ต้นไม้ไร้ซึ่งใบไม้ราวกับไม่มีชีวิตอยู่ แต่ว่านั่นเป็นสัญญาณว่าฤดูใบไม้ร่วงได้ผ่านพ้นไปแล้ว และเข้าสู่ฤดูหนาว…
หนาว!!
‘ฮัดเช่ย!’
ความหนาวเกาะกินไปทั่วร่างกายราวกับกำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง หนาว…หนาวเกินไปไหม หมกตัวอยู่ผ้าห่มก็ยังหนาวสุด ๆ เลย บ้าไปแล้วข้างนอกพายุหิมะเข้ารึไง!
“ริเกลไม่ออกมาจากผ้าห่มเลยแฮะ”
‘แหงสิหนาวขนาดนี้—’
ฉันที่เผลอโผล่หัวออกไปตอบเคียร่าก็ได้แต่สั่นสะท้าน เพราะลมเย็น ๆ ปะทะเข้ากับร่างกาย ไม่ไหว ลมเย็นนี่น่ากลัวเกินไปแล้ว
ตอนนี้เวลาผ่านมาจากกองคาราวานจากไปได้สักพักหนึ่ง แผลของเคียร่าก็เริ่มดีขึ้นแล้ว ถึงจะยังไม่หายสนิทแต่ก็พอลุกขึ้นแล้วกลับมาอยู่ที่บ้านได้ตามปกติ และก็เข้าสู่ฤดูหนาว…
เกลียดอากาศหนาวที่สุดเลย!!
ถึงแบบนั้นก็มีแค่ฉันที่คลุกตัวอยู่แต่ในผ้าห่มเพียงคนเดียว ทั้งเคียร่าและพ่อกับแม่ก็มีท่าทีปกติ อาจจะใส่ชุดที่หนาขึ้นมาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้หนาวสั่นแบบฉัน
บ้าน่า ทุกคนเป็นสัตว์ประหลาดกันรึไง หนาวขนาดนี้ยังเดินกันได้สบาย ๆ บ้า บ้าไปแล้ว!!
“อืม…พ่อหนูขอจุดเตาผิงให้ริเกลได้ไหม”
“ก็เข้าใจนะ แต่…เราคงไม่มีฟืนพอสำหรับจุดเตาผิงได้ตลอดฤดูหนาวหรอกนะ”
เหมือนได้ยินข่าวร้ายแว่วมาแต่ไกล ก็นะ…ถ้าดูจากสภาพที่ทุกคนไม่ได้สะทกสะท้านมากแบบนี้ ก็คงเก็บไว้ช่วงที่หนาวสุด ๆ จนทนไม่ไหวแหละมั้ง
จะรอดไหมนะ…ฉันจะรอดจากฤดูหนาวนี้ได้ไหมนะ จะแข็งแล้ว…
‘ปัง ปัง ปัง!!’
มีเสียงเคาะประตูดังสนั่นจนทุกคนต้องหันไปมอง รู้สึกได้ถึงความร้อนรนจากผู้มาเคาะ พ่อจึงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ว่าให้เคียร่าไปหลบอยู่ในห้อง
มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่านะ? รู้สึกได้เลยว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี และฉันก็ใช้ประโยชน์จากการเป็นมังกรเพื่อฟังสิ่งที่พวกเขาคุยกันทั้งหมด จับใจความได้ประมาณว่า…
…จ่าฝูงมังกรอัลละวามาที่หมู่บ้าน ไม่โจมตีแต่ก็ยังระวังกันอยู่
…เข้าใจแล้ว จะให้เด็ก ๆ หลบอยู่ในบ้าน
…อา ระวังด้วยล่ะบ้านนายมีมังกรวารีนี่นะ ถ้ามังกรปฐพีเห็นไม่รู้จะเป็นไงบ้าง
คร่าว ๆ ก็ประมาณนั้นแหละ แต่ถ้าตามที่เคียร่าเล่าไม่ใช่ว่ามังกรอัลละวาตอนนี้กำลังจำศีลกันอยู่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ถึงจากบทสนทนาเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ แต่บรรยากาศก็ค่อนข้างตึงเครียดน่าดู อะ เหมือนเขาจะให้พ่อเตรียมอาวุธไว้ให้พร้อมด้วยล่ะ
แย่แล้วไม่ใช่รึไง ถ้ามังกรอัลละวาจากที่ฉันจำได้…ตัวใหญ่มากเลยนะ ถ้าคนปกติจะไหวเหรอ…ต่อให้ฉันออกไปช่วยได้ก็ไม่รู้จะไหวไหม
เหมือนว่าเคียร่าที่อยู่ในห้องก็ได้ยินบทสนทนาเหมือนกัน เพราะตอนนี้เธอเอาตัวแนบประตูเพื่อฟังเสียงข้างนอก
และที่ฉันเห็นได้ก็เพราะเปิดช่องเล็ก ๆ ให้ดวงตาโผล่ออกมามองข้างนอกได้ เธอเองก็แสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมาชัดเจน
“มังกรอัลละวา…วันแรกที่ฉันเจอริเกลก็ถูกไล่หนิ ใช่ไหม?”
