การย้ายเซเลเน่ไปยังราชอาณาจักรเฮริฟาลเต้ได้ตัดสินแล้ว ในคืนสุดท้ายในราชอาณาจักรอาร์คุยล่า เซเลเน่เองก็ทำท่าทางไม่ชอบใจจริงจัง แถมยังเอาแต่โอดครวญว่า”ไม่ยกโทษให้องค์ชาย ไม่ยกโทษให้เด็ดขาด ไม่มีทาง”จนกระทั่งหลับ แต่ทางบัตเลอร์นั้นรู้สึกยินดีจากหัวใจ การที่เด็กน้อยออกเดินทางไปตัวคนเดียวอาจจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากแต่นายของตนก็ไม่ควรที่จะมาจบที่คุกมืดๆ และคิดว่านี่คือบททดสอบสู่ความโชคดีที่พระเจ้าเป็นผู้มอบให้
“ตั้งแต่ได้พบกับองค์หญิงก็ผ่านมา2ปีแล้วเหรอวันเวลาช่างผ่านไปเร็วๆจริงๆ”
บัตเลอร์มองเซเลเน่ที่ร้องไห้จนหลับอยู่บนหมอน แล้วก็นึกถึงเรื่องเมื่อสองปีก่อนในวันที่เปลี่ยนโชคชะตาของตน――
◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆
“พวกอย่างนาย ไม่เกิดมาน่าจะมีความสุขกว่านะ”
“จริงๆแล้วไม่ได้เป็นหนูแต่เป็นนกนางแอ่นหรือเปล่าน่ะ?”
หนูตัวอ้วนหลายตัวหัวเราะอย่างหยาบคายใส่หนูผอมๆตัวหนึ่ง เจ้าหนูทำได้แค่ขนแข็งทื่อมองขึ้นไปอย่างเครียดแค้นไม่พูดอะไรออกมา เพราะเข้าใจดีว่าถ้าโจมตีกลับไปก็ได้แค่ถูกทำโหดร้ายกลับมาเท่านั้น
แค่สบถในใจว่า”พวกแกตอนเจอแมวจรจัดก็วิ่งหนีจนตัวสั่นแท้ๆ เจ้าพวกขี้ขลาดที่ทำได้แค่รังแกคนอ่อนแอ”ก็สุดกำลังแล้ว
หนูที่ภายหลังได้ชื่อว่าบัตเลอร์นั้นมีจุดที่ต่างจากหนูตัวอื่นๆ ทั้งๆที่หนูตัวอื่นๆทั่วร่างเป็นสีดำแท้ๆแต่เขานั้นตั้งแต่ส่วนคอถึงท้องกลับเป็นขนสีขาว
หนูตัวนั้นที่ดูแตกต่างทำให้กลายเป็นตัวตลกในพวกเพื่อนๆตัวอื่น ไม่ใช่เพียงแค่สีขนที่ต่าง เขาที่จิตใจอ่อนแอแถมตัวเล็กย่อมไม่สามารถที่จะรับเรื่องพวกนั้นได้ สำหรับสัตว์ป่าแล้วพละกำลังก็คือความถูกต้อง หนูตัวเล็กๆนั้นไม่มีพละกำลังขนาดนั้น ทำให้ถูกพวกตัวใหญ่ๆใช้กำลังแย่งชิงอาหารพอไม่ได้ทานอะไรร่างกายก็ผอมลงไปเรื่อยๆ ภายในวงจรอุบาทว์แบบนั้นทำให้หนูที่มีสีขาวดำต้องท้องว่างเสมอๆ
วันหนึ่งในฤดูหนาว ถึงจะเป็นประเทศทางใต้แต่พอเข้าสู่หน้าหนาวอาหารในป่าก็ลดลง ด้วยเหตุนั้นทำให้ต้องแยกออกมาจากทุกคน เจ้าที่หนูน่าสงสารที่กำลังอดยากจนตายก็ได้ตัดสินใจขึ้นมาอย่างหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นเพราะพวกมนุษย์ยึดที่ไปอาศัยทำให้อาหารถูกชิงไป
