เสียงคำรามที่แผดไปทั่วพร้อมทั้งร่างของฉันที่กระโจนออกมาใจกลางคนจำนวนมาก ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันอย่างตกตะลึง
ทางฝั่งโจรก็ตกใจที่เป้าหมายอย่างฉันมาโผล่ตรงหน้า ทหารก็ตกใจที่ฉันแอบออกมาข้างนอก และสำหรับพวกทหารสิ่งที่เกิดขึ้นคงชวนให้หน้าซีด
เพราะพวกเขาคงมาเพื่อปกป้องฉัน แต่ว่าเจ้าตัวที่ต้องปกป้องดันออกมาหาศัตรูซะเอง เป็นใครก็คงเหวอกันบ้างแหละ แต่ฉันเองก็ไม่สนใจ
“มะ- มังกรอยู่นั่น! ไปจับมาเร็วเข้า!!”
“สกัดกั้นเอาไว้! ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องปกป้องชาวเมืองให้ได้”
“โอ้!!”
คำสั่งที่สวนทางกันแต่เสียงกู่ร้องกลับดังสนั่นทั้งสองฝั่ง โดยมีฉันอยู่ตรงจุดกึ่งกลางที่มีคนวิ่งกรูกันเข้ามา จะทางคนที่หมายตาฉันไว้ก็ดี หรือจะฝ่ายทหารที่โยนชีวิตทิ้งเพื่อฉันก็ดี ทุกคนเอาแต่ทำเรื่องเหนือความคาดหมายกันตามใจชอบทั้งนั้นเลย
เพราะงั้น…ฉันเองก็จะทำตามใจชอบเหมือนกัน
ฉันมองไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตว่าบริเวณที่กำลังโดนเผาไปกว้างขนาดไหนแล้วรวบรวมพลังเวทไว้ที่คอ ฉันยังไม่ค่อยได้ฝึกอะไรมากนอกจากลมหายใจของมังกร
แต่ถ้าฉันปล่อยแบบที่ฝึกออกไปคงได้มีคนตายเพิ่มยิ่งกว่าเดิม…แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของฉัน ฉันต้องการหยุดไฟที่ลุกลามไปทั่วนี่ กับคนที่กำลังหลั่งเลือด
แต่เหนือสิ่งอื่นใด…ต้องไม่ให้ป่าโดนทำลายไปมากกว่านี้ ขอร้องล่ะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจหลักการทำงานของเวทมนตร์ แต่ขออะไรก็ได้ ที่จะดับไฟนี่ได้ซะที
‘กรร…’
ฉันรวบรวมลมเข้าไปเต็มปอดและเตรียมปล่อยโดยหลับตาลงขอให้ไฟหยุด ถึงในหัวจะตีกันไปหมดแต่ที่ต้องการก็ยังไม่เปลี่ยน อยากให้ไฟพวกนี้ดับ อะไรก็ได้ที่ดับไฟได้
แล้วในตอนนั้นเอง สร้อยคอที่เป็นแร่อุลก็เรืองแสงขึ้นมา พลังออกมาจากแร่เหรอ? ไม่ใช่ มันแค่ทำงานเพราะทำให้ฉันตัวอุ่นขึ้น หรือก็คือ…ที่คอฉันมันเย็นขึ้นมานั่นเอง
‘กรร!!’
ฉันคำรามออกไปเสียงดัง พร้อมทั้งพ้นลมหายใจกราดไปรอบ ๆ เพื่อให้คลุมพื้นที่โดนไฟเผา สิ่งที่ออกมาจากปากฉันเป็นแสงสีฟ้าอ่อนจนขาว ใสจนเหมือนเป็นแค่ลม
แต่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่โดนลมหายใจของฉันนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง แม้แต่ไฟที่โหมกระหน่ำอยู่ก็โดนดับลงอย่างรวดเร็ว และพื้นรอบตรงนั้นก็กลายเป็นน้ำแข็ง
รวมถึงตัวคนด้วย…
“อะ- อะไรกัน เจ้าน้ำแข็งนี่!”
