บ่ายวันนั้น
เรื่องการยกเว้นภาษีปีนี้ของหมู่บ้านตระกูลหวังได้แพร่กระจายไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง
ตอนแรกเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่มีใครอยากจะเชื่อ เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น
หากมีใครเชื่อว่าตระกูลขุนนางเหล่านั้นจะยอมงดเว้นภาษีให้ มันก็เหมือนกับเห็นหมูปืนขึ้นต้นไม้นั่นเเหละ
หากจะพูดว่าพวกเขาไม่ได้อิจฉามันคงจะเป็นเรื่องโกหก ทำไมสิ่งดีๆแบบนี้ถึงไม่เกิดขึ้นกับพวกเขาบ้างนะ?
มีบางคนต้องการต่อต้านตระกูลเหลียงและหยวน
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ถูกห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน
คนพวกนี้กำลังมองหาความตายรึยังไง?
หากพวกเขาต่อต้านระบบภาษีที่โหดร้ายของตระกูลขุนนางทั้งสอง มันอาจจะทำให้เกิดการสังหารหมู่ขึ้นในวันถัดไป
ด้วยเหตุผลข้างต้นมันจึงไม่มีใครไปเรียกร้องอะไร
อย่างไรก็ตามหลังจากวันนี้คนจะจำนายน้อยตระกูลหลินได้มากขึ้น
เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว นายน้อยเป็นคนที่นิสัยดีมากคนหนึ่ง และถ้าหากไม่มีการ์ดอยู่หน้าตระกูลพวกเขาคงจะรวมตัวกันเพื่อไปขอบคุณท่านแล้ว
กลางคืน
ตระกูลเหลียงกำลังมีงานเลี้ยงที่ดูฟุ่มเฟือย
ในฐานะบุตรชายคนที่สามของตระกูล สถานะของเหลียง หยงฉีในตระกูลเหลียงค่อนข้างสูง
แต่เขาก็ยังมีพี่ชายและพี่สาวที่อยู่เหนือเขาอีก
ตัวพี่สาวไม่น่ากังวล เพราะเธอจะต้องแต่งงานในไม่ช้าก็เร็ว
สิ่งที่เป็นภัยคุกคามจริงๆของเขาก็ก็คือพี่ชายของเขาเหลียง อี้ชู
ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ความสูงหรือการฝึกฝน พี่ชายของเขาก็เหนือกว่าเขาทุกอย่าง
และด้วยเหตุนั้นเอง ตอนนี้เขาจึงต้องคิดว่าควรจะทำยังไงถึงจะได้เป็นทายาทและขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป
ในเวลานี้ หัวหน้าตระกูลเหลียงกำลังคิดถึงเรื่องที่เขาได้ยินมาเมื่อตอนบ่าย เขาวางตะเกียบลงจากนั้นก็มองไปรอบๆ “เมื่อตอนบ่าย ข้าได้รับข่าวเรื่องเจ้าเด็กตระกูลหลินไปที่หมู่บ้านตระกูลหวังและยกเลิกภาษีของปีนี้ มันยังกล่าวอีกว่าในอนาคตจะเก็บภาษีเพียงแค่10%เท่านั้น และถ้าหากว่าตระกูลหลินตกอยู่ในมือของมัน ตระกูลหลินคงจะอยู่ไม่ไกลจากการล่มสลาย”
เขาพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากและดื่มเข้าไปอีก
จากนั้นเหลียง หยงฉีก็พูดว่า “ท่านพ่อ มันเป็นเพียงแค่ขยะ และยังเป็นพวกไร้ประโยชน์ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น แต่มันก็ยังมีหน้าไปสงสารผู้อื่นอีก หลังจากนี้เราจะมารอดูกันว่าเมื่อตระกูลหลินล่มสลายแล้วจะยังมีใครมาสงสารมันบ้าง?”
