หลายวันหลังจากนั้น อวี่ฉีจะทำการบ้านให้เสร็จตั้งแต่ที่โรงเรียน จากนั้นจึงไปที่โรงพยาบาลเพื่อรอกู้จวินหลิงเลิกงาน
ที่ทำเช่นนี้ หนึ่งคือเพื่อเพิ่มเวลาการอยู่กับเป้าหมาย สองคือเพื่อรับประกันว่าในตอนที่หนิงชิงชิงถูกส่งมายังโรงพยาบาล ตัวเธอเองจะอยู่ที่นั่นด้วย
นานวันเข้า แพทย์และพยาบาลเกือบทั้งแผนกฉุกเฉินก็รู้แล้วว่าหมอกู้มีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง
อวี่ฉีเป็นเด็กดีมาก ทุก ๆ วันเธอจะนั่งอ่านหนังสือที่ตัวเองพกมาอยู่ในห้องเล็ก ๆ ห้องนั้น โดยไม่เคยไปรบกวนคนอื่น พยาบาลแทบทุกคนต่างชื่นชอบเธอ หลัง ๆ เธอจึงถูกลากไปที่แผนกพยาบาลแทน เมื่อถึงเวลาพักจากงาน พวกพยาบาลมักจะพูดคุยหยอกล้อเป็นเพื่อนเธอเสมอ รวมถึงถามคำถามมากมาย ตั้งแต่ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว เรียนอยู่ชั้นไหนเอ่ย ผลการเรียนเป็นยังไงบ้าง และถามถึงกู้จวินหลิงว่า เวลาอยู่ที่บ้านยังชอบทำหน้าตายอยู่ไหม
อวี่ฉีคอยตอบทีละคำถาม แต่เมื่อเจอกับคำถามที่ไม่เหมาะสมก็จะส่งยิ้มอ่อน ๆ และมองตาอีกฝ่ายเงียบ ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายรู้สึกตัวและรามือไปเอง
พยาบาลทั้งหลายจึงได้แต่ถอนหายใจ หลานสาวของหมอกู้ก็เหมือนกันกับเขาเปี๊ยบ เป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ยังดีที่สาวน้อยยังยิ้มบ่อย ไม่ได้กลายเป็นคนหน้าตายเบอร์สองประจำตระกูลกู้ในอนาคต
เย็นวันนี้ อวี่ฉีนั่งรถประจำทางไปโรงพยาบาลเพื่อไปแผนกพยาบาลเหมือนทุกครั้ง
พยาบาลคนหนึ่งกำลังตรวจใบสั่งแพทย์ เมื่อเห็นอวี่ฉีมาแล้วก็หยิกแก้มเธอพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
อวี่ฉีที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง “ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนไว้หลังชื่อยากับปริมาณการใช้ยาในแต่ละครั้งหมายถึงอะไรเหรอคะ”
“นี่น่ะหรือ s.t. หมายถึงปฏิบัติหรือดำเนินการทันที q.d. หมายถึงหนึ่งครั้งต่อวัน b.i.d. หมายถึงสองครั้งต่อวัน q.o.d. หมายถึงวันเว้นวัน b.i.w. หมายถึงสัปดาห์ละสองครั้ง d.c. หมายถึงให้หยุดใช้” พยาบาลชี้ให้เธอดูทีละตัว หลังอธิบายจบก็นึกอยากแกล้งเธอด้วยความสนุก “ขอทดสอบหน่อยนะ q.o.d. แปลว่าอะไรเอ่ย”
อวี่ฉีตอบโดยไม่ต้องคิด “วันเว้นวันค่ะ”
พยาบาลอุทานด้วยความตื่นตะลึง “เธอนี่เหมือนหมอกู้ไม่มีผิด ความจำดีจนน่ากลัวทั้งคู่”
อวี่ฉีไม่ตอบคำ เพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ เธออยู่ต่ออีกสักพักถึงได้บอกลาแล้วปลีกตัวไปหากู้จวินหลิง
วันนี้เขาเข้าเวรช่วงเช้า เพราะอย่างนั้นบ่ายสามโมงครึ่งก็ควรเลิกงานได้แล้ว แต่ช่วงนี้แผนกฉุกเฉินยังขาดคน ปกติเขาจะรั้งอยู่ต่อสักพักจนกว่าเธอที่เลิกเรียนจะมาถึง จากนั้นก็กลับบ้านพร้อมกันได้พอดี
เพียงแต่อวี่ฉีนั้นเดินแทบจะทั่วแผนกฉุกเฉินก็ยังหากู้จวินหลิงไม่เจอ สุดท้ายแพทย์ในความดูแลของหมอกู้ก็มองเห็นเธอจนได้ จึงจูงมือเธอเข้ามา “เธอมองหาอาจารย์กู้อยู่ใช่ไหม เขาอยู่ฝั่งนั้น เตียงที่ 95 มองเห็นไหม”
อวี่ฉีเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “อะไรนะคะ คุณอาเป็นอะไรไป?”