เพราะฉันไม่ได้พ่นนานมากนัก แต่ก็มากพอจะทำให้คนโดนแช่แข็งไปบางจุด การเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงหยุดลงและแทนที่ด้วยความสับสน
ก่อนที่ชัยชนะจะตกเป็นของผู้ที่ใจเย็นกว่า
“ไฟดับแล้ว เข้าไปจับกุมพวกที่เหลือซะ!!”
คนที่นำทหารพูดขึ้นเป็นการเรียกสติฝ่ายตนเอง ก่อนที่คนที่ลุกไหวและขยับตัวได้จะวิ่งเข้าไปจับตัวโจรที่เหลือ และคนที่คอยสั่งทหารก็เดินเข้ามาหาฉัน
และคุกเข่าลงตรงหน้าฉัน ซึ่งเขาใส่ชุดเพราะค่อนข้างหนากว่าคนอื่น ทั้งยังกลายเป็นน้ำแข็งตรงช่วงขาและไหล่ แต่กระนั้นก็ดูไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องกังวล แล้วก็ขอกล่าวขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้ ไม่งั้นทหารหน่วยของเราคงโดนย่างทั้งเป็นกันหมดแน่”
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…ไม่ใช่ว่าพวกนายก็โดนฉันด้วยรึไง แถมทหารบางคนยังทำท่าทรมานไม่ก็หมดสภาพไปแล้วด้วย แบบนั้นขอบคุณกันได้ด้วยเรอะ
แต่ก็ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วล่ะมั้ง เพราะว่ามีเสียงเท้าเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็พบว่าเป็นทหารอีกชุดหนึ่งมาเป็นกองกำลังเสริม และช่วยจับกุมพวกโจรทั้งหมด
ชายที่ดูล่ำบึกอันเป็นหัวหน้าก็พาฉันกลับไปที่หมู่บ้าน…
“ริเกล!?”
เอ๊ะ ไหงเคียร่าถึงมาอยู่นอกบ้านได้ล่ะ ไม่สิ ถ้าสังเกตดี ๆ บ้านทุกหลังก็จุดตะเกียงในบ้านกันหมดเลยนี่นา นี่ตื่นกันทั้งหมู่บ้านเลยเหรอ…
เคียร่าวิ่งเข้ามาหาฉันด้วยสีหน้าแตกตื่นและก้มลงกอดฉัน
“หายไปไหนมา เป็นห่วงแทบแย่”
‘…ทำสิ่งที่ฉันทำได้นิดหน่อยน่ะ แต่ว่า…กลับมาแล้ว’
ฉันนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหลับตาลงและพิงตัวเข้าหาเคียร่า ทั้งยังใช้ปีกโอบกอดรอบตัวเธอไว้อย่างอ่อนโยน และทหารก็แนะนำให้พวกเรากลับบ้านกันไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยรายละเอียดกันต่อ…
———- ———
ตื่นเช้ามาพวกเราก็รีบมุ่งหน้าไปบ้านของคุณโรเวิร์ตทันที…โดยมีทหารคอยคุ้มกันอีกทีน่ะนะ รู้สึกอึดอัดจังแฮะ ที่คนคอยควบคุมดูแลตลอด
วันนี้ ไม่สิ จริง ๆ ก็ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมดเลยเพราะงั้นการป้องกันฉันจึงแน่นหนายิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าที่ทุกคนตื่นกันเมื่อคืนก็เพราะเสียงคำราม
