“จริงรึ ?” หนานกงอี้ยังคงมองไป๋รั่วอย่างสงสัย “แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องไป๋จื่ออย่างไร ? หากมิใช่เป็นเพราะเจ้า เสด็จแม่จะทรงตัดสินพระทัยอย่างเร่งด่วนเช่นนั้นหรือ ?”
ไป๋รั่วแสดงความโศกเศร้า น้ำตาของนางหยดลงมาทีละหยด ๆ
“ในเวลานั้น หม่อมฉันเพียงพูดว่าอยากให้ไป๋จื่อกับอ๋องคังได้ลองพบปะสนทนากันบ้าง ส่วนคนทั้งสองจะพึงใจกันหรือไม่นั้น ก็สุดแล้วแต่ หากแต่หม่อมฉันไม่เคยคิดเลยว่าเสด็จแม่จะทรงมีพระราชโองการเช่นนั้น…” ไป๋รั่วเกาะแขนเสื้อของสวามี พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า “ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ว่า หม่อมฉันผิด หม่อมฉันไม่ควรพูดจาไร้สาระเช่นนั้น ขอพระองค์โปรดลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ“
สีหน้าของหนานกงอี้ดีขึ้นเล็กน้อย “หากเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้า เช่นนั้นก็เป็นเพราะความเข้าใจผิดของข้า เสด็จพ่อคงกริ้วแค่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ข้าจะพยายามให้พระองค์สงบใจลงก่อน อีกเรื่อง…”
เขาหยุด ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ไป๋จื่อ ถูกตี้คังส่งตัวไปที่กรมราชทัณฑ์แล้ว ข้าจะหาคนไปช่วยนาง นางจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานนัก ทว่าเจ้าควรให้บิดาของเจ้าไปขอพระราชทานอภัยโทษด้วย“
หัวใจของไป๋รั่วเต้นแรง
หากฮ่องเต้ ทรงพระราชทานอภัยโทษฮองเฮาวันใด นั่นหมายความว่าแผนการของนางจะต้องถูกเปิดเผยด้วยใช่หรือไม่ ?
ไม่มีทาง !
ข้าไม่ยอมให้ฮองเฮาออกจากตำหนักเย็นโดยที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่เป็นแน่ !
แววตาของนางเปล่งประกายเต็มไปด้วยเจตนาสังหารอย่างรุนแรง
ไป๋รั่วมิใช่ผู้หญิงโง่เขลา ตรงกันข้ามนางเป็นคนฉลาดมาก หาไม่แล้วนางคงไม่สามารถผูกมัดใจองค์รัชทายาทสวามีของนางได้นานหลายปีเช่นนี้
หากโฉมหน้าที่แท้จริงของนางถูกเปิดเผยเมื่อใด เมื่อนั้นนางก็ต้องบอกลาความมั่งคั่ง และอำนาจที่พึงมีได้เลย
แน่นอนว่า นางจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด !
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท ที่เชื่อใจหม่อมฉัน” ไป๋รั่วกล่าว นางค่อย ๆ ก้าวย่างอย่างนวยนาดเข้าหาหนานกงอี้ พลางเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางน่าสงสาร “หม่อมฉันโชคไม่ดีเอาเสียเลย เสด็จแม่ถูกกักขังอยู่ที่ตำหนักเย็น ขณะที่น้องสาวก็ถูกขังอยู่ในคุก ตอนนี้มีเพียงพี่สาวของหม่อมฉันเท่านั้นที่ยังเป็นที่ชื่นชอบของอ๋องคัง”
ครั้นได้ยินชื่อของไป๋หยานอีกครั้ง สีหน้าของหนานกงอี้ก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาคิดว่าจะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมสักเพียงใด หากในปีนั้นไม่มีเหตุการวุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้น
หากเป็นเช่นนั้น ไป๋หยานผู้ซึ่งเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินก็ต้องเป็นพระชายาของเขา หากแต่เมื่อใดก็ตามที่คิดได้ว่าไป๋หยานถูกบุรุษอื่นทำให้แปดเปื้อนเสียแล้ว ความรู้สึกรังเกียจก็จะปรากฏขึ้นในหัวใจของเขาทันทีโดยไม่รู้ตัว
“รั่วเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรไป ?”
ทันทีที่หนานกงอี้หลุดจากห้วงภวังค์อันลึกล้ำ เขาก็เห็นไป๋รั่วยืนตัวแข็งทื่อ หัวไหล่ของนางสั่นระริกอยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่านางกำลังเจ็บปวดกับบางอย่าง
“หม่อมฉัน… ” ไป๋รั่วกัดริมฝีปาก “หม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันว่า เกิดอะไรขึ้น หลังจากหม่อมฉันกลับจากวังหลวง ก็มีอาการคันคะเยอไปทั้งตัว”
หนานกงอี้นิ่งอึ้ง เขาฉีกเสื้อผ้าของไป๋รั่ว เผยให้เห็นรอยขีดข่วนทั่วร่างของนาง
ตอนนี้หนานกงอี้ถึงกับตะลึงงัน ผิวกายของไป๋รั่วมีแต่รอยแดง เต็มไปด้วยรอยขูดขีดแทบไม่เหลือดี ภาพของไป๋รั่วทำให้หนานกงอี้ทั้งทุกข์ใจ ทั้งโมโห
“ไป๋หยาน เป็นคนทำเช่นนี้หรือ ?”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมกับเอ่ยถาม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ไป๋รั่วส่ายศีรษะราวกับไม่แน่ใจ “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ … ทว่ายามที่อยู่ภายในวังหม่อมฉันก็สัมผัสเพียงเสด็จแม่และพี่สาวเท่านั้น หากแต่พวกเขาก็ไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนี้“
แน่นอนว่า ไม่มีทางที่ฮองเฮาจะวางแผนทำร้ายนางเช่นนี้แน่ ดังนั้นก็เหลือเพียงไป๋หยานที่มีความเป็นไปได้
“ฝ่าบาท“
ร่างของไป๋รั่วบิดไปบิดมาราวกับงู ใบหน้าของนางเผือดซีดไร้สี “ รั่วเอ๋อ เจ็บปวดมาก”
“รั่วเอ๋อ รอข้าก่อน ข้าจะไปตามหมอปรุงยามารักษาเจ้า ส่วนไป๋หยานนั้น ข้าไม่มีวันปล่อยนางเด็ดขาด !“
หลายวันที่ผ่านมา หลังจากงานเลี้ยงในค่ำคืนนั้น ใบหน้าของไป๋หยานมักปรากฏขึ้นในใจของเขาเสมอ นั่นยิ่งทำให้เขาเสียใจอย่างมาก
เพราะเขาไม่คิดว่าคนอย่างไป๋หยานจะสามารถเทียบได้กับรั่วเอ๋อผู้แสนบริสุทธิ์ อีกทั้งใจดีได้
ในใจของเขาคิดว่า อย่างน้อยเขาก็ยังโชคดีที่ไม่ได้แต่งงานกับไป๋หยาน เพราะต่อให้นางรักษาพรหมจรรย์ไว้ได้ ทว่านางก็เป็นคนใจคอโหดร้ายมาก เช่นนั้นนางจึงไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทเช่นเขา !
เพราะมิเช่นนั้น ตำหนักองค์รัชทายาทคงจะหาความสุขสงบไม่ได้ตลอดกาล !
***จบบท ความเจ็บปวดของไป๋รั่ว***