แพทย์คนนั้นปลดผ้าปิดปากลง พูดตะกุกตะกักอยู่บ้างว่า “วันนี้ตอนบ่าย อยู่ดี ๆ อาจารย์กู้ก็เป็นลม…”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ อวี่ฉีก็วิ่งไปตามทางที่แพทย์หนุ่มชี้ ก่อนจะมาหยุดลงตรงหน้าเตียงของกู้จวินหลิง เธอคิดจะกุมมือของเขาเอาไว้ แต่กลับพบว่าเขากำลังให้น้ำเกลืออยู่ หลังมือของกู้จวินหลิงเย็นชืดราวกับน้ำแข็ง เย็นจนทำให้เธอตกใจร้อนรน
เธอโน้มตัวลงที่ข้างเตียงของเขาอย่างระมัดระวัง เอ่ยน้ำเสียงเบาหวิว “คุณอา?”
กู้จวินหลิงลืมตาขึ้นช้า ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นเธอจึงยันตัวลุกขึ้นมานั่ง เสียงที่เอ่ยยังเจือความแหบแห้งอยู่บ้างเล็กน้อย “รอให้หมดขวดนี้ก่อน ฉันจะพาเธอกลับบ้าน”
อวี่ฉีไม่พูดอะไร ทำเพียงก้มหน้าลงมองหลังมือของอีกฝ่ายที่เสียบเข็มให้น้ำเกลือคาไว้ สักพักจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณแม่จากหนูไปแล้ว คุณอาคะ หนูไม่อยากเสียคุณไปอีก”
รออยู่สักพัก เธอก็ยังไม่ได้ถูกลูบหัวหรือปลอบโยนตามที่คาดการณ์เอาไว้ จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา
กู้จวินหลิงยังคงนั่งอยู่ด้วยสีหน้าเฉยชา เพียงแต่ในสายตานั้นแฝงไปด้วยความจนปัญญา
แพทย์หนุ่มคนเมื่อกี้เดินเข้ามา ตบไหล่เธออย่างปลอบใจ “อาจารย์กู้ไม่เป็นไรหรอก แค่วันนี้รับผู้ป่วยติด ๆ กันจนไม่มีเวลากินข้าวเฉย ๆ” เขาหยุดคิดก่อนอธิบายต่อ “น้ำตาลในเลือดต่ำไม่ถือว่าเป็นโรครักษาไม่หาย อาจารย์กู้ไม่มีทางจากเธอไปไหนหรอกนะ”
—————————-
สุดท้ายวันหยุดครั้งนี้พวกเขาก็ไม่ได้ไปเที่ยวสวนสนุกกัน แต่ไปโรงภาพยนตร์ที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อดูภาพยนตร์เรื่องแปซิฟิกริมที่เพิ่งจะเข้าโรงแทน
ทว่าตอนที่ภาพยนตร์ฉายถึงฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง หมอกู้กลับผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเธอสักเท่าไร ช่วงนี้เขาอดหลับอดนอนจนเกินขีดจำกัด คงไม่มีแรงมาดูหนังอย่างกระตือรือร้นหรอก
