ตอนที่ 898: กริชที่ซุ่มซ่อน
“จะได้ประโยชน์อะไรถ้าข้าลงโทษพวกเจ้า ? การลงโทษพวกเจ้าจะเอาผลึกอเวจีกลับมาได้งั้นหรือ” เจ้าศาลาของศาลาวิญญาณสวรรค์พูดอย่างหนักแน่น ตาของเขาลุกโชนไปด้วยความเจ็บใจ ในขณะที่แรงกดดันกระจายไปทั่วปราสาท โลกทั้งใบเหมือนจะตกอยู่ในการควบคุมของเขา
“พวกเราเสียหน้าไปในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสทั้งสองจะถูกฆ่าโดยเจ้าหนู 14 ดาวนั่น แม้แต่ผู้อาวุโสคุมวินัยของพวกเรายังถูกเอาตัวไปที่ศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล หืม พวกเราต้องกู้หน้าของพวกเรากลับคืนมา พวกเราจะปล่อยให้พวกเจ้าหนูนั่นรอดไปไม่ได้ ไม่อย่างงั้นพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ? ส่งคำสั่งไปให้พี่น้องซูเทียนซีและซูหยุนซีแทรกซึมเข้าไปในศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลและสังหารพวกนั้นทั้งสามซะ” เจ้าศาลาคำรามออกมา
ซูเทียนซีและซูหยุนซีเป็นคู่แฝดและยังเป็นสองในแปดสุดยอดจอมยุทธของมนุษย์ พวกเขาเป็นเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 5 หรือนักรบวิญญาณทะเล 16 ดาว
“ทุกอย่างจะเป็นตามที่ท่านเจ้าศาลาต้องการ” ผู้อาวุโสประจำศาลาตอบอย่างนอบน้อม
ในโถงที่ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางที่สุดของอาณาเขตของศาลาเทพเจ้าอสรพิษ ผู้อาวุโสประจำศาลาไป่ยันและชาลีนั่งจับเจ่าอยู่ ก่อนที่ทั้งสองจะยืนขึ้นอย่างเศร้าใจ ทั้งสองคนเป็นแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ที่หนีมาจากดินแดนของศาลาวิญญาณสวรรค์ได้
ชาลีที่โมโหอยู่บีบถ้วยชาราคาแพงในมือของเขาหลังจากที่เขาได้ยินรายงาน เขาพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ศาลาวิญญาณสวรรค์ต่อต้านสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องทำและพวกเขายังทำลายมันลงอีกในตอนสุดท้าย ข้าจะจำเรื่องนี้เอาไว้และจะเอาคืนให้สาสมหลายเท่าในอนาคต”
ไป่ยันนั่งหน้าซีดเผือดโดยไม่ได้ออกเสียงใด พวกเขาสูญเสียผลึกอเวจีไปและพวกเขาต้องรับผิดชอบทั้งหมด เพราะพวกเขาทั้งสองได้รับคำสั่งในตอนแรก
“ถ้า ถ้าข้ารู้ว่าศิษย์ที่หาดีไม่ได้ของข้าจะทำเรื่องพังแบบนี้ ข้าคงไม่ส่งเขาไปทำภารกิจนี้” ไป่ยันถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย
ชาลีโกรธเกรี้ยวมากหลังจากที่เขาได้ยิน เขาคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่ไป่ยัน “ไป่ยัน ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า ไม่ใช่เจ้าหรือที่อยากทำตัวอวดฉลาดตั้งแต่ตอนแรก ? ตอนนี้ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ้าทำแบบที่ข้าพูดและส่งผู้อาวุโสไปสองสามคนหรือส่งข้าเองเพื่อไปเอามันมา ผลึกก็คงอยู่ในมือของเรานานแล้ว มันคงไม่มีปัญหามากมายเหมือนในตอนนี้ เจ้าพอใจกับผลลัพธ์ในตอนนี้หรือไม่ ? ผลึกถูกเอาไปที่อาณาเขตของศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลโดยพวกเจ้าหนูนั้นและศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลยังรู้ถึงการมีอยู่ของมันอีก พวกเขาจะไม่ปล่อยให้มันยังอยู่แบบนี้แน่ พวกเขาจะทำลายมันทันทีที่พวกเขาได้มันไป ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะอธิบายกับท่านเจ้าศาลายังไงเมื่อท่านออกมาจากการฝึกฝน”
