น่าเสียดายที่เขาเพียรพยายามมาเยี่ยมเยียนที่นี่หลายวันแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้พบหน้าผู้ที่อยู่ด้านในเลย นี่หากมิใช่เพราะเขาเป็นคนมีความพยายามสูงแล้วล่ะก็ เขาก็คงล้มเลิกความตั้งใจไปนานแล้ว
“ขออภัย ข้าไม่อาจพูดอะไรได้ โปรดกลับไปเถอะ”
ยามยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเฉยเมย
นี่หากเป็นปกติแล้ว เมื่อเจอคนที่ต่ำต้อยกว่าตน ไป๋เฉิงเซียงเป็นต้องวางอำนาจใส่อย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ เมื่อต้องอยู่หน้าคฤหาสน์ของหอบุปผา ต่อให้เป็นแค่ยาม เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม เขาทำได้เพียงระงับความไม่พอใจแล้วหันหลังเดินกลับ
ในลานของคฤหาสน์
เสียงคำรามดังขึ้น ทำให้เสือน้อยเสี่ยวมี่ที่แอบอยู่บนต้นไม้สะดุ้งตกใจ กระทั่งเกือบจะทำเนื้อแห้งในอุ้งเท้าตกจากต้นไม้
“เสี่ยวมี่ เจ้าขโมยเนื้อของข้าอีกแล้วนะ !“
เอื๊อก !
เสี่ยวมี่รีบคว้าเนื้อแห้งที่เหลือหย่อนลงปาก จากนั้นก็รีบกลืนลงลำคออย่างรวดเร็ว
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินมาถึง เสี่ยวมี่ก็แบกรงเล็บมันวาว พร้อมทั้งกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย อย่าใส่ความข้านะ“
“ก็เจ้าเช็ดอุ้งเท้าของเจ้าหลังจากขโมยเนื้อของข้าแล้วล่ะสิ นี่เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าไม่ใช่เจ้าอีกงั้นรึ ! เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นเป็นเนื้อชิ้นสุดท้ายที่หม่ามี้ทำไว้ให้ข้า แล้วตอนนี้ข้าจะกินอะไรล่ะ ?”
ด้วยความโกรธ ไป๋เสี่ยวเฉินกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ ทันทีที่เขาคว้าหางของเสี่ยวมี่ได้ เขาก็จับหางของมันยกขึ้นสูง จากนั้นก็สะบัดไปมา
“เสี่ยวมี่เด็กไม่ดี รีบคายออกมา คายเนื้อออกมาเร็ว ๆ !“
ดวงตาของเสี่ยวมี่เห็นดาวระยิบระยับ ถึงแม้ว่ามันจะถูกยกหางจนหัวห้อยต่องแต่งแบบนั้น เสี่ยวมี่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ตรรกะของมัน ก็คือ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เข้าปากของมันแล้ว ย่อมต้องย่อยในท้องของมันเท่านั้น
“แง… !” ไป๋เสี่ยวเฉินอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เด็กน้อยเริ่มร้องไห้จริง ๆ จัง ๆ “เสี่ยวมี่เด็กเลว ! หม่ามี้เตรียมเนื้อแห้งให้เราทั้งสองเท่า ๆ กัน เจ้ากินส่วนของเจ้าจนหมดเกลี้ยงแล้ว ตอนนี้เจ้ากลับมาขโมยกินส่วนของข้า ข้าจะไปบอกหม่ามี้ ให้นางตุ๋นเนื้อเสือให้ข้ากินแทน !“
“แค่ก !” เสี่ยวมี่สำลักทันทีที่ได้ยินถ้อยคำของไป๋เสี่ยวเฉิน มันตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อย ๆ ว่า “นายน้อย เหตุใดเราไม่ไปที่ห้องครัว และหาคนปรุงอาหารให้ท่านล่ะ ? “
“คนพวกนั้นล้วนไม่มีฝีมือ ปรุงอาหารได้ไม่ดีเท่าหม่ามี้นี่” ไป๋เสี่ยวเฉินพูดพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ทุกวันนี้ ไม่มีหม่ามี้อยู่ด้วย ข้าก็กินอะไรไม่ลงจนผอมโซแล้ว กินได้ก็แค่เนื้อแห้งนี่ ข้าเลยพยายามกินทีละน้อย แต่ตอนนี้เนื้อชิ้นสุดท้ายของข้าก็ถูกเจ้าขโมยกินซะแล้ว … “
เสี่ยวมี่ค่อย ๆ หย่อนก้นลงนั่งกับพื้น มันพิงหลังกับต้นไม้อย่างไร้เรี่ยวแรง จ้องมองเด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้น ในหัวใจมันรู้สึกเจ็บปวด
“ลูกหิวมาก ลูกคิดถึงหม่ามี้ … “
เสี่ยวมี่รู้สึกผิดนิด ๆ “อย่าร้องไห้ ข้าจะไปหานายหญิงเพื่อให้นางทำอะไรสักอย่าง ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินนัยน์ตาเป็นประกายทันที แต่แล้วก็กลับหม่นหมองลงอีกครั้ง ใบหน้าน้อย ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินมีน้ำตาหยดใส ๆ เปื้อนอยู่ “หม่ามี้กำลังยุ่งกับการรับมือกากเดนพวกนั้น ข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้หม่ามี้ หาไม่แล้วหม่ามี้ก็จะเหนื่อยเกินไป“
แล้วถ้าเกิดเราเจอคนเลวตัวเอ้ล่ะ ?
“เอางี้ เราไปบ้านสกุลไป๋กันดีหรือไม่ ?” เสี่ยวมี่ตาเป็นประกาย “ไป๋เฉิงเซียงคนนั้น เป็นคนที่น่ารังเกียจมาก ๆ เขารู้ว่าฮัวหลัวซื้อบ้านหลังนี้ไว้ เลยหน้าด้านมาที่นี่ทุกวัน หวังจะเชื่อมสัมพันธ์ หากว่าตอนนี้เจ้าอารมณ์ไม่ดี เช่นนั้นก็ไปสร้างปัญหาให้คนบ้านสกุลไป๋กันเถอะ”
นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินส่องประกายวาววับ
อย่างไรก็ตาม เมื่ออารมณ์ของเขาเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย นกพิราบสื่อสารก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้ามาอยู่เบื้องหน้าไป๋เสี่ยวเฉิน
“จดหมายจากหม่ามี้ !” รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาปรากฏบนใบหน้าของเด็กน้อย
เขาบรรจงแกะกระดาษออกจากขาของนกพิราบอย่างระมัดระวัง เปิดจดหมายออกอ่านด้วยความยินดีเป็นที่ยิ่ง
ทว่าหลังจากอ่านเนื้อหาในจดหมายจบ เด็กน้อยก็ต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น นายหญิงเขียนอะไรมาบ้าง” เสี่ยวมี่เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมอง ก่อนจะกล่าวอย่างน่าสงสารว่า “หม่ามี้บอกว่า นางจะให้พี่สาวฉู่มารับตัวข้ากลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อีกไม่กี่วัน พี่สาวฉู่ก็จะมาถึงที่นี่แล้ว … “
***จบบท ไป๋เสี่ยวเฉินผู้น่าสงสาร***