เคียร่าถามแบบนั้นด้วยสีหน้าไม่สบายอย่างชัดเจน ฉันจึงทำหน้าเศร้าๆ แล้วพยักหน้าให้เธอ ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ…
จากนั้นทั่วทั้งบ้านก็เงียบสงัดจนไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน อ๊ะ หรือฉันแค่ตัวชาจนไม่รู้สึกเองนะ? กำลังจะแข็งรึเปล่านะ…
แต่มังกรอัลละวาเหรอ…รู้สึกใจคอไม่ดีเลย ปกติจะรักสงบแต่ก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์หนิ? ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ
อาจจะเป็นการระแวงเกินเหตุไปหน่อย แต่ว่าฝันในวันนั้น…วันที่เคียร่าบาดเจ็บ มันทำให้ฉันแอบรู้สึกกลัวและกังวลมาก ได้แต่หวังว่าภาพในฝันนั่นจะไม่เกิดขึ้นในตอนนี้…ตอนที่ฉันยังไร้พลังอยู่
‘ตึง ตึง’
มีเสียงฝีเท้าหนักเข้ามาใกล้บ้าน แต่ดูจากเสียงเอื่อย ๆ คงไม่ได้รีบร้อนมากนัก ฉันเดาได้ทันทีว่านั้นคือเสียงฝีเท้าของดีอาร์ และแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
เพราะถ้าไม่รีบร้อนแสดงว่าคงไม่มีเรื่องร้ายอะไร แต่ว่า…
“เคียร่า ริเกล ช่วยมาด้วยกันหน่อยสิ”
คนที่เข้ามาในบ้านและส่งเสียงเรียกคือคุณโรเวิร์ต นั่นทำให้ทุกคนในบ้านทำสีหน้างงงวยออกมาอย่างชัดเจน ยกเว้นเคียร่าที่ทำสีหน้าลำบากใจ
“แต่ว่า…”
เธอมองมาที่ฉันซึ่งหมกตัวในผ้าห่มด้วยสายตาแบบนั้น ฉันคิดว่าคงเป็นความกังวลเรื่องที่ฉันเลยโดนมังกรอัลละวาไล่ล่ะมั้ง แต่ถ้าคนอื่นเห็น…นั่นสินะ
“ช่วงจำศีลงั้นรึ…”
งั้นเหรอ…ที่ฉันเป็นอยู่นี่คือจำศีลเหรอ มิน่าล่ะ ทำไมพวกสัตว์ถึงได้จำศีล เล่นหนาวซะขนาดนี้เลยนี่นา…เกลียดความเย็นชะมัด
เพราะว่าปิดบังเรื่องเคยโดนไล่เอาไว้ พวกเราจึงพยักหน้าตอบไปแบบนั้น
“…ถ้างั้นเคียร่าช่วยพาริเกลมาทั้ง ๆ ผ้าห่มแบบนั้นได้ไหม”
“ได้อยู่แหละค่ะ แต่ว่า…มังกรปฐพี กับมังกรวารี…”
“เรื่องนั้น ไม่ต้องห่วง ข้ารับรองได้”
สุดท้ายเคียร่าก็หันกลับมามองฉันอีกครั้ง คงจะอยากถามความเห็นสินะ…เอาเถอะถ้าไม่ไปให้มันจบ ทั้งหมู่บ้านคงเต็มไปด้วยความกังวลแบบนี้ไปอีกนานแน่
ดังนั้นถึงต้องไป…ฉันจึงพยักหน้าให้เคียร่า
และที่สำคัญอีกอย่างก็คือความเป็นห่วงของเคียร่าที่มีกับฉัน ไม่ต่างจากแม่ที่หวงลูกจนไม่ยอมปล่อยเลย แต่แบบนั้นก็แย่สิถ้าเธอยังไม่เลิกมองว่าฉันอ่อนแอ ฉันก็คงปกป้องเธออย่างเต็มที่ไม่ได้
เพราะเธอจะไม่ปล่อยให้ฉันทำไงล่ะ…สุดท้ายก็ความอ่อนแอของฉันอยู่ดีสินะ
ในระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยร่างของฉันที่ถูกห่อด้วยผ้าห่มหลายฉันอย่างดี ก็ถูกแบกขึ้นบนหลังของดีอาร์ เพราะว่าเคียร่าอุ้มฉันไม่ได้แล้วยังไงล่ะ น่าเศร้าจัง…
แต่ด้านนอกที่เริ่มปกคลุมไปด้วยหิมะทีละหน่อยนั้น หนาวเหน็บจนทำให้ความคิดทุกอย่างปลิวกระจุยไปในที่สุด
นี่ขนาดว่าห่อตัวด้วยผ้าห่มหลายชั้นแล้วนะ…
“ขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือจ่าฝูงของมังกรอัลละวาที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านนี้”