ความสนใจของของอวี่ฉีไม่ได้อยู่บนจอหนังเลย เธอหันหน้าไปมองกู้จวินหลิง ผู้ชายคนนี้ปกติแล้วจะมีสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกจนทำให้มีท่าทีห่างเหินเย็นชา แต่ในเวลานี้กลับสามารถมองเห็นร่องรอยความอ่อนล้าตรงบริเวณหว่างคิ้วของเขาได้จาง ๆ อวี่ฉีจึงค่อย ๆ เลื่อนสายตาลง และเห็นว่ามือขวาของอีกฝ่ายวางอยู่บนที่เท้าแขน ส่วนถังป๊อปคอร์นที่อยู่ในมือซ้ายนั้นกำลังเอียงทีละนิดจนจวนเจียนจะตกพื้นในอีกไม่ช้า
อวี่ฉีรีบยื่นมือไปรับถังกระดาษสีเหลืองนั้นมาวางบนตักของตัวเอง จากนั้นก็ยืดตัวนั่งตรง แล้วค่อย ๆ โน้มศีรษะของกู้จวินหลิงมาซบไหล่ของตนเองอย่างแผ่วเบา
กว่าอีกฝ่ายจะตื่น หนังก็ฉายจบแล้ว เขาไม่มีอาการกระอักกระอ่วนใจอะไรเลยสักนิด เพียงเอ่ยขอโทษเรื่องที่ตัวเองเผลอหลับไปกลางคันเท่านั้น จนอวี่ฉีคิดว่าบางทีกู้จวินหลิงอาจจะไม่ได้มองเธอเป็นผู้หญิงเลยก็เป็นได้
เขาสงบและเยือกเย็นจนเกินไป เยือกเย็นจนพานให้รู้สึกสิ้นหวัง เวลาที่ผู้ชายคนหนึ่งมีความรู้สึกดี ๆ ให้ผู้หญิงสักคน ถ้าต้องมาอยู่ต่อหน้าเธอคนนั้น เขาไม่น่าจะรักษาสีหน้าเยือกเย็นได้แน่ ๆ เขาควรจะร้อนรนจนอยู่นิ่งไม่ไหวเพราะอยากจะเร่งสร้างความประทับใจให้แก่เธอต่างหาก
แต่การแสดงออกของหมอกู้ในตอนนี้บ่งบอกได้เพียงว่า เขาเห็นอวี่ฉีเป็นแค่เด็กเท่านั้น
————————————-
วันถัดมา เมื่อกู้จวินหลิงเดินออกมาจากห้อง ก็มองเห็นว่าบนกระดานดำข้างโต๊ะอาหารมีตัวอักษรจากชอล์กสีขาวเพิ่มมาอีกหนึ่งบรรทัด เขาชะงักแล้วเอี้ยวตัวไปอ่าน ตัวอักษรลายมือสวยนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘กินข้าวให้ตรงเวลา T.i.d.’
กู้จวินหลิงตะลึงงัน ในที่สุดดวงตาเรียวยาวที่มักจะสงบนิ่งเย็นชาก็พลันมีประกายรอยยิ้มจาง ๆ วาบผ่าน เขาหยิบชอล์กขึ้นมาเขียนตัวอักษรข้างใต้อีกบรรทัดหนึ่ง
บรรทัดที่เขียนว่ากินข้าวให้ตรงเวลานั้นเป็นลายมือของอวี่ฉี
t.i.d. เป็นตัวย่อภาษาละตินที่หมายความว่าสามครั้งต่อวัน เมื่อวันก่อนเธอเพิ่งได้รู้จากปากของพยาบาล เมื่อเรียนรู้แล้ววันนี้ก็เลยรู้จักพลิกแพลงนำมาใช้ ในฐานะที่เป็นบุคลากรชั้นแนวหน้าของสายอาชีพนี้ จะให้ใช้แค่กลยุทธ์เก่ากึ้กนั้นไม่มีทางเพียงพอ เธอต้องรู้จักเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลา จึงจะสามารถรักษาประสิทธิภาพของการทำงานและตำแหน่งหน้าที่ได้อย่างมั่นคง
แต่อวี่ฉีกลับคิดไม่ถึงว่า รอจนเธอตื่นนอนแล้ว บนกระดานดำนั้นก็ถูกเขียนไว้ว่า ‘เลิกเรียนแล้วตรงกลับบ้าน s.t.’
