ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 29: ภาค 2 ตอนที่ 6 เรียนรู้เพื่อตามหาเป้าหมายของตนเอง

จากจดหมายที่ส่งมา ถึงเคียร่าจะไม่รู้สึกตัวก็เถอะแต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายสนใจตัวเธอ หงุดหงิด ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้กันนะ ในตอนที่อ่านเรื่องพวกนั้นเสร็จก็รู้สึกแบบนั้นในอกจนร้อนรุ่มไปหมด ดังนั้นตอนที่เห็นว่าริเกลขู่และกันไม่ให้เข้าใกล้ถึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา

ดีมากริเกล ถ้ามีโอกาสซื้อปลาอร่อย ๆ ไปให้ดีกว่า เห็นว่าริเกลชอบปลานี่นะ อืม พอเป็นแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย ที่มีคนคอยดูแลเคียร่าให้ ดีมาก ๆ ฉันกล่าวชมริเกลแบบนั้นออกมาจากในจริงในขณะที่เขียนจดหมาย

แต่ไม่รู้ทำไมแฟลชถึงทำสีหน้าเหนื่อยใจ อะไรกันล่ะนั่น แถมจมูกยังขยับฟุดฟิดอีก…แต่ถ้าจำไม่ผิด เคียร่าเคยบอกว่าในบันทึกเขียนไว้ว่าพวกแฟลชจมูกดีจนได้กลิ่นของความรู้สึก เรียกว่าฟี…อะไรสักอย่างโมน ๆ นี่แหละ คำมันแปลกเหมือนชื่อแฟลชเลยจำไม่ค่อยได้

 

“อะไรเล่า นายได้กลิ่นอะไรจากตัวฉันรึไง”

 

“กรร…”

 

เขาส่งเสียงร้องออกมาเบาและยาวราวกับถอนหายใจ แถมยังหลบสายตาอย่างเอือมระอาอีก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ แต่ฉันก็ปลดอุปกรณ์สวมใส่ของเขาให้และเข้านอน อีกสักพักก็ใกล้จะถึงทราโก้ต้องแยกทางกับโบลแล้วสินะ…

เอาหน่า ฉันไม่ได้เดินทางคนเดียวซะหน่อย อิกนิสกับแฟลชก็อยู่ ใช่…ไม่เหงาหรอกน่า

และไม่รู้ทำไม เขตทะเลทรายในค่ำคืนนี้นั้นดันหนาวจนแทบแข็งยิ่งกว่าทุกคืน จนต้องข่มตาหลับทั้งยังซุกแน่นอยู่กับตัวอิกนิส เป็นที่นอนที่แสนอบอุ่นแต่ก็ยังหนาวอยู่ดี…

 

วันเวลาผ่านไปในตอนนี้พวกเราก็เดินทางมาถึงเมืองที่ตั้งอยู่ชายแดนของเกียร์มัว วันพรุ่งนี้เราก็จะเดินทางเข้าไปในทราโก้ และหมู่บ้านของโบลก็อยู่ไม่ไกลจากชายแดนมากนัก เราคงจะไปถึงกันในวันมะรืนได้เลย

 

“เมืองนี้ฉันมีคนรู้จักจะแวะไปหาหน่อย เธอจะไปด้วยไหม”

 

“ไม่ล่ะ ตาลุงอย่างนายคงอยากจะใช้เวลารำลึกความหลังด้วยกันมากกว่าไม่ใช่เรอะ”

 

“ก็จริง งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ”

 

ว่าแล้วพวกเราก็โบกมือลากันอย่างง่าย ๆ แต่รู้สึกจักจี้ขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่านึ่คือการจากลา หนนี้ในวันพรุ่งนี้ก็ยังมาเจอกัน แต่ในวันมะรืนเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย และเหนือสิ่งอื่นใด

มันทำให้ฉันนึกถึงเคียร่า

 

“กรร…”

 

“ฉันไม่เป็นไร…โทษที”

 

ฉันยิ้มให้กับอิกนิสที่ส่งเสียงออกมาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินสูงเขาที่ยังใส่บังเหียนอยู่เดินไปในเมื่องอย่างเอื่อยเฉื่อย ทำอะไรดีนะ ในหลายวันมานี้ทำให้ฉันได้รู้ถึงความสนุกของการเดินทางกับคนอื่น