เบื้องหน้าของพวกเราที่เดินมาจนถึงหน้าหมู่บ้านก็คือมังกรอัลละวา รูปร่างภายนอกดูเหมือนกับตัวแรกที่ฉันเลยเจอ แต่ว่าต่างไปนิดหน่อย
อย่างแรกเห็นได้ชัดเลยคือขนาด ตอนนั้นฉันที่ตัวเท่าแมวมีขนาดเท่าเล็บของมังกรอัลละวา แต่ถึงตอนนี้จะตัวเท่าสุนัขแล้วก็ยังตัวเท่าเล็บเหมือนเดิม
ใช่…ตัวใหญ่ขนาดนั้นแหละ
ต่อมาคือความน่าเกรงขาม เป็นสายตาที่สงบนิ่งและไม่สั่นคลอน แม้แต่หัวก็นิ่งไม่เอียงคอลงมาแม้แต่น้อยจนราวกับกำลังเชิดหน้าอยู่
จนแอบคิดว่ามองเห็นพวกเราด้วยเหรอ แต่ก็ต้องเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งเมื่อเห็นดวงตาของเขา ที่เหลือบมองลงมาด้านล่างซึ่งพวกเราอยู่
จะว่าไงดี…เท่ชะมัด
‘เจ้างั้นรึ ที่เหล่าเด็กของข้าคงสร้างความลำบากมิน้อยเลย’
‘จ่าฝูงจะเรียกคนในฝูงว่าเด็กน่ะ ไม่ใช่ลูกในสายเลือดหรอก’
มังกรตัวนั้นเปิดปากส่งเสียงคำรามเบา ๆ ในลำคอ พร้อมกับคำอธิบายเพิ่มของดีอาร์ ทั้งเสียงที่ออกจากปากของจ่าฝูงและได้ยินในหัวก็ไปในทางทุ้มต่ำเหมือนกัน คงจะบอกว่าเหมือนผู้ใหญ่ขรึม ๆ ไม่ได้…ต้องบอกว่าเหมือนคนแก่ที่ดูอ่อนแรงมากกว่า
‘เพราะเป็นเจ้า จึงต้องขอโทษเป็นการส่วนตัว…ตามข้ามาสิ’
เขาพูดแบบนั้นแล้วเดินหันหลังมองตรงไปยังทางเดินลึกเข้าไปในป่า โดยที่ระดับของหัวไม่ต่ำลงเลยแม้แต่น้อย แต่ละก้าวช่างหนักแน่นและดูสง่างาม
เหมือนทุกคนเองก็ดูออกว่าจ่าฝูงอยากให้ตามไป แม้จะมีสายตาที่พยายามห้ามปรามเคียร่าซึ่งยังแผลไม่หายสนิทจากคนในหมู่บ้านก็ตาม
แต่จากสถานการณ์แล้วคงห้ามอะไรไม่ได้ จึงได้ปล่อยเลยตามเลย และพวกเราสี่คนประกอบด้วย ฉัน เคียร่า ดีอาร์และคุณโรเวิร์ต ก็เดินตามมังกรดินไปอย่างช้า ๆ
เข้ามาในป่ายิ่งรู้สึกได้เลยว่ามีลมไหลผ่านเยอะยิ่งกว่าตอนอยู่ในหมู่บ้าน แต่ว่า…ถ้าไม่นับอากาศหนาวป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะก็สวยจริง ๆ
อยากลงไปเล่นจัง…
“ปกติคุณโรเวิร์ตจะเรียกเขาว่าจ่าฝูงเหรอคะ”
เคียร่าเริ่มชวนคุยตามประสาเด็กที่เบื่อการเดือนที่เงียบสนิท
“ใช่ ตั้งแต่ข้าได้รู้จักกับเขา ก็เรียกว่าจ่าฝูงมาตลอด เพราะแถวนี้ไม่มีฝูงอื่นเลยไม่สับสน”
“แสดงว่าไม่มีชื่อเหรอ…น่าเศร้านะ”
เคียร่าพูดความเห็นใจออกมาโดยไม่ปิดบัง แม้แต่ใบหน้าเศร้าที่เหงาหงอยราวกับมองเด็กน้อยขี้เหงา นั่นทำให้คุณโรเวิร์ตและดีอาร์มองเธอด้วยความตกตะลึง
แม้แต่คุณจ่าฝูงก็ยังเหลือบตากลับมามอง…โดยที่รู้สึกได้ว่าเขาเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเช่นกัน
ต่อมาคุณโรเวิร์ตพยายามปรามเคียร่าไว้ เพราะสำหรับเขาจ่าฝูงมังกรอัลละวาเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ควรไปแหย่หางของมังกรอัลละวา…
คล้าย ๆ สำนวนของโลกนี้น่ะ
แน่นอนว่าเคียร่าไม่สนใจและทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
“งั้นถึงจะสิ้นคิดไปหน่อย แต่ขอเรียกว่า ‘อุล’ ได้ไหมคะ?”