ไป่ยันถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่เขานั่งที่นั่นเงียบ ๆ เขารู้ดีว่าเขาไม่มีข้อแก้ตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้
“องครักษ์ เอาตัวเยิ่นเซินมา เจ้าเลวนั่น ข้าจะหักกระดูกสันหลังและถกเนื้อมันตอนเป็น ๆ และกินเลือดกินเนื้อมัน ! ” ชาลีตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ในไม่ช้า เยิ่นเซินก็ถูกลากเข้ามาเหมือนสุนัขจากองครักษ์ทั้งสอง เขาเหมือนจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาหน้าซีดด้วยความกลัวและหน้าไร้สีเลือด
“ไว้ชีวิตข้าด้วย ท่านผู้อาวุโสประจำศาลา ไว้ชีวิตข้าด้วย เยิ่นเซินรู้ดีว่าผิด เยิ่นเซินรู้ดีว่าผิด เยิ่นเซินไม่กล้าที่จะทำผิดอีกแล้ว ช่วยข้าด้วย อาจารย์ ได้โปรดช่วยข้าด้วย” เยิ่นเซินโขกหัวกับพื้นไม่หยุดในขณะที่เขาหมอบเพื่อร้องขอชีวิต เขาไม่ได้เย่อหยิ่งแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับท่าทีของเขาตอนอยู่ภายนอก
ในตอนนี้ เยิ่นเซินเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ถ้าเขารู้ว่าสุดท้ายสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ เขาจะไปทำให้เจี้ยนเฉินโกรธในตอนแรกแบบนั้นหรือไม่ ? เขาอยากให้เวลาย้อนกลับไปได้เพื่อที่จะกลับไปตอนที่เขาสามารถเลือกทางเลือกอื่นได้
“เจ้าได้ทำผิดพลาดใหญ่หลวงลงไป แล้วเจ้ายังมาร้องขอชีวิตอีกหรือ ? ฝันไปซะเถิด” จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นในตาของชาลี เขาแทงมือของเขาไปที่ด้านหลังคอของเยิ่นเซินก่อนที่จะดึงออกมาอย่างรวดเร็ว กระดูกสันหลังที่เต็มไปด้วยเลือดถูกฉีกออกมาจากร่างของเยิ่นเซินโดยชาลี
เยิ่นเซินร้องอย่างทุกข์ทรมานออกมา ร่างของเขาชักกระตุกอย่างรุนแรง การที่ถูกดึงกระดูกสันหลังออกมาทำให้เขาได้รับความเจ็บปวดจนทนไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างของเยิ่นเซินก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างสังเกตเห็นได้ เขาเริ่มขยายออกอย่างเร็วและกลายร่างเป็นสิ่งทีชีวิตท้องทะเลสีฟ้ายาว 5 เมตร เขาดูเหมือนงูก็ไม่ใช่ เหมือนมังกรก็ไม่เชิง นี่คือร่างดั้งเดิมของเยิ่นเซิน
เยิ่นเซินไม่สามารถที่จะรักษาร่างมนุษย์เอาไว้ได้หลังจากที่กระดูกสันหลังของเขาถูกดึงออกไป เขาไม่ตายทันทีแต่ก็อยู่ที่ขอบเหวแห่งความตาย
ไป่ยันถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่เขามองเยิ่นเซินที่พบกับจุดจบแบบนี้ ความผิดพลาดของเยิ่นเซินนั้นร้ายแรงเกินไป แม้ว่าเยิ่นเซินจะมีพรสวรรค์และเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่มันก็ยังยากที่จะรอดไปแบบมีชีวิตได้
“เอาเจ้าสวะนี้ออกไปจากที่นี่ ข้าจะจัดการกับเขาทีหลังหลังจากที่ข้าจัดการเรื่องที่นี่” ชาลีพูดอย่างโกรธเกรี้ยวในขณะที่เขาถือกระดูกสันหลังที่โชกเลือดเอาไว้
เยิ่นเซินถูกลากออกไปอย่างรวดเร็วจากองครักษ์ทั้งสองคน สิ่งที่เหลือทิ้งไว้มีเพียงกองเลือดในโถงเท่านั้น
ไป่ยันครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ สักพักก่อนที่จะยืนขึ้นจากที่นั่งของเขา “มันอาจจะเป็นความผิดของเยิ่นเซินในเรื่องนี้ แต่พวกเราก็ยกโทษให้พวกคนที่ขโมยมันไปไม่ได้ ส่งหลี่เฟิงซินไปเยือนอาณาเขตของศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลหน่อย พวกเราจะปล่อยให้พวกนั้นไปไม่ได้”
