จากนั้นหมั่นโถวก็ใช้เข่ากดเจินเมี่ยวหยูไว้กับพื้น พลางตะคอกเสียงดังว่า
“ถ้าคุณไม่อยากแขนหรือขาหัก ก็อย่าขยับตัว”
เซี่ยฉิงกงเดินกลับไปยืนข้างกายมู่เฉินฮ่าว มู่เฉินฮ่าวกวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เขารู้สึกโล่งใจเมื่อแน่ใจว่าผู้หญิงของเขาปลอดภัยดี
เซี่ยฉิงกงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธออยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา เช่นนี้แล้วจะให้เธอบาดเจ็บได้อย่างไร ?
“เอาตัวเธอไปที่ห้องนั่งเล่น”
มู่เฉินฮ่าวเอ่ยปากเบา ๆ จากนั้นก็เดินนำไปที่ห้องนั่งเล่น
ครั้นเซี่ยฉิงกงเห็นว่าเซี่ยเจิ้งหัวหายใจติดขัด อีกทั้งใบหน้าของเขาก็ซีดมาก เธอจึงตะโกนออกมาว่า
“อาเจิ้ง มาช่วยพยุงคุณพ่อของฉันหน่อย”
“ขอรับ นายหญิงน้อย”
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านสกุลเซี่ย
หลังจากเงียบงันกันอยู่นาน
“เมี่ยวหยู ถ้าคุณมีอะไรติดค้างในใจเราก็มาคุยกันเถอะ ถ้าคุณไม่พอใจอะไรผม วันนี้เราจะได้เคลียร์กันให้ชัดเจน อย่างไรเสีย พวกเราก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว”
ช่วงเวลาแค่เพียงไม่นาน ทว่าผมขาวของเซี่ยเจิ้งหัวกลับเพิ่มขึ้นมากมาย
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ หากคุณยังคิดว่าเราเคยเป็นสามีภรรยากัน คุณก็ช่วยปล่อยชิงฉวนและฉันไปก็พอ !”
เซี่ยเจิ้งหัวเงียบ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันไปมองมู่เฉินฮ่าวด้วยท่าทีที่ซับซ้อน
“คุณชายมู่ในเมื่อทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้แล้ว เช่นนั้นก็ให้มันแล้ว ๆ ไปเถอะ อย่างไรเสียเราก็เป็นคนกันเองไม่ใช่ใครที่ไหน !”
ขณะที่เซี่ยเจิ้งหัวพูดเช่นนี้ หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน
ตอนเซี่ยเจิ้งหัวอายุ 21 เขาได้พบกับเจินเมี่ยวหยูซึ่งมีอายุ 15 ปี ทั้งสองรู้จักกันและตกหลุมรักกัน ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว เขาไม่คาดคิดว่าความสัมพันธ์ของเขาและเจินเมี่ยวหยูจะพัฒนาไปสู่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
มู่เฉินฮ่าวเหลือบไปมองเจินเมี่ยวหยู จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพูดกับเซี่ยเจิ้งหัว
“คุณลุงเซี่ยไม่ต้องกังวล ผมเพียงอยากให้คุณลุงได้เห็นอะไรบางอย่าง แล้วจากนั้นคุณลุงก็ตัดสินใจเองเถิดว่า คุณลุงต้องการปล่อยเธอไปหรือไม่ ?”
“อะไร ?”
“อาเจิ้ง” มู่เฉินฮ่าวตะโกนเรียกเบา ๆ
อาเจิ้งหยิบเอกสารสองชุดออกมาจากกระเป๋าเอกสารที่อยู่ข้างตัว จากนั้นก็ยื่นส่งให้เซี่ยเจิ้งหัว
“นายท่านเซี่ย นี่คือรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอของพ่อบ้านของคุณ โจวหยุนเซินและเจินเมี่ยวหยูภรรยาของคุณ จากผลการวิเคราะห์เครื่องหมายพันธุกรรมทางดีเอ็นเอพบว่าโจวหยุนเซิน และเจินเมี่ยวหยูมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด
เซี่ยฉิงกงตกตะลึง เธอเอ่ยถามด้วยเสียงเบา ๆ
“ทำไมก่อนหน้านี้คุณไม่บอกเรื่องพวกนี้กับฉันบ้าง ?”
เธอรู้เพียงว่าเจินเมี่ยวหยูคบชู้ หากแต่เธอไม่รู้เลยว่าโจวหยุนเซินเองก็มีความเกี่ยวข้องกับเจินเมี่ยวหยู ทั้งยังเกี่ยวข้องกันถึงเพียงนี้ด้วยงั้นหรือ ?
หากเป็นเช่นที่มู่เฉินฮ่าวพูดไว้เมื่อครู่ ก็ไม่รู้แล้วว่าเซี่ยชิงฉวนจะเป็นลูกสาวของเซี่ยเจิ้งหัวจริง ๆ หรือไม่ ?
“ผมบอกแล้วไงว่า เรื่องพวกนี้จะทำให้มือของคุณสกปรก ปล่อยให้ผมจัดการเองดีกว่า”
ต่อหน้าคนอื่นชายหนุ่มยังคงแสดงทีท่าเฉยเมยเฉกเช่นปกติ ทว่าเซี่ยฉิงกงกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
เห็นได้ชัดว่า เซี่ยเจิ้งหัวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทันทีที่เขาได้อ่านเอกสารทั้งสองฉบับ เสียงของเขาที่เปล่งออกมาพลันสั่นสะท้าน รายงานในเอกสารเหล่านั้น ทำให้แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เมี่ยวหยู … คุณ … ”
“ใช่..ถูกต้องแล้ว หยุนเซินเป็นลูกของฉันกับโจวฉีชวน คุณรู้มั้ยว่าในช่วงห้าปีที่คุณจากไป ใครเป็นผู้ดูแลฉัน ? คุณรู้มั้ยว่าฉันมาตามหาคุณที่บ้านเซี่ยนี่กี่ครั้งกัน ? และฉันถูกพ่อของคุณขับไล่ออกมากี่หน ?”
เจินเมี่ยวหยูจดจำได้ชัดเจนว่าคืนนั้นสายลมพัดแรง ทั้งฝนก็ตกกระหน่ำ เธอถูกขับออกจากประตูบ้านสกุลเซี่ยอีกครั้ง ครั้งนี้เธอล้มลงกับพื้นร่ำไห้อยู่เป็นเวลานานท่ามกลางสายฝน
ชายคนหนึ่งเดินถือร่มมา คน ๆ นั้นก็คือโจวฉีชวน พ่อบ้านตระกูลเซี่ย ณ เวลานั้น เขาช่วยพยุงเธอขึ้นจากพื้น และพาเธอกลับบ้าน เขาดูแลเธอที่กำลังติดเชื้อหวัด และบอกเธอว่าคุณชายรองกำลังจะหมั้นกับคุณหนูใหญ่สกุลน่าหลาน
อาเจิ้งรอให้เจินเมี่ยวหยูพูดจบ เขาเหลือบมองเธออย่างเฉยเมย ก่อนจะส่งรายงานอีกสองฉบับให้เซี่ยเจิ้งหัว
“นายท่านเซี่ย ฉบับนี้คือรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอของคุณกับเซี่ยชิงฉวน ลูกสาวคนรองของคุณ จากผลการวิเคราะห์เครื่องหมายพันธุกรรมทางดีเอ็นเอ พบว่าคุณและเซี่ยชิงฉวนไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด”
***จบตอน เหมือนถูกตีหัวซ้ำ ๆ สองครั้ง***