้านข้าง และในขณะนี้สายตาของ
ฮันซวนห่าวเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเป็นอย่างมาก
เขาเกลียดชังเป็นอย่างมากเมื่อมีคนเข้าใกล้เขามากเกินไป
มิว่าจะเป็นชายหรือหญิง มิมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เขา มิเช่นนั้นพวกเขาจะถูกสังหารในทันที
เมื่อเขาสังเกตเห็นว่า ชายผู้นั้นเข้ามาใกล้ ม่านตาของฮันซวนห่าวก็ต้องขยายกว้างขึ้น!