“อืม ที่เจ้าพูดมามันก็ถูก” หัวหน้าตระกูลพยักหน้าและเห็นด้วย
สำหรับเหลียง หยงฉีเมื่อเขานึกถึงหน้าของหลิน ฟานขึ้นมาความโกรธในใจของเขามันก็จะปะทุ
เพราะมันบังอาจทำให้เขาเสียหน้าที่ศาลาเสาวธารเมามาย
เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่
“พี่ชาย ท่านก็คิดว่ามันโง่เหมือนกันใช่รึไม่?” เหลียง หยงฉียิ้มจากนั้นเขาก็ถามออกมา
เหลียง อี้ชูเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาจริงๆ คิ้วที่เหมือนดาบของเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่เขาตอบกลับไป “ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่นายน้อยหลินทำมันจะเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ เพราะปีนี้มันมีภัยแล้งและประชาชนก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก การลดภาษีหรือแม้แต่งดเว้นภาษีของปีนี้มันไม่ใช่การกระทำที่โง่เขลา แต่มันช่วยให้คนภายใต้การปกครองของเขาอยู่รอดต่างหาก”
“ท่านพ่อ ข้าก็คิดว่าเราควรจะลดภาษีของเราลงเหมือนกันเพื่อที่พวกเขาจะได้ระลึกถึงความมีน้ำใจของตระกูลเหลียง”
เหลียง เจียใช้เท้าเตะพี่ชายของเธอจากใต้โต๊ะ นั่นจึงทำให้เขาหยุดพูดทันที
“ฮาฮา” เหลียง หยงฉียิ้ม “ท่านพี่ ที่ท่านพูดมามันผิดหมด เราจะไปสงสารพวกมันทำไม? ในเมื่อมันยังมีคนอีกมายมายรอต่อคิวเพื่อรับความช่วยเหลือจากเราอยู่ เพียงแค่หนึ่งหรือสองเงินพวกมันก็พร้อมที่จะยอมสละชีวิตเพื่อเราแล้ว และถ้าเราให้สิบเงินแก่พวกมันเราจะสามารถสั่งให้พวกมันลืมอดีตของตัวเองได้เลย”
เหลียง อี้ชูส่ายหน้า “น้องสาม เจ้าไม่สามารถพูดแบบนั้นได้ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานะไหนพวกเขาก็มีชีวิตเหมือนกัน”
เขามองไปที่พ่อของเขา
“ท่านพ่อ ตอนนี้ตระกูลหลินนำหน้าเราไปแล้ว แต่โชคดีที่ในปีนี้ตระกูลของเรายังไม่ได้เก็บภาษี ดังนั้นทำไมเราไม่ยกเว้นภาษีของปีนี้ตามตระกูลหลินละ?”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา
ปัง!
หัวหน้าตระกูลตบโต๊ะ ทำให้ตะเกียบและจานที่วางอยู่บนนั้นกระจาย “ถ้าเจ้าเป็นคนมีเมตตาเช่นนี้ ข้าจะมอบตระกูลเหลียงให้เจ้าดูแลได้อย่างไร? เจ้าต้องหัดเรียนรู้จากน้องสามของเจ้าบ้าง!”
“ตอนนี้ลูกสาวคนที่เจ็ดของตระกูลซูกำลังเดินทางมายังเมืองหยูฉาง และเธอจะไปพักอยู่ที่บ้านตระกูลหยวน พรุ่งนี้ข้าจะให้น้องสามของเจ้าติดตามข้าไป ส่วนเจ้าต้องอยู่บ้าน!”