ถึงจะเป็นการกระทำที่อันตรายมาก แต่ถึงปล่อยไว้ก็ต้องตายอยู่ดี จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีอะไรดี ถ้าจะต้องตายก็ไม่สนแล้ว ด้วยความรู้สึกที่จะไปฆ่าตัวตายที่มากกว่าที่จะเรียกว่าความกล้านั้น เจ้าหนูกระจ้อยร้อยก็มุดเข้าไปในสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนโกดังโทรมๆ
――สุดท้ายก็จบลงที่ความผิดพลาด
เขานั้นทั้งที่ยังไม่ได้แม้แต่เศษผงก็เข้ามาติดในกับดักที่มนุษย์วางไว้ซะแล้ว ต่อให้ดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่สามารถทำลายกรงเหล็กได้ ทำได้แต่พึมพำว่า”เป็นชีวิตที่ไร้ความหมายจริงๆ”ด้วยความเสียใจ
พริบตาต่อมาก็มีมนุษย์คนหนึ่งเข้ามาใกล้ แล้วจ้องเข้ามาในกรงที่เขาเข้าไป ร่างกายสีขาวที่มีดวงตาสีแดง เป็นการผสมสีของมนุษย์ที่ไม่เคยได้พบมาก่อน จากรูปร่างที่เห็นดูเหมือนว่าจะเป็นเด็ก
[อา ผมจะตายที่นี่งั้นเหรอ]
ถึงจะคิดว่าจะตายก็ไม่เป็นไรแค่ไหนในตอนนั้นก็รู้สึกกลัวจริงๆ ได้แต่คิดว่าคงทำอะไรไม่ได้แล้วเขาก็ตัวสั่นด้วยความกลัว
ถึงอย่างนั้น สาวน้อยก็ทำแค่จ้องมองมาที่ตน ไม่ได้ตระโกน หรือเรียกมนุษย์คนอื่นมา แถมยังยังหยิบผักหนึ่งชิ้นจากซุปที่เธอกินดันเข้ามาในช่องว่างของกรง เขาที่ท้องหิวสุดๆนั้นไม่ลังเลที่จะกินผักที่ชุ่มน้ำอุ่นๆนั่นจนหมด สาวน้อยก็ยิ้มอย่างพอใจแล้วก็เอากรงมาไว้ใต้เตียงทั้งอย่างนั้นเอาผ้ามาคุลมไม่ให้มนุษย์คนอื่นเห็น
――ด้วยเหตุนี้การอยู่ร่วมกันแบบแปลกๆของสาวน้อยกับหนูก็ได้เริ่มต้นขึ้น
[(เด็กคนนี้ ค่อนข้างแปลกนะ)]
ถึงแม้จะยังคงอยู่ในกรงเหมือนเดิมแต่พอได้อาหารกำลังกายก็ฟื้นกลับมาแล้วก็สามารถดูสภาพรอบๆได้ ถึงตรงนั้นเขาก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นมนุษย์ที่แปลกแบบสุดๆ
ถ้าพูดถึงเด็กมนุษย์แล้วก็จะพูดถึงราวๆว่าบ้าคลั่งและฉลาดพอๆกับลิงป่า ในส่วนที่มีความรู้แต่บ้าคลั่งนั้นสำหรับสิ่งมีชีวิตเล็กๆแบบพวกตนแล้วจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมากที่สุด
พอถึงกลางคืนก็คลานออกจากหน้าต่างไปเดินเล่นหรืออะไรสักอย่าง นอกจากนั้นก็กินแล้วก็นอนหรือทำท่าสนใจในหนังสือภาพแล้วเอามากางบนเตียง เหมือนกับพฤติกรรมของตาลุงหนูไม่มีผิด แต่ว่าก็ยังอ่อนวัยเกินไป
รู้สึกเป็นห่วงเธอที่ไม่ได้พบกับมนุษย์คนอื่นเลย ขนาดหนูที่ถูกกลั่นแกล้งแบบตนยังมีการได้ออกไปที่ต่างๆกับพ่อแม่บ้าง ทั้งอย่างนั้นเด็กคนนี้กลับอยู่ตัวคนเดียวนอกจากคนที่ดูเหมือนพี่สาวแล้วก็ไม่ได้พบกับใครอื่นเลย
[(หรือว่า เพราะเด็กคนนี้เองก็มีสีขนแปลกกันนะ?)]
