Chapter 150 – จุดเริ่มต้น
ในตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้าโรงไป ดรูวส์ ก็ได้เดินหนี นิโคล และวิ่งไปหาทีมงานเก่าของเธอ นิโคล เห็นแค่ ดรูวส์ กระซิบบางอย่างกับ ทอมแฮงค์ ที่นั่งข้างๆ เอริค แฮงค์ ยิ้มและลุกขึ้นให้กับ ดรูวส์
แม้ว่าจะอิจฉาแต่ นิโคล รู้ว่าเธอไม่มีสิทธินั่งแถวหน้า นี่ไม่ต้องคิดเรื่องให้คนแถวหน้าลุกให้กับเธอเลย แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจแต่เธอก็ต้องไปหาที่นั่งแถวกลางๆ จากนั้นเธอก็ได้นั่งลงไป
มีคนเริ่มเข้ามาสมทบในโรงและบังเอิญว่ามีชายวัย 30 ปีใส่แว่นตาดูเป็นสุภาพบุรุษได้มานั่งข้างๆ นิโคล ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะเห็นสายตาของ นิโคล แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา มันราวกับเขาพบว่าเขาพบกับเด็กสาวที่น่ารักที่สุด เขาจึงเริ่มทักทายเธอก่อน – “ เอ้ สวัสดี “
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูเป็นทางการแต่ นิโคล ที่เจอกับเรื่องแบบนี้บ่อยๆก็ตระหนักได้ถึงความคิดของอีกฝ่าย แม้ว่าจะไม่พอใจแต่อีกฝ่ายก็พูดอย่างสุภาพมา ดังนั้น นิโคล จึงเมินเฉยไม่ได้ น้ำเสียงของเธอที่ตอบกลับจึงดูราบเรียบ – “ สวัสดี “
ชายคนนั้นไม่ได้สนท่าทีของ นิโคล เพราะเขาเป็นฝ่ายเข้าหาเธอก่อนและหากคนเราต้องถอยเพราะท่าทีเย็นชาในตอนแรก งั้นพวกเขาก็ไม่ควรคิดในเรื่องการจีบสาว – “ ขอโทษที่ทักไปแบบนั้น แต่คุณน่ะสวยจริงๆโดยเฉพาะทรงผมกับใบหน้า พวกมันทำให้ดูเท่และคลาสสิค คุณรู้มั้ย มีผู้หญิงหลายคนชินกับผมหยิกๆแต่ฉันเห็นว่าผมแบบนั้นมันรังนกดีๆนี่เอง มันแย่มากๆและมีน้อยคนที่มีรสนิยมดีแบบคุณ “
นิโคล ได้ยินคำชมของอีกฝ่ายแต่ไม่ได้ดีใจกับการที่ถูกชมและเธอก็ได้แสดงท่าทีอายออกมาแล้วตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ – “ ขอบคุณที่ชม “
“ ไม่เป็นไร “ – ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม – “ ฉันชื่อ จอร์จนอร์ทเทิน นักวิจารณ์หนังของนิตยาสาร Premiere “
“ คุณเรียกฉันว่า นิโคล ก็ได้ “
“ นิโคล ? ว๊าว อยู่ๆฉันก็คิดว่าชื่อนี้เหมาะกับเธอดี ในกรีก ไนกี้ใช้อธิบายผู้หญิงที่สวย, สง่า,แข็งแกร่งและพึ่งพาตัวเองได้ “
จอร์จ กำลังจะพูดบางอย่างต่อแต่แสงในโรงหนังก็หม่นลง เธอไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอนึกถึงความเย็นชาที่ เอริค ได้แสดงต่อเธอและเพราะแบบนั้นเธอจึงรังเกียจกับคนที่มาคุยกับเธอก่อนแบบนี้และได้กระซิบออกมา – “ หนังจะฉายแล้ว คุณนอร์ทเทิน “
“ แน่นอน ผมเข้าใจ “ – จอร์จ ตระหนักได้ว่าเขาคงรีบเกินไปและเขาก็รีบนั่งลงมองไปที่จอ