“พวกเราต้องทำให้พวกนั้นตายแบบไร้ที่ฝังเลย” ชาลีกำหมัด สายตาของเขาลุกโชนไปด้วยความขมขื่น
หลังจากนั้นไม่นาน ชายวัยกลางคนในชุดขาวก็ออกจากศาลาเทพเจ้าอสรพิษ เขาพุ่งไปที่อาณาเขตของศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลเหมือนแสงสีขาวด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เขาคือหลี่เฟิงซิน คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในห้าจอมยุทธสัตว์อสูรของอาณาจักรทะเล ร่างจริงของเขาคือสัตว์อสูรอำมหิตกลายพันธุ์และเขามีความแข็งแกร่งที่สูงมาก
เจี้ยนเฉินไม่รู้เลยว่าทั้งศาลาวิญญาณสวรรค์และศาลาเทพเจ้าอสรพิษในตอนนี้ได้ส่งจอมยุทธมายังที่อยู่ของเขา เขายังถูกลากไปโดยชายชราจากเผ่าเต่าในตอนนี้และห่างไกลมากจากโถง พวกเขาได้หยุดที่เผ่าใหญ่หลังจากที่เดินทางมามากกว่าสามแสนกิโลเมตร
มันเป็นเผ่าที่ใหญ่มาก กระท่อมทุกหลังทำมาจากโคลนผ่านความสามารถบางอย่างที่ทำให้มันแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า ตรงหน้าทางเข้าของเผ่ามีป้ายซึ่งสลักไว้ว่า ‘เผ่าเต่า’ ซึ่งเขียนไว้ด้วยความแข็งแรง คำนั้นธรรมดาและมันก็มีอยู่มานานมากแล้ว มันมีร่องรอยแห่งกาลเวลา
“เผ่าเต่าของพวกเราเป็นเผ่าใหญ่ในอาณาจักรทะเล มีสมาชิกจำนวนมากที่กระจายอยู่ทั่วทั้งอาณาจักรทะเลและมีสาขานับไม่ถ้วน แม้ว่ามันจะไม่ใช่เผ่าที่อยู่ในระดับที่สูงที่สุด แต่มันก็เป็นที่รู้จักกันดีในอาณาจักรทะลเผ่าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเป็นสำนักงานใหญ่ของเผ่า” ชายชราอธิบายให้เจี้ยนเฉินฟังก่อนที่จะดึงเจี้ยนเฉินไปตลอด เขาไม่ให้โอกาสเจี้ยนเฉินต่อต้านเลย
“พวกเราขอคารวะท่านผู้อาวุโสสูงสุด” เซียนปฐพีหลายคนที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกเห็นชายชราและทั้งหมดก้มอย่างนอบน้อมให้กับเขา หลังจากนั้น พวกเขาก็มองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่ไม่สบายใจ
ปราณแห่งผู้คุมกฎสามารถสัมผัสได้จากบุคคลภายนอกหลังจากที่ผ่านการฝึกวิชาลับ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาพบกับเผ่าตัวเอง พวกเขาก็จะตอบสนองได้อย่างธรรมชาติเนื่องจากสายเลือดของพวกเขา ยามเป็นคนของเผ่าเต่า ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันในส่วนลึกของวิญญาณของพวกเขาเมื่อเขาได้เห็นเจี้ยนเฉิน พวกเขารู้สึกถึงความน่ากลัวแปลก ๆ จากเจี้ยนเฉิน
“ข้าขอคารวะท่านผู้อาวุโสสูงสุด”
“ข้าขอคารวะท่านผู้อาวุโสสูงสุด”
มีคนหลายคนรอบ ๆ ในเผ่า ชายชราดึงเจี้ยนเฉินไปตามทางและพาไปยังโถงใหญ่ด้านหน้า ทุกคนที่เขาผ่านโค้งคำนับเขาอย่างนอบน้อมก่อนที่จะจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความสงสัย พวกเขาเผยท่าทางไม่สบายใจในตอนสุดท้ายทุกคน ในฐานะที่เป็นคนของเผ่าเต่า พวกเขารู้สึกได้ถึงความกดดันเล็กน้อยจากส่วนลึกของสายเลือดของพวกเขา แปลกที่พวกเขารู้สึกถึงความเคารพและความกลัวเมื่อพวกเขาเห็นเจี้ยนเฉินซึ่งทำให้พวกเขาสับสน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกแบบนี้กับคนที่เขาไม่รู้จัก