หลังจากที่เขาพูดแบบนั้น
เขาก็ลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินไปที่ลานด้านหลัง
เหลียง หยงฉียิ้ม และมองไปที่พี่ชายของเขาด้วยใบหน้าที่มีความสุข “ท่านพี่ ความเมตตาของท่านมันจะไปมีประโยชน์อะไร เราแค่มารอดูดีกว่าเมื่อตระกูลหลินตกอยู่ในมือของเขามันจะเป็นยังไงต่อจากนี้”
ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคุณหนูเจ็ดของตระกูลซูมาถึงเมืองหยูฉาง เธอก็เจอเข้ากับปัญหาบางอย่าง ด้วยเหตุนั้นเองข้าจึงต้องไปจัดการเจ้าปัญหาบางอย่างนั่น ท่านพี่ทั้งสองขอให้สนุกกับมื้ออาหารของท่าน ส่วนข้านั้นของตัวก่อน อาเกือบลืมไปเลย ข้าอยากจะเตือนท่านเรื่องหนึ่ง ถ้าท่านยังทำตัวแบบนี้ต่อไป งั้นข้าก็ขออนุญาตใช้ท่านเป็นหินรองเท้าเพื่อขึ้นไปสูงกว่านี้ล่ะนะ”
ที่โต๊ะอาหาร
ผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแอเหล่านั้นต่างก้มหน้าก้มตากิน
พวกเขาจะไปแสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“ท่านพี่ ดูน้องสามสิ ทั้งๆที่พวกเราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่เขาจำเป็นต้องพูดแบบนี้จริงๆงั้นเหรอ?” คุณหนูสองดูไม่มีความสุข
เหลียง อี้ชูส่ายหน้า “น้องสามยังเด็กอยู่ และเขาจะเข้าใจเรื่องนี้ในภายหลัง”
ในตอนนั้นเองก็ได้มีสาวใช้เดินมาพร้อมกับชามซุป “นายน้อย คุณหนูสอง พ่อครัวทำสิ่งนี้มาให้ท่านทั้งสอง รสชาติของมันค่อนข้างดี”
คุณหนูสองมองคนรับใช้และยิ้ม “หยาเฟย เจ้าเป็นคนปรุงมันเองใช่ไหม? แล้วเจ้าก็ตั้งใจทำให้ข้าเป็นพิเศษเลยถูกไหม?”
หลังจากพูดหยอกล้อกับสาวใช้แล้ว เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เพราะยังไงที่นี่มันก็ยังคงเป็นห้องอาหาร และมันก็คนมากมายอยู่ที่นี่
ถ้าคนอื่นเห็นสิ่งที่เธอทำมันจะเป็นปัญหาเล็กน้อย
กลางคืน
พระจันทร์ลอยสูงอยู่บนฟ้า
ลานบ้านข้างหลังตระกูลหลินที่เงียบสงบ
หลิน ฟานกำลังนอนอยู่บนเตียง เสียงลมหายใจเป็นจังหวะของเขาทำให้ลานบ้านที่เงียบเหงามีบางสิ่งที่ต่างออกไป
เอี๊ยด!
หน้าต่างกระดาษเปิดออกทำให้เกิดเสียงดัง
มีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น
ด้วยหน้ากากบนใบหน้าทำให้เขาดูน่าหวาดกลัว
นักฆ่าที่สวมชุดดำยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ถ้าเป็นคนธรรมดาที่มีการเพาะปลูกอยู่บ้าง พวกเขาคงจะตื่นขึ้นมาตั้งแต่ได้ยินเสียงแล้ว
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหลิน ฟานจะยังคงหลับอยู่และเขาก็น่าจะกำลังฝันดีอยู่ด้วย
เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
ชายชุดดำที่ยืนข้างหน้าต่างสวมหน้ากากเพื่อไม่ให้ใครมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา แต่ถ้าเราถอดหน้ากากของเขาออกเราจะเห็นคิ้วที่กำลังขมวดเป็นปม
เสียงมันดังขนาดนี้ แต่เขาก็ยังไม่ตื่นงั้นเหรอ?
หลังจากยืนอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง ชายชุดดำก็ทนต่อไปไม่ไหว เขาเอากริชออกมาและกระโดดเข้าไปในบ้าน
ฟุบ ตุบ!
“ใคร นั่นใคร!…”
หลิน ฟานตื่นขึ้นมา
เมื่อเขามองไปที่หน้าต่าง เขาก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งกระโดดเข้ามา
เขาตกใจ
หัวใจของเขาก็เต้นแรงเช่นกัน
มีคนต้องการลอบสังหารข้า?
เขาคิดเรื่องนี้อยู่สักครู่หนึ่ง
เมื่อเร็วๆนี้ข้าก็ไม่ได้ไปทำให้ใครโกรธ
หรือว่าจะเป็นเจ้าเด็กจากตระกูลเหลียงคนนั้น
ข้าแค่ล้อเล่นนิดหน่อยเขาถึงกับส่งนักฆ่ามาเลยงั้นเหรอ?