s.t. ดำเนินการในทันที หรือก็คือไม่ให้เธอไปที่โรงพยาบาลอีกแล้วสินะ อวี่ฉีขมวดคิ้ว
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีตัวร้ายคนไหนทำให้เธอเปลืองแรงขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ คนเราปกติจะมีจุดอ่อนของตัวเอง แต่เธอแทบหาจุดอ่อนของกู้จวินหลิงไม่เจอเลย เพราะงั้นหาทางจ่ายยาให้ตรงโรคไม่ได้เลยสักนิด
เขาแทบไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ เธอจึงไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองสามารถทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง…เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเขามีจุดอ่อนแล้วละก็ จุดอ่อนนั้นก็คงมีเพียงฟางหว่านเท่านั้น เหมือนกับศาสตราจารย์สเนปในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งมีจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวก็คือลิลี่
ถ้าเธอสามารถจับจุดอ่อนนี้ได้ บางทีนี่อาจเป็นทางลัดในการจบภารกิจก็ได้
อวี่ฉีราวกับพบทางสว่าง เธอหันกายเดินเข้าห้องน้ำ สองมือค้ำเคาน์เตอร์สีขาวหิมะ จ้องมองไปยังใบหน้าของเด็กสาวที่อยู่ในกระจก
ภายใต้การบำรุงอย่างระมัดระวังรอบคอบในช่วงนี้ ใบหน้าของฟางอวี่ฉีซึ่งแต่เดิมไม่อาจเรียกว่าสวยได้เต็มปาก ก็เริ่มมีเค้าโครงความงามขึ้นมาบ้างแล้ว ความอ่อนเยาว์นั้นคือต้นทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เด็กผู้หญิงในวัยนี้ ขอเพียงผิวขาวกระจ่างใสและมีริมฝีปากแดงชุ่มชื้นสักนิด แค่นั้นก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาผู้คนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฟางอวี่ฉีซึ่งมีหน้าตาที่ได้รับสืบทอดมาจากฟางหว่าน
ฟางอวี่ฉีในตอนนี้สามารถบอกได้เลยว่ามีความคล้ายคลึงกับฟางหว่านอยู่ถึงหกเจ็ดส่วน นอกไปจากอายุและบุคลิกแล้ว พวกเธอทั้งสองก็แทบจะถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
อวี่ฉีค่อย ๆ คลี่รอยยิ้มให้ตัวเองในกระจก ผลลัพธ์นั้นยอดเยี่ยมมาก คนงามที่ในหนังสือนิยายชอบบรรยายกันไว้นั้นไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ล้วนมีริมฝีปากแดงฟันขาว ที่จริงแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว
เสียแต่ว่าใบหน้านี้เยาว์วัยเกินไป ห่างชั้นจากฟางหว่านที่สวยมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่อยู่ไกลลิบ ทว่าคนเราย่อมสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตได้ด้วยตัวเอง ปัญหาแค่นี้ล้มเธอไม่ได้หรอก
ถ้ามีผู้หญิงสักคนอยากทำให้หน้าตัวเองดูเด็กลง วิธีที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้นศัลยกรรม แต่หากคิดอยากให้ดูมีอายุมากขึ้นละก็ ก็มีหลายวิธีเลยทีเดียว
เวลาอยู่โรงเรียน เธอสวมได้แต่ชุดนักเรียนเท่านั้น ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอจะเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าที่ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่งหน้าบางๆ กรีดอายไลเนอร์ แล้วทาลิปสติกสีเข้มจนดูโตขึ้นเป็นสิบปี แถมสวยขึ้นเป็นกองอีกด้วย
ครั้งแรกที่เธอแต่งตัวแบบนี้ไปปรากฏตัวตรงหน้ากู้จวินหลิง เขาถึงกับช็อกจนแข็งค้างไปทั้งตัว
สติของคนที่เพิ่งตื่นยามเช้ามักจะไม่แจ่มใสเท่าไร และโชคร้ายที่หมอกู้เองก็มีอาการมึนงงอยู่เช่นกัน เขาจ้องมองอวี่ฉีที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยอาการตื่นตะลึง ดวงตาเรียวยาวที่ปกติมักจะสงบเยือกเย็นอยู่เสมอนั้นค่อย ๆ ปรากฏความสับสนและโหยหา ราวกับหวาดกลัวว่าหากเพียงแค่ละสายตา พริบตานั้นเธอก็จะสลายหายไป แค่กะพริบตาสักครั้งเขายังไม่กล้า
อวี่ฉีพึงพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้มาก แต่เธอก็ยังเรียกเขาเสียงเบา “คุณอา”
เสียงเรียกคุณอาเพียงคำเดียว ปลุกสติของกู้จวินหลิงกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ เขามองมายังเธออย่างไม่เชื่อสายตา “อวี่ฉี?”