ถึงแม้จะเหมือนแค่ชื่อเล่นไว้เรียกอย่างง่าย แต่ว่า นั่นก็หมายถึงการตั้งชื่อได้อย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าโลกนี้มีธรรมเนียมยังไงบ้าง
แต่คุณโรเวิร์ตดูร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ก็มีเสียงพ่นลมเบา ๆ ออกมาจากจมูกของจ่าฝูง
พร้อมทั้งหัวที่ยกขึ้นเล็กน้อยและกลับมาขนานกับพื้นเช่นเดิม
‘หึ ไม่มีปัญหา อุล…ชื่อ…รึ’
เขาพึมพำออกมาแบบนั้นราวกับกำลังพูดกับตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่านะ มุมปากของเบาที่ดูแข็งกระด้างเหมือนหินนั้น
ยกขึ้นมาเพียงน้อยนิด และเดินหน้าต่อด้วยฝีเท้าที่ไม่คลายความหนักแน่นแม้แต่น้อย
ไม่นานเราก็เดินมาถึงหน้าผาสูงชันอันเป็นสิ่งที่ขวางกันประเทศนี้กับทะเล และรอบนั้นบ้างก็มีถ้ำ ไม่ก็เหมืองอยู่จำนวนหนึ่ง
และสิ่งเหล่านั้นก็เป็นรังของมังกรปฐพีอัลละวา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ไม่มีความคิดอย่างเจาะภูเขาออกไป เพราะไม่อยากไปกระตุ้นพวกอัลละวานั่นแหละ
และตรงหน้าเราก็มีถ้ำขนาดใหญ่จนร่างของอุลเดินผ่านได้สบาย ๆ ทางเดินนั้นมืดและลึกเข้าไปจนแสงจากด้านนอกส่องมาแทบไม่ถึง
อุลก็หยุดฝีเท้าลง
‘อยู่ในนี้น่าจะอุ่นขึ้นมาหน่อย’
เขาพูดแบบนั้นพร้อมทั้งมองไปด้านข้าง และเมื่อเขาหยุดเท้าลงต่อให้คุณโรเวิร์ตไม่ได้ยินที่เขาจะบอก แต่ก็พาฉันออกจากผ้าห่มทันที…อุ่น
ถ้ำมันอุ่นเหรอ? บอกไม่ได้แฮะปกติก็ไม่เคยได้เข้ามาถ้ำอยู่แล้ว แต่ในนี้อุ่นมากจริง ๆ เอานึกถึงโต๊ะอุ่นขาในโลกก่อนเลย
ในตอนนั้นเอง อุลก็หันหลังกลับมาและนั่งลงช้า ๆ ขาหน้าสองข้างพับกันอยู่บริเวณกลางลำตัวพอดี ตัวและหลังตั้งอย่างไม่โก่งงอแม้แต่น้อย
แถมอีกอย่างถึงจะไม่ได้บอกก็เถอะ…ตามตัวของเขายังคงมีแร่อยู่แม้ว่าเวลานี้ปกติจะต้องร่วงหมดแล้ว แถม…ยังมีเยอะกว่าปกติจนปกคลุมทั้งตัวด้วย
เป็นความแปลกชวนฉงน แต่ภาพตรงหน้าก็ทำเอาอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าเขาช่าง งดงาม เหลือเกิน
ก่อนจะมองพวกเราโดยไม่ก้มหน้าแม้แต่น้อยเช่นเดิม
“อุล…พามาที่นี่มีอะไรรึ”