แต่ที่ฉันอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนั้น
“ส่วนเรื่องที่มีการปะทะกัน…”
ใช่ ส่วนนั่นแหละที่ฉันอยากรู้ เคียร่าเองก็พึ่งรู้ว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นก็ตอนที่พวกทหารกลับมานั่นแหละ แล้วคุณโรเวิร์ตก็เล่าให้ฟัง
อย่างที่บอกนั่นแหละมีคนหมายตาตัวของฉันไว้อยู่ และเลือกใช้วิธีรุนแรงสุด ๆ อย่างการจะทำลายหมู่บ้านทิ้งเลย ดังนั้นจึงรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นกลุ่มค่อนข้างใหญ่
เนื่องจากเมื่อวานมีคนบาดเจ็บเยอะมากและต้องถอนตัวออกกันทั้งหมด แต่เพราะแบบนั้นแหละพวกโจรเองก็โดนเหมือนกัน เลยสงบศึกยาวจนกว่ากองหนุนจะมา
ซึ่งทางฝั่งพวกเราเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่า และขุนนางส่วนหนึ่งก็สนับสนุนให้คุ้มครองพวกฉันด้วย ก็เลยมีคนคอยคุ้มครองมากขึ้น ตอนนี้น่าจะวางใจได้ในระดับหนึ่ง…
แล้วเคียร่าก็ถามบางอย่างขึ้น
“คนบาดเจ็บ…เยอะไหมคะ”
คุณโรเวิร์ตที่ได้ยินแบบนั้นก็ลังเลที่จะตอบไปพักหนึ่ง แต่ก็ทนแรงกดดันจากสายตาของเคียร่าไม่ไหว จึงถอนหายใจออกมาและบอกแต่โดยดี
“ฝั่งทหารข้ามีราว ๆ 30 นาย ฝั่งโจรที่ได้ยินมาคือ 50 คน ปะทะกันตอนแรกทหารเสียชีวิต 5 นายโจร 11 นาย จนตอนที่ริเกลโผล่ออกมา…ทุกคนที่อยู่ที่นั่น บาดเจ็บสาหัส”
ทั้งฉันทั้งเคียร่าเผลอกลั้นหายใจกับคำตอบนั้น เอ๊ะ ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ฉันก็แค่อยากดับไฟเอง…ว่าแล้วคุณโรเวิร์ตก็พาออกไปดูข้างนอก
เพราะเห็นว่าพวกฉันอยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกัน แล้วก็…พบกับภาพที่มีคนโอดครวญด้วยความทรมานเต็มไปหมด ในตอนนี้ทหารที่ใส่เกราะกันก็ถอดออกหมดแล้ว แต่ว่า…
“…”
เป็นครั้งแรกเลยรึเปล่านะ ที่เห็นเคียร่าทำสีหน้าหวาดกลัวขนาดนั้นเป็นครั้งแรก น่าจะมากกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าไคซารัสอีก เพราะว่าสภาพแผลของทหารนั้น…
เป็นรอยเนื้อขาดสีแดงมองเผิน ๆ คล้ายแผลไหม้ แต่ว่าไม่มีรอยไหม้รู้แค่สีหน้าทุกคนทรมานกันมาก ส่วนจุดที่โดนก็แตกต่างกันไป
บ้างก็ที่ไหล่ ที่ขา ที่อก หรืออาจจะมีมากกว่านั้นแต่ว่าฉันไม่เห็น แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นจุดที่ใส่เกราะกันทั้งนั้นเลยนี่นา
“อ๊ะ ท่านโรเวิร์ต!”
เมื่อเราเดินจนถึงชายคนหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นและทำวันทยหัตถ์ให้กับคุณโรเวิร์ต ซึ่งทางเจ้าตัวที่ได้รับการเคารพก็ส่งสัญญาณให้ผ่อนคลายลง
อ๊ะ ฉันจำชายคนนี้ได้ เขาเป็นคนที่คอยสั่งทหารคนอื่นนั่นเอง และตอนนี้เขาก็…
“เจ็บหนักพอควรเลยนะ วิลเลต”
“ก็คงดีกว่าโดนเผาล่ะมั้งครับ”
ทั้งคู่ต่างก็ยิ้มเจื่อนให้กัน ส่วนฉันที่เป็นต้นเหตุก็หลุบหัวลงด้วยความรู้สึกผิด แล้วชายที่ชื่อวิลเลตก็สังเกตเห็นฉันที่เป็นแบบนั้น จึงเดินมาหา
และยื่นมือมาลูบหัวของฉันเบา ๆ
“ไม่เป็นไร เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกนะ”
ไม่เห็นเข้าใจเลย…ตอนนี้ตัวของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลที่เปรอะไปด้วยเลือด บริเวณไหล่ขวากับเข่าซ้าย คงเป็นแผลแบบเดียวกันกับทหารคนอื่น
เพราะงั้นไม่มีทางที่เขาจะไม่ทรมาน แต่แค่ไม่แสดงออกมาเฉย ๆ แม้ว่าแผลที่เขามีจะใหญ่กว่าคนอื่นมากก็เถอะ แต่กระนั้นก็ยังใจแข็งได้ขนาดนี้ สุดยอดเลยนะ…
“ทางฝั่งโจรเป็นยังไงบ้าง”
“ครับ! โจรทั้งหมดโดนลมหายใจของมังกรเข้าไปโดยตรง ร่างกายเป็นน้ำแข็งและแตกหัก ส่วนมากจึงเสียแขนหรือขากันครับ”
“งั้นรึ ถ้างั้นพวกนั้นก็คงต่อต้านไม่ได้แล้ว…แล้วพวกเจ้าล่ะ”
“…ถึงจะน่าเสียดาย แต่ทหารในหน่อยข้าทั้งหมดคงต้องถอนตัว…คงกวัดแกว่งดาบกันไม่ได้อีกแล้ว”
ในคำพูดของเขาไม่มีความโกรธเคืองหรืออะไรอยู่เลย จะมีก็เพียงรอยยิ้มบางที่ดูเศร้าสร้อยบนใบหน้าเท่านั้น ฉันเองก็ยิ่งหลบตาไปทางอื่น
เพราะดูเหมือนแผลที่พวกเขาได้รับแม้จะไม่ได้เสียอวัยวะเหมือนพวกโจรที่โดนโดยตรงจนแข็งไป แต่ความเย็นที่ส่งผ่านเหล็กก็ทำให้ผิวหนังโดนกัดกิน
ที่สำคัญ…ต่อให้กลายเป็นแผลเป็นมันก็ยังเจ็บอยู่ สภาพแบบนั้นจะให้เป็นทหารต่อก็คงเป็นไปไม่ได้
“ท่านโรเบิร์ต ขอรายงานเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งครับ”
“ว่ามาสิ”
“อาวุธและอุปกรณ์ของพวกโจร…มันดูดีเกินไปครับ”
เมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้นทั้งคู่ก็ทำสีหน้าเครียดขึ้นมาและจ้องหน้ากัน เอ๊ะ ถึงฉันเองก็สังเกตเห็นก็เถอะ แต่มันมีความหมายอะไรเหรอ
และเคียร่าเองที่เหมือนจะทำใจสงบกับสภาพรอบ ๆ ได้แล้วก็ทำหน้าคิด ก่อนจะพูดออกมา ซึ่งเป็นการช่วยฉันที่ไม่รู้เรื่องคนเดียวได้พอดี
“เหมือนกับ มีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังสินะคะ”
ทุกคนหันไปมองเธอและพยักหน้าให้ ถ้างั้นก็แย่เลยสิ คนใหญ่คนโตนี่ก็หมายถึงขุนนางสินะ ถ้างั้นก็หมายความว่ามีขุนนางร้อนอำนาจต้องการตัวฉันอยู่สินะ
คุณโรเวิร์ตตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าจะเร่งสืบ พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากขุนนางทรงอำนาจคนอื่น เขาเดินไปหาวิลเลตและกระซิบบางอย่างเบามากจนแม้แต่ฉันก็ไม่ได้ยิน และเขาก็จากไปโดยปล่อยเราสองคนไว้กับวิลเลต