เธอตอบ “อืม” เบา ๆ คำหนึ่ง
สีหน้าของหมอกู้กลับคืนสู่ความสงบนิ่งเย็นชาดังเดิมในชั่วพริบตา ทว่าเพราะแสงที่สะท้อนอยู่ เธอจึงมองเห็นดวงตาที่อยู่หลังแว่นกรอบสีทองได้ไม่ชัดเจน
ถึงจะเป็นอย่างนั้น อวี่ฉีก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าสภาวะจิตใจของฝ่ายตรงข้ามกำลังทิ้งดิ่งลงเหว ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่สามารถขับไล่ผู้คนไปให้ไกลนับพันลี้ได้
เธอรู้อยู่แล้วว่าการทำเช่นนี้กับอีกฝ่ายนับเป็นเรื่องโหดร้ายมากเรื่องหนึ่ง ไปขุดคุ้ยความทรงจำและความรักที่เขามีต่อฟางหว่านขึ้นมา แล้วทำให้เขาต้องสิ้นหวังอีกครั้งหนึ่ง ให้เรียกว่าชั่วร้ายอำมหิตก็ยังได้ แต่สำหรับคนที่ทำอาชีพนี้ หากใจอ่อนจนไม่กล้าทำร้ายใครแล้วละก็ เชิญรอตกงานไปได้เลย
กู้จวินหลิงยืนเงียบอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน จากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องของตัวเองโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายโกรธแล้ว แต่อวี่ฉีกลับยิ้มออกมา
คนที่ปกติแล้วมักจะสงบนิ่งราวกับผิวน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น กลับสะเทือนใจอย่างหนักได้ด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ นั่นหมายความว่าเขารักฟางหว่านมากจริง ๆ
และยิ่งเขารักฟางหว่านมากเท่าไร เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จของเธอก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
หลังผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วโมง อวี่ฉีคาดว่าความโกรธของกู้จวินหลิงน่าจะดับมอดไปบ้างแล้ว จึงมุ่งหน้าไปเคาะประตูห้องของอีกฝ่าย
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงเย็น ๆ ดังขึ้นมา ฟังดูเย็นชาราวกับกำลังพูดคุยกับคนแปลกหน้าอยู่ “เข้ามาได้”
ถึงแม้ยามปกติกู้จวินหลิงจะไม่ได้ปฏิบัติกับเธอเป็นพิเศษ แต่เวลาที่เขาเรียกชื่อเธอนั้นจะไม่เหมือนเวลาเรียกคนอื่น ถึงน้ำเสียงจะยังนิ่งสงบอย่างไรก็มักเจือไปด้วยความอบอุ่น แต่ในวันนี้เขากลับมีทีท่าตีตัวออกห่างจากเธอนับพันจั้ง น้ำเสียงตอนที่กู้จวินหลิงอนุญาตให้เธอเข้ามานั้นช่างเย็นชาถึงขั้นมีความเหลืออดเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดเลยว่าฐานะของฟางหว่านในใจของเขานั้นอยู่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด
อวี่ฉีค่อย ๆ หมุนลูกบิดประตูและเดินเข้าไปด้านในอย่างเงียบสงบ
กู้จวินหลิงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน เมื่อได้ยินเสียงเธอเข้ามา ก็โพล่งถามตรง ๆ โดยไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาว่า “มีเรื่องอะไร” โดยไม่ไว้หน้าเธอเลยสักนิด
น้อยครั้งที่เขาจะเป็นอย่างนี้ ต่อให้นิสัยของกู้จวินหลิงจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ยังไง ก็ไม่เคยขาดมารยาทที่พึงปฏิบัติ ถึงเขาจะเย็นชา แต่ก็ไม่เคยทำให้ใครรู้สึกว่าเขาเย่อหยิ่งไร้มารยาท แต่วันนี้เขากลับทำสีหน้าแบบนี้ใส่เธอ ชัดเจนมากว่า เวลานี้เขาโกรธจริง ๆ แล้ว
อวี่ฉีมองแผ่นหลังของเขา แล้วถามกลับอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน “คุณอา คุณโกรธหนูเหรอคะ”