หลังจากที่ภาพของ Columbia ได้ถูกฉายขึ้นมา สาวน้อยในหมวกแดงก็ได้ปรากฎขึ้นพร้อมกับหิ่งห้อยที่กลายเป็นตัวอักษรพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วกลายเป็นดาวปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ในตอนนั้นได้มีเสียงเท้าและกรี๊ดดังขึ้นราวกับมีบางอย่างเกิดขึ้นในโรงแต่หนังไม่ได้หยุดหยาย ราชื่อของทีมงานเริ่มปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอต่อ
ในที่สุดภาพก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ในทางเดินที่แสงสลัว ทอมครูส ที่ใส่แว่นกันแดดเริ่มปีนบันไดขึ้นไปทีละขั้นพร้อมกับมีเสียงร้องของผู้ชายที่ฟังดูลึกลับและเศร้าดังขึ้นมา
นิโคล จ้องไปที่จอแต่ผู้หญิงสองคนที่อยู่ด้านหลังเธอกลับเริ่มกระซิบกัน สองคนนี้น่าจะเป็นแฟนคลับของ ครูส
“ โอ้ พระเจ้า ฉันว่า ทอมมี่ นี่หล่อชะมัดตอนที่เขาเดิน ฉันทนไม่ไหวแล้ว “
“ ฉันด้วย ฉันด้วย เอริก้า เราต้องไปหาเขาอีก ฉันอยากให้ทอมมี่ให้ลายเซ็นกับเรา “
อันที่จริง นิโคล เองก็รู้สึกเหมือนกันในใจ แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมก็ตาม
โชคดีที่มีนักวิจารณ์หนังข้างๆกับเธอ จอร์จ เองก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงทั้งสองและกระซิบเพื่ออธิบาย – “ นี่คือผลลัพธ์ของการสร้างบรรยากาศ เสียงก้องของเท้า, เพลงที่ลึกลับ, มุมถ่ายและนักแสดงที่เงียบ มันให้องค์ประกอบภาพที่ดีมากๆ มันไม่แปลกเลยที่เขาจะสร้างความรู้สึกของตัวละครได้ เอริค นี่สมกับเป็นอัจฉริยะ แค่เพียงไม่กี่ฉาก จุดเด่นของหนังสือเรื่องแรกของเขาน่ะรูปแบบต่างกัน ถ้าปรับภาพให้เป็นปกติรึลบเพลงกับเสียงเท้าออกไป แม้ว่าจะสลับไปเพลงอื่น งั้นหนังพวกนี้ก็จะไม่ส่งความรู้สึกเหมือนกันออกมา เรื่องแบบนี้มันดูง่ายแต่ความสามารถในการรวมองค์ประกอบพวกนี้เข้าด้วยกันนั้นมันต้องใช้ศิลปะขั้นสูงเลยก็ว่าได้ “
ชัดแล้วว่ามันไม่ฉลาดที่จะพูดถึงผู้ชายคนอื่นตอนที่จีบสาวแต่ จอร์จ คิดว่า นิโคล เป็นแค่แฟนคลับ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงที่นั่งข้างเขานี้จะมีสัญญากับ เอริค นี่ไม่ต้องพูดถึงการได้พบกับ เอริค เลย ดังนั้นเขาจึงได้ชม เอริค ออกมาแต่นั่นก็เพื่อที่เขาจะได้อวดความสามารถของตัวเองออกมาด้วย
หลังจากที่มายังดาดฟ้าแล้ว เพลงก็เริ่มหนักหน่วงขึ้น หลังจากที่นักแสดงชายได้ข้ามขอบที่หลังคาไป ภาพก็เริ่มเปลี่ยนไปมาระหว่างความทรงจำกับความจริง, ตอนที่หมอบอกถึงโรคกับ แอนดี้ ซึ่งเล่นโดย ครูส ที่บอกว่ามีเวลาเหลือแค่เพียง 4 เดือนให้กับผู้ชมได้เห็นผ่านทางความทรงจำของ ครูส
“ เฮ้ ทอมมี่ จะไม่กระโดดตกใช่มั้ย ? “ – เสียงอันกังวลของเด็กสาวด้านหลังดังขึ้นมาอีกครั้งซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นคำพูดที่หลายคนในโรงพูดกัน
เด็กสาวอีกคนกอดเพื่อนของเธอและปลอบ – “ ไม่ เอริก้า เธอก็เห็นว่า ทอมมี่ แบกเป้อยู่ เขาต้องมีความคิดอื่นแน่ ถ้าคนเราต้องการโดดตึก เขาจะแบกเป้อยู่อีกงั้นเหรอ ?”