“เจ้าเป็นใคร? ที่นี่คือตระกูลหลินและข้าก็เป็นนายน้อยของตระกูลนี้ ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้า ท่านพ่อจะต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”
“ช่วยด้วย!”
“มีนักฆ่าอยู่ที่นี่!”
“เร็วเข้า ช่วยข้าด้วย!”
หลังจากที่หลิน ฟานพูดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นจบ เขาก็เริ่มตะโกน
“ความโกรธ +30”
ชายชุดดำไม่ได้คาดหวังว่าหลิน ฟานจะตะโกนแบบนั้น
เขาก้าวไปข้างหน้าและต่อยออกไป
ในห้องที่เล็กและแคบเช่นนี้ มันไม่มีพื้นที่ให้หลิน ฟานหลบ
“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าทำแบบนี้เองนะ รับการโจมตีของข้าไป!”
หลิน ฟานคำรามออกมา
ตอนนี้เขากังวลและอยากจะรู้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะชายตรงหน้าได้รึไม่
ร่างกายของเขามันถึง24จุดแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ควรที่จะอ่อนแอเกินไป
เขาทำมือของเขาให้เหมือนดาบและโจมตีนักฆ่ากลับไป
ตราบใดที่เขามีโอกาส เขาจะก้าวออกจากประตูและหลบหนี
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ปะทะกันหลายครั้ง
“เยี่ยม!”
เขาพบว่านักฆ่าคนนี้ไม่ได้เก่งขนาดนั้น
มันจึงทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น เพราะเขาคิดว่าเขาสามารถเอาชนะชายตรงหน้าได้ และตัวเขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
“นักฆ่าตัวน้อย ทั้งๆที่เจ้ามีพลังเพียงแค่นี้แต่เจ้ากลับกล้ามาหาเรื่องข้าเลยงั้นรึ พ่อของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าเลยรึไงว่าเจ้ามันอ่อนแอแค่ไหน แล้วอีกอย่างหนึ่งเจ้าไม่ควรจะมาทำงานเป็นนักฆ่าเลยนะถ้าเจ้ามีฝีมือแค่นี้” หลิน ฟานทำมือของเขาเป็นดาบและโจมตีต่อไป
“ความโกรธ +50”
“โอ้ นี่เจ้ากำลังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ เข้ามา! ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!”
ก่อนหน้านี้เขาตกใจเหมือนสุนัข แต่ตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายจริงๆ
ข้าจะกำจัดเจ้าขยะนี่หลังจากนี้
ฟู ฟู
มีเสียงดังเข้ามาจากด้านนอก
“ลูกพี่ลูกน้อง อดทนไว้ก่อน! ข้ามาแล้ว!” โจว เชียงเหมาตะโกนอย่างกระวนกระวาย
หลิน ฟานและนักฆ่าอยู่ในระดับเดียวกัน เขาจึงบอกให้โจว เชียงเหมาไม่ต้องกังวล
ตุบ!
นักฆ่าต่อยเข้าที่ตาขวาของหลิน ฟาน
หลังจากที่ชก นักฆ่าก็กระโดดออกไปทางหน้าต่าง และก่อนที่เขาจะออกไปหนังสือเล่มหนึ่งก็ได้หล่นออกมาจากแขนของเขา จากนั้นเขาก็หายเข้าไปในความมืดและไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย
“ตาข้า!”
“แม่งโคตรเจ็บ!”
หลิน ฟานคุกเข่าลง ในขณะที่เขาจับตาขวาของเขาน้ำตามันก็ไหลออกมา
ค่อยดูเถอะ
สักวันข้าจะทำให้เจ้าร้องไห้!
“ลูกพี่ลูกน้อง ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” โจว เชียงเหมาเข้ามาพร้อมกับยาม และถามเขาอย่างตื่นตระหนก
“เป็นแน่นอน! ตาของข้ามันบวม เห็นแบบนี้เจ้าคิดว่าข้าสบายดีไหมล่ะ?” หลิน ฟานปิดตาของเขา ครั้งนี้เขาเจ็บจริงๆ
โจว เชียงเหมาสั่งพวกยาม “ไปหาตัวเจ้านักฆ่าคนนั้น!”
“ขอรับ”