องค์หญิงหกทรุดร่างลงกับพื้น เนื้อตัวสั่นเทา แลดูน่าเวทนา
ใบหน้าสดใสราวกับดอกท้อเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำตา กระทั่งองครักษ์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงยังอดมิได้ที่จะหวั่นไหว
ทว่าสำหรับตี้คังแล้ว ใบหน้าของเขายังคงไร้ซึ่งอารมณ์เฉกเช่นเดิม เขาก้มลงมองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ท่าทางของเขาดูราวกับจักรพรรดิที่สามารถชี้เป็นชี้ตายให้ทุกผู้คนได้
“ท่านอ๋อง… ”
ครั้นเห็นใบหน้าเรียบเฉยไร้หัวใจของเจ้านายแล้ว หัวใจของทหารองครักษ์ก็ยิ่งหนักอึ้ง เขาลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะเดินด้วยขาที่สั่นเทาไปทางด้านข้างขององค์หญิงหก
“องค์หญิง โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย“
หลังจากกล่าวจบ ทหารองครักษ์ก็ดึงดาบออกมาทันที ความแวววาวของคมดาบ ทำให้หัวใจขององค์หญิงเต้นตูมตามด้วยความตื่นกลัว
“เจ้ากล้าแตะต้ององค์หญิงกระนั้นรึ ? เจ้าขี้ข้า !“
ต่อหน้าตี้คัง องค์หญิงอาจจะกล่าวคำใดไม่ออกเพราะความหวาดกลัว ทว่าสำหรับสุนัขรับใช้แล้ว เสด็จพ่อของนางมีพระราชกระแสรับสั่งให้เขามารับใช้ตี้คัง ก็แล้วเหตุใดเขาต้องทำทุกอย่างตามที่ตี้คังสั่งด้วยล่ะ ?
“องค์หญิง ข้าน้อยก็ไม่ต้องการทำเช่นนี้ แต่หากไม่ทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง ชีวิตที่เหลือของข้าน้อยนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าความตายเสียอีก“
“เจ้า …“
องค์หญิงหกตะคอกกลับด้วยความโกรธ ทว่านางก็รับรู้ถึงแรงกดดันแสนเย็นชาที่กดทับลงบนร่างของนาง กระทั่งนางไม่สามารถขยับกายได้ ราวกับร่างกายของนางถูกภูเขาทั้งลูกกดทับ
“อ๊า !“
ช่วงเวลานั้นเองขณะคมมีดของทหารองครักษ์กำลังจะตัดลงที่พระดรรชนีข้างขวาขององค์หญิง นางพลันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน และสิ้นสติไปในทันที
พร้อมกันนั้นนางก็ปลดปล่อยปัสสาวะออกมาจนเปรอะเปื้อนชุด ส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวไปทั่ว
ทหารองครักษ์ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ตอนนี้องค์หญิงสิ้นพระสติไปแล้ว เขาสงสัยเหลือเกินว่า เขาควรจะทำต่อหรือไม่ ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็หันไปขอความเห็นชอบจากท่านอ๋อง ทว่าเขากลับเห็นร่างในอาภรณ์คลุมสีม่วงที่มีเรือนผมสีเงินยวงนั้นเดินห่างออกไปไกลแล้ว
สายลมพัดเย็น เส้นประสาทของเขาก็ยิ่งเย็นยะเยือก
“แล้วเราควรทำเช่นไร ?” ทหารองครักษ์อีกนายลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยถามด้วยความสับสน
“โยนองค์หญิงหกออกไปจากที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นคงมีใครสักคนผ่านมา และพานางกลับวังหลวงเอง“
“เจ้าคิดว่าดีแล้วหรือ ? จะอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิง อย่างน้อยเราก็ควรส่งนางกลับเอง … “
ทหารองครักษ์ที่ตี้คังสั่งให้ตัดนิ้ว มองเพื่อนของเขาอย่างเหยียดหยาม “เจ้างั่ง ! เจ้าคิดจะขัดใจท่านอ๋องกระนั้นหรือ ? แม้ฮ่องเต้จะเป็นผู้ส่งเรามาที่นี่ ทว่าตอนนี้เจ้านายของเราก็คือท่านอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เจ้าคิดว่าพวกเรายังจะกลับวังหลวงได้อีกงั้นรึ ?”
บางทีนี่อาจเป็นเหตุที่ท่านอ๋องสั่งให้พวกเขาทำเรื่องเช่นนี้ก็เป็นได้
*****
แท้ที่จริง หากทหารองครักษ์ตรึกตรองให้มากกว่านี้สักนิดก็อาจจะเข้าใจ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ที่ตี้คังสั่งให้ทหารองครักษ์ลงมือแทนเขา มิใช่ว่าต้องการให้คนพวกนี้ร่วมลงเรือลำเดียวกับเขา
เพราะคนในราชสกุลนี้ไม่อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย ก็แล้วเหตุใดเขาจึงต้องสนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดกับเขาอย่างไรด้วยล่ะ
เขาเพียงไม่ต้องการให้มือของตนเองสกปรก
ก็เท่านั้นแหละ !
*****
บนถนนที่จอแจ
ณ มุมถนน ไป๋เสี่ยวเฉินอุ้มเสื้อขาวน้อยไว้ในอ้อมแขน นัยน์ตากลมโตของเขาแลดูเจ้าเล่ห์ เขาสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ คอยเฝ้าดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจว่า
“เสี่ยวมี่ เจ้าแน่ใจหรือว่า บุตรสาวของหญิงชั่วผู้นั้นจะมาที่นี่ ?”
แน่นอนว่า หญิงชั่วที่เด็กน้อยกล่าวถึง ย่อมต้องเป็นหยูหรงนายหญิงสกุลไป๋ และผู้ที่พวกเขารอคอยก็คือ ไป๋จื่อ บุตรสาวคนสุดท้องของนาง
“ข้าเห็นคนพวกนั้นเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมด้วยตาข้าเอง ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะออกมาในไม่ช้า นายน้อย ท่านหาตัวนางเพื่อแก้แค้นรึไร ?”
“เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้า เรื่องเดียวที่เจ้าต้องทำ ก็คือทันทีที่เจ้าเห็นนาง เจ้าจงข่วนนางให้แรงที่สุด เอาให้เห็นรอยข่วนได้ยิ่งดี !“
ไป๋เสี่ยวเฉินโบกกำปั้นน้อย ๆ ด้วยท่าทีดุดัน ทว่ากลับแลดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียมากกว่า ทำให้ผู้ผ่านไปผ่านมาที่ได้พบเห็นต่างก็อยากหยิกแก้มเขาด้วยความหมั่นเขี้ยว
เสี่ยวมี่กลอกตา ก่อนจะพยายามกล่าวประท้วง “ข้าเป็นเสือขาวนะ ไม่ใช่แมว !”
***จบบท ไป๋เสี่ยวเฉิน เด็กน้อยตีสองหน้า (1)***