“ มิกิ เธอคิดว่า ทอมมี่ จะตายมั้ย ?”
“ แน่นอนว่าไม่ ฉันได้ยินรายงานเรื่องมะเร็งมาเยอะ ยิ่งกว่านั้นในหนังก็สามารถมีปาฏิหาริย์ได้ ตอนนี้ ทอมมี่ ยังไม่ตาย ดังนั้นเขาก็ไม่ตายหรอก “
“ ฉันหวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ “ – เอริก้า เอามือทาบอกแล้วทำท่าภาวนาพร้อมกับมองไปที่ ครูส ที่ตอนนี้ยืนเลือดไหลอยู่
แต่หนังไม่ได้เผยคำตอบให้กับผู้ชมได้รู้ทันที หลังจากที่ส่วนไตเติลของ Running Out of Time จบ ภาพก็ได้เปลี่ยนไปที่ร้านอาหาร เชน กำลังยืมหนังสือพิมพ์จาก แฮงค์ ซึ่งกำลังกินมื้อเช้าอยู่ กล้องได้ถ่ายไปมาอย่างรวดเร็ว ในบาร์ แอนดี้ คนเดิมเองก็กำลังกินมื้อเช้าพร้อมกับมองไปที่ละครในทีวีพร้อมกับแสดงสีหน้าเหม่อ
นักแสดงทั้งสองคนปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน ผู้ชมต่างก็คิดว่าสองคนนี้คงเผชิญหน้ากันในร้านอาหารแน่ ยังไงซะชื่อหนังก็บอกแล้วว่ามันเป็นการแข่งกับเวลาแต่หนังกลับตัดไปฉากอื่นอีกครั้ง
“ ฉันกล้าบอกเลยว่าฉากของ ครูส น่ะแน่นอนว่าต้องโผล่มาอีกแน่ นี่น่าจะเป็นไปตามที่ผู้กำกับตั้งเอาไว้ นิโคล เธอเห็นสีหน้าของ ครูส มั้ย ? เขาเหลือเวลาแค่ 4 อาทิตย์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการกิน, ดื่มรึดูทีวี สีหน้าของเขาก็ยังดูมีสมาธิและคิดถึงความหลัง ดูเหมือนว่าเขาต้องการใช้ 4 อาทิตย์ที่เหลือนี้ในการจดจำความสวยงามของโลกไว้ ฉันกล้าบอกเลยว่า ครูส ต้องตายในตอนจบแน่ “ – จอร์จ ที่นั่งข้างๆเธออดไม่ได้ที่จะอวดรู้
นิโคล แค่พยักหน้าเล็กน้อยในตอนที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ตาของเธอยังคงมองไปที่จอและเริ่มที่จะอินไปกับเนื้อเรื่องช้าๆ
ในเขตปิดล้อม ชอร์น ได้ลงมาจากรถและเดินเข้าไปที่รถตำรวจเข้าไปหา โจเปสกี้ ที่ใส่ชุดกันกระสุน จากนั้นเขาก็ถาม เอียน โดยยืนอยู่ด้านนอกรถ – “ โจรติดต่อมาหานายรึยัง ? “
เอียน กระพริบตา – “ เราคุยกันเมื่อ 20 นาทีก่อน “
ชอร์น ยักคิ้วและหันกลับมาด้วยความแปลกใจและมองไปที่ เอียน – “ คุยกัน ? นายคงไม่บอกว่านายเป็นหัวหน้าของตำรวจเขตกลางใช่มั้ย เอียน และนายคงไม่บอกเขาว่าให้มอบตัวแล้ววางอาวุธในสามนาทีหรอกนะ ?”