เธอเองก็ถูกกีดกันจากคนอื่นๆเพราะว่ามีสีขนต่างกัน พอคิดแบบนั้น ก็รู้สึกเข้าใจเธอแบบแปลกๆ ในเวลาเดียวกันทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นก็ราวกับว่ารู้สึกเคารพเธอที่ไม่สนใจในเรื่องนั้นได้ ทำไมเธอถึงได้ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่แบบนั้นได้กัน ความอยากรู้เพิ่มพูนขึ้นทุกวันๆเขานั้นไม่ว่ายังไงก็อยากที่จะลองพูดคุยดู
[ทำไม เธอถึงอยู่ที่นี่เหรอ?]
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง บนฝ่ามือของเธอก็ได้ถามคำถามที่เธอไม่มีทางได้ยินออกไป ตนนั้นเป็นหนูไม่มีทางที่จะพูดกับมนุษย์แบบเธอ แต่ว่า สาวน้อยกลับตกใจจนตัวแทบปลิว
“พูดได้เหรอ!?”
[อึ อืม ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น พึ่งรู้ตอนนี้ครั้งนี่ล่ะ]
เรื่องที่สาวน้อยคนนี้มีสายเลือดของราชวงศ์แล้วพลังเวทนั้นก็ถูกแบ่งมาที่ตนเป็นเรื่องที่รู้หลังจากนั้นพักใหญ่ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่คือการพูดคุยครั้งแรกกับสาวน้อยสีขาว――เซเลเน่ อาร์คุยล่า
ถ้าสามารถพูดได้หลังจากนั้นก็สามารถทำความเข้าใจกันได้มากขึ้น เพราะว่าสาวน้อยสีขาวพูดไม่ค่อยได้นั่นเองจึงเงอะงะและพูดเป็นคำ แต่สำหรับหนูที่ยังไม่ชินกับภาษามนุษย์นั้นกลับส่งผลตรงกันข้ามทำให้เป็นคนที่สามารถพูดคุยได้ง่ายๆ
“ฉัน เซเลเน่ เธอ?”
[เซเลเน่คืออะไร?]
“ชื่อของฉัน”
[ชื่อคืออะไร?]
หนูตอบมาทั้งๆที่ยังอยู่บนไหล่ของเซเลเน่ สัตว์ป่าอย่างพวกเขาใช้การเรียกพวก”หางใหญ่กว่าตัวอื่น”หรือ”เสียงร้องต่ำสุดๆ”ในการแยกตัวกัน หรือก็คือไม่มีแนวคิดเรื่องชื่ออยู่เลย
[ดีจังเลยนะ ผมเองก็อยากได้ชื่อนั่นบ้างเหมือนกัน]
“อย่างนั้น จะเรียกว่าบัตเลอร์”
[บัตเลอร์คืออะไร?]
“พ่อบ้าน”
[พ่อบ้านคืออะไร?]
เพราะว่าถามตอบไปมาอย่างนี้ตลอดการพูดคุยของทั้งคู่เลยใช้เวลาไปมากผิดปกติ แต่ทั้งคู่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนอะไรก็แค่ปล่อยให้เวลาแห่งความผ่อนคลายผ่านไปเท่านั้น สำหรับบัตเลอร์การที่ได้ใช้เวลาพูดคุยอย่างสบายใจอย่างนี้นั้นตั้งแต่ที่แม่เสียไปก็ถือเป็นครั้งแรก
“…คนที่ดูดี”
[ดูดี?]