ซึ่งพอเป็นแบบนั้นเจ้าตัวก็ทำสีหน้าลำบากใจและเกาหัวแกร่กๆ
“อา…ดันทิ้งไว้กับเด็กซะได้ ฉันไม่ถนัดเป็นพี่เลี้ยงเด็กซะหน่อย”
ราวกับว่าพอเจ้านายไม่อยู่เขาก็ดูผ่อนคลายลงกว่าเดิมพอควร ทั้งยังถอนหายใจให้กับสถานการณ์ตรงหน้าอีก
เคียร่าจึงหัวเราะในลำคอเบา ๆ และเงยหน้ามองเขา
“ฮะๆ ลำบากหน่อยนะคะ”
คงเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำปลอบโยนจากเด็กที่คิดว่าเป็นตัวปัญหาล่ะมั้ง เขาจึงทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย แล้วก็เชิญให้พวกเราหาที่นั่งกัน
ซึ่งตอนนี้พวกเราอยู่ที่ค่ายกลางแจ้งในหมู่บ้าน เพราะว่าคนบาดเจ็บเยอะจึงต้องขอใช้พื้นที่ลานกว้างของหมู่บ้านขนคนเจ็บและรักษา แล้วในตอนนั้นเองเคียร่าก็เปิดหัวข้อสนทนาขึ้น
“หลังจากนี้…พวกคุณจะเป็นยังไงต่อเหรอคะ”
“หือ ก็คงเลิกเป็นทหารไง”
“นั่นแหละค่ะ แล้วถ้าเลิกเป็นทหารจะทำอะไรต่อเหรอคะ”
“เอ๋ อืม…นั่นสินะ”
เมื่อโดนคำถามที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้คิดเอาไว้ วิลเลตจึงทำท่าทางคิดหนักพร้อมทั้งกวาดสายตาไปรอบ ๆ
โดยมีเคียร่ารอฟังโดยมองผู้คนตาแทบไม่กะพริบ
“ก็คง หาทำอะไรสักอย่างเลี้ยงชีพแล้วก็กลับไปอยู่กับครอบครัวน่ะ คนในหน่วยส่วนมากจะเป็นสามัญชนกัน แม้แต่ฉันก็ด้วย”
“งั้นเหรอคะ…”
งั้นเหรอคะ…เธอพึมพำออกมาแบบนั้นถึงสองรอบ ในดวงตาของเธอที่มองไปผู้คนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ทั้งเศร้า เสียใจ และ…ราวกับว่าเข้าอกเข้าใจ เหมือนดวงตาของเธอมองทะลุเข้าไปในจิตใจของพวกเขาว่ารู้สึกอย่างไร
จึงเป็นความเห็นอกเห็นใจไปนั่นเอง
จากนั้นเคียร่าก็ลุกขึ้นและเดินออกมาอย่างรวดเร็ว จนคนที่คอยคุ้มครองพวกเราถึงกับตกใจตามมาแทบไม่ทัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่กับฉัน
ฉันก้าวเท้ามาอยู่ข้างเธอได้อย่างรวดเร็วและไม่นานก็ถึงที่บ้าน เธอมุ่งไปห้องของตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย แล้วก็…
ลงมือเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว
‘จะทำอะไรน่ะเคียร่า?’
ฉันเธอเข้าไปส่งเสียงร้องข้างเธอ เคียร่าที่กำลังทำสีหน้าซับซ้อนอยู่ก็หันมามองฉัน และคลี่ยิ้มบางให้
“ริเกล…อยากออกเดินทางไหม”
อยากไหม…ถ้าตามตรงตอนนี้ก็คงไม่ ไม่ใช่ว่ากลัวคนหรือกลัวการทำร้ายคน แต่ว่า วันนี้ทำให้ฉันรู้สึกได้ ว่าฉันอาจจะยังไม่พร้อมปกป้องเคียร่า
ฉันมีพลังมากมายมหาศาล และมากเกินจนกลัวว่าจะทำลายล้างทุกสิ่ง แม้แต่ตัวเคียร่า แต่ว่าจากสภาพตอนนี้ฉันก็เข้าใจเธอที่อยากออกเดินทาง
ไม่สิ พูดให้ถูกคงหนีมากกว่า เพราะงั้นก็คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ถ้าต้องออกเดินทางฉันก็จะไปกับเธอ และพยายามให้มากที่สุด เพราะนั่นคือสิ่งที่ฉันทำได้
‘อืม ฉันพร้อมตามเธอไปทุกที่แหละ’