เอียน ส่ายหน้าและตระหนักได้ว่า ชอร์น เป็นลูกน้องของเขาและไม่ใช่ตำรวจที่โด่งดังเช่นแต่ก่อน
ท่าทีของ โจเปนสกี้ ได้แสดงทั้งด้านภาษาและท่าทาง นั่นทำให้ผู้ชมต่างก็ยิ้มออกมา
แม้ว่า ชอร์น จะรู้สึกหมดหนทางแต่เขาก็ยังคงสนใจเครื่องอัดเสียง
ตอนที่เขากดปุ่มเล่น เสียงของ โจเปสกี้ ก็ดังขึ้นมาก่อน
“ เฮ้ ฉัน เอียนสเปย์ หัวหน้าตำรวจเขตกลาง นายต้องมอบตัวให้กับฉันและมอบตัวใน 3 นาที “
ชอร์น ส่ายหน้าและเผยให้ท่าทีหงุดหงิดออกมา เอียน ต้องรู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงรีบหันไปที่หน้าต่างข้างๆ
ระหว่างการอัดเสียงนี้ โจรได้ให้เงื่อนไขออกมา เอียน รอฟังว่าอีกฝั่งต้องการรถกันกระสุนและอดไม่ได้ที่จะค้านออกมา – “ ทำไมถึงไม่เอาเฮลิคอปเตอร์เลยล่ะ ? “
ชอร์น ส่ายหน้าในตอนที่ได้ยินคำพูดนี้และกระทืบเท้า เขาแสดงสีหน้าหมดหนทางที่มาจากความคาดหวังมากเกินไปและตอบกลับ – “เฮ้ ไม่ใช่ว่านายพูดไร้สาระรึไง ! “
บรรยากาศที่ แฮงค์ และ โจ ได้สร้างขึ้นมาทำให้ผู้ชมต่างก็พากันหัวเราะ ด้วยความบ้าของ ชอร์น หลังจากที่ได้ยินประโยคที่เขาด่ากลับมานั้นก็ทำให้ผู้ชมหัวเราะเป็นครั้งแรก
แน่นอนโจรนั้นได้เปลี่ยนเงื่อนไขจากรถกันกระสุนมาเป็นเฮลิคอปเตอร์ ชอร์น ได้แค่ถอนหายใจและขอวิทยุก่อนที่จะเดินเข้าไปในธนาคารเพียงคนเดียว หลังจากที่ทำการเจรจาอยู่นาน ชอร์น ก็จัดการเรื่องตัวประกันได้ แม้ว่าส่วนนี้ เอริค จะไม่ได้ทำการเปลี่ยนบทอะไรแต่เขาก็ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในตอนที่เขียนเรื่องการเจรจานี้ ดังนั้นมันจึงดูมีเหตุผลมาก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็หาช่องโหว่จากบทความนี้ไม่ได้ แน่นอนว่าเวลาในการเจรจากินเวลาแค่ไม่กี่นาทีแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา หนังเดิมนั้นยาวแค่ 90 นาทีและในฮอลีวูด หนังใหญ่ส่วนมากจะกินเวลา 2 ชม.บวกกับองค์ประกอบหนังที่ดูฉลาดนั่นทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกว่าหนังมันลากยาวแต่มันจะทำให้เข้าใจความเป็น ชอร์น มากกว่าเดิม
ชอร์น เดินออกมาแล้วเดินไปที่บาร์ซื้อโค้กกับแฮมเบอร์เกอร์กิน ในท่ามกลางผู้คนชายแก่ที่ยิ้มแปลกๆกำลังถือกล้องส่องมาที่ ชอร์น และถ่ายการกระทำนี้เอาไว้
สีหน้าของชายแก่ดูแข็งทื่อเล็กน้อยแต่ด้วยเสียงเพลงอันลึกลับที่ดังขึ้นมามันจึงเป็นการกระตุ้น แม้ว่าผู้ชมหลายคนจะยังสงสัยแต่นักวิจารณ์หนังต่างก็เดาว่าชายแก่คนนี้คือ แอนดี้ ที่ปลอมตัวมา
แน่นอนภาพตัดไปที่ห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ก่อการร้าย แอนดี้ ได้เอาภาพของ ชอร์น ในธนาคารแปะไปบนกำแพง ในเวลาเดียกันก็มีภาพเก่าอื่นๆที่บนกำแพงอย่างเช่นตอนที่ ชอร์น เป็นสวาทซึ่งกล้องก็ยังกวาดไปยังภาพและหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดแปะเอาไว้ ในที่สุดผู้ชมก็รู้ถึงตัวตนของ ชอร์น