หลังจากเซเลเน่สับสนเล็กน้อยก็ตอบบัตเลอร์ไปแบบนั้น เพราะว่าเห็นเหมือนทักซิโด้สีขาวดำก็เลยคิดถึงพ่อบ้านว่าดูดี แต่ว่าพ่อบ้านในหัวของเซเลเน่นั้นก็คือพวกที่พูดแค่”คุณหนู ถึงเวลาน้ำชาแล้วขอรับ” จริงแล้วไม่รู้เลยว่าเป็นคนที่ทำอะไรเป็นพิเศษ ก็เลยพูดเลี่ยงไปแบบนั้น
[ดูดี…]
แต่ว่าสำหรับบัตเลอร์แล้วคำอธิบายนั้นราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมา ตนเองที่เคยแต่ถูกพูดว่ารู้สึกแย่จนถึงตอนนี้ คนที่บอกว่าดูดีนั้นพึ่งมีครั้งนี้ครั้งแรก
[(อยากรู้เกี่ยวกับพ่อบ้านมากกว่านี้จัง…)]
หลังจากนั้น หนูที่ได้ชื่อว่าบัตเลอร์นั้นตอนที่เซเลน่าตอนอยู่ก็ออกจากห้องไปและเริ่มทำการสำรวจวัฒนธรรมของมนุษย์ เพราะว่าสามารถสื่อสารได้ตามต้องการเลยถูกปล่อยออกจากกรงถาวร และเนื่องจากเซเลเน่นั้นเป็นเด็กที่นอนวันละ14ชั่วโมงเวลาแห่งอิสระจึงมีอยู่มากมาย
ในหลักสูตรการเรียนที่พวกขุนนางของประเทศจ่ายเงินก้อนโตเพื่อเข้าบัตเลอร์ก็สามารถแอบฟังได้ตามต้องการ พวกหนังสือแพงที่ประเทศเก็บไว้อย่างดีบัตเลอร์ที่ตัวเล็กก็เข้าไปจากช่องว่างทำให้สามารถอ่านได้ตามใจชอบ
[องค์หญิงแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆจริงๆด้วย!]
พอได้สำรวจเรื่องของมนุษย์ ความรู้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บัตเลอร์ก็มั่นใจว่าเซเลเน่นั้นเป็นตัวตนที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นชัดเจน ไม่ว่าจะขุนนางหรือชาวเมืองเด็ก6ขวบก็มีความรู้พอๆกัน ทั้งๆอย่างนั้นกลับมีแค่เซเลเน่ที่มีความรู้ที่แม้แต่มนุษย์ที่ถูกเรียกว่าผู้รอบรู้ของประเทศนี้ยังไม่รู้ ทั้งๆที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไรเลย
[ท่านผู้นั้นเป็นราชาในหมู่ราชาจริงๆด้วย!]
คนเรานั้นถ้าพยายามก็จะได้รับความสามารถมา แต่ว่าผู้ที่ได้รับพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิดนั้นนอกจากผู้ที่ได้รับความรักจากพระเจ้าแล้วก็เป็นไปไม่ได้ ในจุดนั้น องค์หญิงเซเลเน่ที่ตนรับใช้อยู่ก็เต็มไปด้วยความเมตตา แถมทำท่าทางที่สง่างาม บัตเลอร์นั้นมีความภาคภูมิใจในนายที่ช่วยตนว่ามีจุดยืนที่หายากในประเทศนี้ ไม่สิ แม่แต่ในทวีปนี้เองเป็นที่สุด
เพราะว่ามีสภาพแวดล้อมที่ดีกับความพยายามทำให้บัตเลอร์นั้นในเวลาสั้นๆจนน่าตกใจก็มีท่าทางสง่างามระดับที่สามารถหนีพวกข้ารับใช้ของประเทศมหาอำนาจด้วยเท้าเปล่าและความรู้อันยอดเยี่ยม ถ้าเกิดเขาเป็นมนุษย์ล่ะก็พวกขุนนางใหญ่โตคงเชิญเขาไปเป็นผู้รับใช้แน่ๆ