“ลั่นระฆังกลางแล้วเรียกรวมผู้อาวุโสทุกคน” ชายชราสั่ง หลังจากนั้น เขาก็ลากเจี้ยนเฉินตรงเข้าไปที่โถงใหญ่ก่อนที่จะกดเจี้ยนเฉินให้นั่งลงที่บัลลังก์ในโถง เขาไม่ให้โอกาสเจี้ยนเฉินได้ต่อต้านเลย
“ผู้อาวุโส ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ผู้คุมกฎของพวกท่านจริง ๆ…..” เจี้ยนเฉินทุกข์ใจ เขาได้พูดแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้วแค่ชายชราก็เชื่ออย่างปักใจว่าเขาเป็นผู้คุมกฎของเผ่าเต่า
“ท่านผู้คุมกฎ ท่านไม่ต้องพูดอีกแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านเป็นผู้คุมกฎของเผ่าเต่า นั่นเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ข้านำท่านกลับมาที่เผ่าเต่าเผื่อที่จะสืบทอดตำแหน่งในฐานะผู้คุมกฎและชดเชยช่วงที่ไม่มีผู้คุมกฎในช่วงสามหมื่นปีมานี้” ชายชราพูดด้วยท่าทางแน่วแน่ เขาแน่ใจมากในตัวตนของเจี้ยนเฉิน
เสียงทุ้มของระฆังดังไปทั่วทั้งเผ่า ผู้คนรีบเข้ามาจากทุกทิศทางทีละคนอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดได้มารวมกันอยู่ที่โถง พวกเขารวมมีกันสิบกว่าคน ทั้งหมดมีอายุที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดเป็นเซียนผู้คุมกฎ
ในไม่ช้าขณะที่พวกเขาเข้ามาที่โถง พวกเขาก็เห็นเจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนบัลลังก์ พวกเขาอึ้งและแสดงท่าทางตกตะลึงและสงสัย
“นะ นี่ นี่ใช่ปราณของผู้คุมกฎหรือไม่ ? ” ชายวัยกลางคนจ้องเขม็งไปที่เจี้ยนเฉินในขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ เขาดูเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ เพราะว่ามันก็นานแล้วหลังจากที่ผู้คุมกฎของเผ่าเต่าไม่ได้ปรากฎขึ้นมา
“นั่นคือปราณของผู้คุมกฎของเผ่าเต่าของพวกเรา เขาเป็นผู้คุมกฎคนใหม่ของเผ่าพวกเรางั้นหรือ ? “
“มันก็สามหมื่นปีแล้วกว่าผู้คุมกฎจะปรากฏออกมา ไม่คิดเลยว่าผู้คุมกฎจะถือกำเนิดขึ้นมาในตอนนี้”
“ผู้คุมกฎถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อไร ? ทำไมพวกเราไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ? “
ทุกคนที่รวมกันอยู่ที่โถงถกเถียงกัน พวกเขารับรู้ถึงปราณของผู้คุมกฎของเจี้ยนเฉิน
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ ? ท่านไม่ได้สนใจในการฝึกฝนอยู่ที่โถงหรอกหรือ ? ท่านเรียกพวกเราทั้งหมดมารวมตัวกันเพราะท่านมีข่าวสำคัญงั้นหรือ ? ” เสียงชราระเบิดขึ้นนอกโถง ชายชราผอมสองคนเดินเข้ามาด้วยกัน ในขณะที่มีเซียนผู้คุมกฎจำนวนมากตามพวกเขามา
“เซียนราชา 2 คน” เจี้ยนเฉินประหลาดใจเมื่อเขาเห็นชายชรา 2 คนเดินเข้ามาจากด้านหน้า เผ่าเต่ามีเซียนราชาถึง 3 คน นี่เป็นกองกำลังที่ค่อนข้างมากทีเดียว
ผู้อาวุโสสูงสุดยืนอยู่ข้างเจี้ยนเฉินและจ้องลึกไปที่ชายชราทั้งสอง เขาหัวเราะและพูดออกมา “ผู้อาวุโสสอง ผู้อาวุโสสาม พวกเจ้ามาได้เวลาพอดี ในตอนนี้ผู้คุมกฎของเผ่าเต่าได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว มันเป็นเวลาที่เราจะทวงความรุ่งโรจน์กลับมา”
“อะไรนะ ! ผู้คุมกฎของเผ่าพวกเราได้ปรากฎขึ้นมาแล้ว” ผู้อาวุโสทั้งสองตกใจ ก่อนที่จะมองไปที่เจี้ยนเฉินที่โดนกดให้นั่งอยู่ที่บัลลังก์ พวกเขาหรี่ตาเล็กลงทันที
Related