เห็นได้ชัดว่ากู้จวินหลิงเองก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะถามเรื่องนี้ออกมาตรง ๆ เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง หากตอบว่าใช่ก็จะดูเสียหน้ามากเกินไป ผู้อาวุโสคนหนึ่งกลับคิดเล็กคิดน้อยกับผู้เยาว์เช่นนี้ออกจะดูใจคอคับแคบเกินไปหน่อย แต่หากตอบว่าไม่ใช่ ขนาดตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย แล้วใครจะเชื่อ
วิธีนี้อวี่ฉีเคยใช้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันล้วนแต่ได้ผลทุกครั้งไป
ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่พอใจกัน หากทั้งสองฝ่ายเอาแต่ลองเชิงกันไปมาก็รังแต่จะทำร้ายความรู้สึกกันเองเปล่า ๆ ไม่สู้พูดอธิบายแจกแจงไปเลยตั้งแต่แรก เปิดใจตั้งแต่ที่ปัญหายังแก้ง่ายไม่บานปลายนั้นดีกว่าเป็นไหน ๆ
เห็นอีกฝ่ายเงียบไป อวี่ฉีก็เขยิบไปทางเขาสองก้าว จากมุมของกู้จวินหลิงสามารถมองเห็นได้ว่าเธอกำลังค่อย ๆ คุกเข่าลงแล้วใช้แขนทั้งสองกอดเข่าของตัวเองไว้ ท่าทางราวกับทำอะไรไม่ถูกและเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “คุณอาคะ มะรืนนี้เป็นวันครบรอบของคุณแม่ค่ะ”
จบประโยคนี้ลง บรรยากาศภายในห้องก็พลันเปลี่ยนเป็นกดดันหนักอึ้งทันที
อวี่ฉีก้มหน้าลง พลางกล่าวเสียงเบาว่า “เมื่อคืนนี้หนูฝันถึงท่านค่ะ คุณแม่สวยมากเหมือนเมื่อก่อนเลย ท่านลูบแก้มของหนู ถามหนูด้วยว่า หลายปีมานี้หนูอยู่สุขสบายดีไหม”
วิธีนี้ก็โหดเหี้ยมไม่แพ้กัน ทั้งที่เป็นการบอกเล่าความฝันของตัวเอง แต่กลับมีความหมายแฝงเหมือนกำลังเตือนกู้จวินหลิงว่า หากเขายังทำสีหน้าอย่างนี้ใส่เธอต่ออีก คงไม่มีหน้าไปอธิบายกับคุณแม่ของเธอที่ตายไปแล้วได้
เป็นไปตามคาด ถึงแม้กู้จวินหลิงจะยังคงนิ่งเงียบ แต่เขาก็ไม่ได้ทำท่าทีเมินเฉยใส่เธออีกต่อไป ในที่สุดเขาก็หันกลับมามองเธอแล้ว
อวี่ฉีซุกหน้าลงกับแขนทั้งสองข้าง ก่อนพูดเสียงอู้อี้ว่า “คุณอา หนูไม่ได้ตั้งใจ หนูไม่รู้ว่ามันจะทำให้คุณโกรธ หนูแค่…” คล้ายกับว่าพูดต่อไปไม่ถูกแล้ว เธอจึงเบือนหน้าหนี
หลังความเงียบยาวนานได้ผ่านพ้นไป อวี่ฉีก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ทางด้านหลัง จากนั้นก็มีคนเดินมาคุกเข่าลงแล้ววางมือบนไหล่ของเธอราวกับกำลังปลอบใจ
อวี่ฉีคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้อย่างเหมาะเจาะ เธอหันร่างแล้วโผเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย กอดเอวของเขาเอาไว้พลางใช้เสียงสะอื้นถามว่า “คุณไม่โกรธหนูแล้วใช่ไหมคะ”
เห็นได้ชัดว่ากู้จวินหลิงยังไม่ชินกับการโดนคนอื่นสัมผัส สองมือของเขาแข็งค้างเก้ ๆ กังๆ อยู่ข้างลำตัว เขาคิดจะถอยออก แต่ใจไม่แข็งพอ สุดท้ายจึงปล่อยให้เธอกอดอยู่อย่างนั้นเกือบสิบนาที
สุดท้ายอวี่ฉีก็ค่อย ๆ ผละออกจากอ้อมกอดของเขาเอง กู้จวินหลิงจึงถอนหายใจก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่แฝงไปด้วยความนุ่มนวลว่า “อวี่ฉี ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะส่งเธอไปเรียนเต้น” ขณะที่กำลังลูบผมของเธอเบา ๆ สายตาที่เขาใช้มองเธอนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน คล้ายกับกำลังมองทะลุตัวเธอไปยังผู้หญิงอีกคนหนึ่ง “แม่ของเธอเต้นเก่งมาก เธอที่เป็นลูกสาว คงจะมีพรสวรรค์ไม่แพ้กัน”
——————————————————