พอถึงตอนนั้นต่อให้มีกำลังพวกสัตว์ในป่าก็ไม่มีใครที่สามารถล้มบัตเลอร์ได้เลย เพราะมีความรู้ ด้วยการฝึกฝนทุกวันและด้วยพลังเวททำให้บัตเลอร์นั้นแข็งแกร่งขึ้น พวกแมวจรจัดหรือพังพอนนั้นก็แน่นอน แต่แม้แต่หมาป่าหรือหมีเองก็ต้องแหวกทางเมื่ออยู่หน้าเขา
บัตเลอร์นั้นไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ถูกเรียกจากพวกสัตว์ในป่าว่า”สัตว์ยักษ์ขนาดจิ๋วในป่าใหญ่”ด้วยความสะพรึงกลัว แต่ว่าบัตเลอร์นั้นก็ตัดสินใจที่ไม่ทำตัวหยิ่งยโสใส่พวกเขา
ถ้าถามว่าทำไมก็เพราะพลังนั้นเป็นของที่ได้รับจากนายผู้ยิ่งใหญ่ เซเลเน่ พลังของตนเป็นของเซเลเน่ จะทำตัวให้เสียชื่อของนายไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่าตั้งใจไว้อย่างนั้นแล้วอย่างเด็ดขาด
ผิดกับพวกหนูตัวผู้ที่หยาบคายและรุนแรงตัวอื่น บัตเลอร์ที่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษและมีพลังหายาก ทำให้เหล่าหนูสาวๆในป่าต่างก็มาจีบ แต่ทุกครั้งบัตเลอร์ก็จะตอบไปว่า
[ความรู้สึกของคุณหนูผู้น่ารักรู้สึกขอบคุณจริงๆขอรับ แต่ว่านายผู้ที่บัตเลอร์ผู้นี้รับใช้ตัดสินใจแล้วว่าจะมีเพียงคนเดียวตลอดชีวิตขอรับ ชื่อของผู้นั้นคือ องค์หญิงเซเลเน่ผู้สง่างามขอรับ]
นายที่ราชาแห่งป่ารับใช้――เซเลเน่ อาร์คุยล่าผู้เป็นราชาในหมู่ราชานั้นทุกครั้งที่เสด็จลงมาในป่า พวกสัตว์ป่าจะคอยปกป้องและทำความเคารพ แต่เพราะว่าเซเลเน่นั้นไม่เข้าใจความรู้สึกของสัตว์ป่านอกจากบัตเลอร์เลยสักนิดก็เลยคิดแค่ว่า”ป่านี้ที่ไม่มีสัตว์น่ากลัวเลยนี่ดีจังเลยนะ”
พวกที่เคยหัวเราะเยาะบัตเลอร์ พอได้มองพวกเขาตอนนี้ก็หนีกันไปทันที แต่ว่าบัตเลอร์ไม่สนใจพวกอย่างนั้นสักนิด เพราะว่าตนในตอนนี้นั้นไม่มีเวลาว่างไปสนใจพวกงี่เง่าพวกนั้นแล้ว
ช่วงนี้บัตเลอร์นั้นคิดแบบนี้ ที่ตัวเองเกิดมาด้วยความรู้สึกแย่ๆและลำเค็ญก็เพื่อที่จะได้พบกับองค์หญิงเซเลเน่ไม่ใช่เหรอไงกัน องค์หญิงที่มอบความหมายให้ชีวิตตนนั้น ตอนนี้กำลังถูกโชคชะตาเล่นตลกอยู่ ถ้าอย่างนั้นครั้งต่อไปถ้าเพื่อเธอแล้วต่อให้ต้องแลกกด้วยชีวิตของตนก็จะตอบแทนบุญคุณให้ได้
――สัตว์ยักษ์ขนาดจิ๋วในป่าใหญ่ ในหัวใจของบัตเลอร์พ่อบ้านหนูนั้นลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่นและความเร้าร้อน