ผู้ชายที่กำลังทะเลาะกับเธอคือผู้จัดการฝ่ายทรัพย์สิน เขามองไปที่เสี่ยวเฉิงพร้อมเผยท่าทีขอโทษราวกับได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
“คุณเสี่ยวเฉิง…”
เสี่ยวเฉิงเบิกตากว้างทันทีที่เห็นผู้จัดการ “มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
ผู้จัดการพลันตอบกลับ “ผมลืมบอกไปว่ายังเหลือผู้หญิงอีกสองคนที่ไม่ยอมย้ายออก ตอนแรกผมคิดว่าเราน่าจะเจรจากันได้ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะรับมือยากขนาดนี้… ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณเสี่ยว อีกอย่าง หนึ่งในพวกเธอเองก็เป็นตำรวจ ผมเลยไม่กล้าไล่เธอออก ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่ดูจากซูเปอร์คาร์ที่เธอขับแล้ว งานบนเครื่องบินก็คงเป็นเหมือนงานอดิเรก ขนาดเจ้านายของเราเองยังรับมือกับเธอไม่ได้เลย”
เสี่ยวเฉิงพูดไม่ออก แต่เมื่อมองไปยังใบหน้าของผู้จัดการที่กำลังจะร้องไห้ เขาก็ไม่ได้อยากจะตำหนิอะไร เขาเพียงแค่โบกมือ เดิมที เสี่ยวเฉิงต้องการห้องทั้งสี่ของชั้นบนสุดนี้เพื่อที่จะได้มีพื้นที่สำหรับการฝึกฝนและฟื้นตัวให้เร็วขึ้น ทว่า เสี่ยวเฉิงที่ทำอะไรไม่ถูก เขาก็ได้เพียงแค่ก้มลงไปเก็บเงินเท่านั้น
หรานจิงพลันเดินออกมาพร้อมปรบมือเพื่อเรียกความสนใจ “ฉันจะเลี้ยงข้าวนายแทนคำขอบคุณเอง”
เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ “เธอขี้เกียจทำอาหารมากกว่าหรือเปล่า?”
ทำไมชายคนนี้ถึงรู้ดีขนาดนี้กัน?!
หรานจิงเริ่มกังวลเรื่องการอยู่ร่วมกันในอนาคตกับผู้ชายคนนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะทำให้เขาเป็นสุภาพบุรุษเลย “นายยังโสดอยู่ใช่ไหม?”
เสี่ยวเฉิงพยักหน้า “อ่า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็สมควรแล้ว! ยังไงก็เถอะ ไปหาข้าวกินกันก่อน ฉันเหนื่อยที่จะทะเลาะกับนายแล้ว”
เสี่ยวเฉิงพลันคิดว่าการรับประทานอาหารนอกบ้านก็เป็นความคิดที่ดีไม่น้อย อีกทั้ง เขายังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะเรียนรู้และสัมผัสกับสถานการณ์ปัจจุบันรวมถึงอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองซ่างเฉิงอีกด้วย
อย่างน้อย เขาก็คิดแบบนั้น แต่ทว่า หรานจิงเองก็กำลังวางแผนที่จะทำอย่างอื่นอยู่ เธอรู้สึกเสียหน้าจากเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รวมถึงเรื่องที่ต้องมาเป็นแม่บ้านคอยทำความสะอาดด้วย เพราะแบบนี้ หรานจิงจึงชวนเสี่ยวเฉิงไปยังร้านอาหารที่เพื่อนร่วมงานของเธอชอบ เธอตั้งเป้าที่จะไปเจอกับเพื่อนร่วมงานและทำให้เสี่ยวเฉิงรับรู้ว่าเธอนั้นเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคนมากขนาดไหน นอกจากนี้หาก หากคนเหล่านั้นเห็นว่าเจ้าหญิงของพวกเขากำลังทานข้าวกับชายอื่นอยู่ พวกเขาก็อาจจะพยายามสอนบทเรียนให้เสี่ยวเฉิงในบางเรื่อง และนั่นอาจช่วยทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ได้
ทว่า เสี่ยวเฉิงไม่มีรถ เขาจึงนั่งรถเก๋งของหรานจิงแทน
ทั่วทั้งเมืองซ่างเฉิงนั้นเต็มไปด้วยป้ายประกาศและป้ายโฆษณา ป้ายผลิตภัณฑ์ของหลินจื้อซือเองก็สามารถพบเห็นได้แทบทุกหนทุกแห่ง อีกอย่าง รูปลักษณ์ของเธอเองก็ยังเพิ่มองค์ประกอบความสวยงามให้กับทั่วทั้งเมืองได้อีกด้วย
“เธอรู้ไหมว่าทำไมความงามของผู้หญิงถึงไม่มีผลกับฉันเลย? เพราะว่าภรรยาของฉันชื่อว่าหลินจื้อซือยังไงล่ะ” เสี่ยวเฉิงกล่าว
หรานจิงเผยเสียงหัวเราะดังออกมาขณะที่พยายามจับพวงมาลัยให้ตรง “ถ้าได้หลินจื้อซือเป็นภรรยา นายคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก”
“ฉันล้อเล่นน่า ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้”
ทว่า เขาเองก็พลันกลัวว่าหรานจิงจะรู้ความจริงเข้าไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“ฉันก็ล้อเล่นเหมือนกัน แน่นอนว่าถ้าหลินจื้อซือเป็นภรรยาของนาย ฉันจะกินขี้โชว์เลยคอยดู” หรานจิงตอบกลับ
เสี่ยวเฉิงพลันขมวดคิ้ว
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองก็มาถึงร้านอาหาร เสี่ยวเฉิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมหรานจิงถึงพาออกมาทานอาหารไกลขนาดนี้ เขามองไปรอบตัวพร้อมสังเกตเห็นว่าอาคารของกรมตำรวจนั้นอยู่ใกล้ ๆ ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็ตระหนักได้ว่านี่ต้องไม่ใช่แค่การชวนมากินข้าวธรรมดาแน่
จากนั้น หรานจิงเผยยิ้ม “ร้านนี้มีส่วนลดของตำรวจน่ะ ลองเข้าไปดูหน่อยไหมล่ะ? มันอาจจะไม่ใช่ร้านหรูมากหรอก แต่อาหารที่นี่ก็อร่อย อีกทั้ง ยังทำจากวัตถุดิบออร์แกนิกที่ดีต่อสุขภาพด้วยนะ”
เสี่ยวเฉิงพยักหน้า “งั้นกินที่นี่ก็ได้”
เธอพยักหน้าและเผยยิ้ม
จากนั้น เธอก็พาเสี่ยวเฉิงเข้าไปไปในร้านอาหาร เพื่อนร่วมงานของเธอที่กำลังทานข้าวอยู่ด้านในก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นทั้งสองพอดี
พวกเขาพลันมองตากันและกล่าวคำพูด “นั่นไม่ใช่ตำรวจในกรมของเราใช่ไหม? ไม่แปลกใจเลยที่หลี่ต้าจวงจีบหรานจิงไม่ติด เธอดันไปมีแฟนแล้วนี่เอง… ฮ่าฮ่าฮ่า ยังไงก็เถอะ โทรไปบอกหลี่ต้าจวงตอนนี้เลยก็ได้ว่าเขาแห้วแล้ว”