พออยู่ตัวคนเดียวก็ซื้อแค่ของสำหรับตัวเอง อำนวยความสะดวกอย่างสบายและเรียบง่าย แต่พอเริ่มมีคนอื่นก็มีความคิดเห็นมากขึ้น มีการถกเถียงกัน เห็นดีเห็นชอบกัน เงินที่เคยไม่มีความหมายเพราะไม่รู้จะซื้ออะไรก็มีค่าขึ้นมานอกจากอาหารเลี้ยงชีพ

การพูดคุยที่มีเสียงตอบกลับมาเป็นคำพูด สร้างเสียงหัวเราะและความครื้นเครงโต้ตอบกันไปมา เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเมื่อเดินทางตัวคนเดียว แม้ว่าจะอยู่กับอิกนิสแต่ช่วงเวลาที่เงียบเฉียบก็เกิดขึ้นได้ตลอด

พึ่งมานึกเอาได้ว่าบรรยากาศของการเดินทางกับคนอื่นมันเป็นเช่นไร ชวนให้นึกถึงวันวานที่เดินทางกับกองคาราวาน อา…นี่ฉัน ทั้งที่โหยหาและชอบมันขนาดนี้แท้ ๆ แต่กลับ…ไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนเลย ถึงความรู้สึกของตัวเอง

 

“ไปเดินเล่นกันเนอะ”

 

“กรร!”

 

เมื่อชวนอิกนิสออกไปแบบนั้นพร้อมทั้งรอยยิ้มแบบฝืนเล็กน้อย เขาก็ร้องกลับมาด้วยเสียงใสฟังชัดและแสนร่าเริง ทำให้ในใจรู้สึกอบอุ่นและสงบขึ้นมานิดหน่อย นั่นสินะ มังกรอย่างอิกนิสคงจะไม่คิดอะไรซับซ้อนแบบนี้ คงจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

แต่ว่านั่นก็ดีแล้วล่ะ ถ้าทำแบบนั้นต่อไปฉันก็จะได้กลับมาเป็นฉันคนเดิมได้เสมอ เคยมีคนบอกเอาไว้ว่าอิกนิสมักจะเลียนแบบการกระทำของฉัน เพราะงั้นสิ่งที่เห็นจากอิกนิสก็คือสิ่งที่คนอื่นมองมาที่ฉันนั่นเอง มันทำให้ฉันกลับมาคิดได้ตลอดว่า

งั้นเหรอ ฉันเป็นคนที่ร่าเริงและแจ่มใสขนาดนี้เลยสินะ เพราะงั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าอิกนิสยังอยู่ข้างฉันล่ะก็…ฉันจะไม่ลืมตัวตนของตัวเองไปแน่

 

“ไปกันเถอะ!!”

 

“กรร!”

 

เมื่อเขาเห็นฉันกลับมาร่าเริงได้แล้วก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข จนคนรอบข้างหันมามองเต็มไปหมด แต่นั่นก็ช่างมันปะไร ฉันเองก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานเช่นกัน ราวกับเรื่องกวนใจเมื่อกี้หายไปเป็นปลิดทิ้งเลย นั่นสินะ การจากลาก็เหมือนกับเคียร่า ยังไงซะมันก็ต้องเกิด เพราะงั้นเศร้ากับมันไปก็ไม่ได้อะไร สนุกไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแหละ ดีที่สุดแล้ว

 

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเล่นซื้อของและทำอะไรหลายอย่างจนเริ่มเหนื่อย จึงมุ่งหน้าจองที่พักสำหรับคืนนี้กันทันที แต่แล้วเมื่อเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่เลือกก็เจอกับงานที่ไม่คาดฝันซะได้

 

“นี่ ในนี้มีใครเป็นทหารรับจ้างบ้างไหม”

 

กำลังมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดูท่าจะเด็กกว่าฉันกำลังเดินวนไปมาถามทุกคนที่นั่งอยู่ในร้าน แต่ทุกคนในนั้นก็ทำเพียงสีหน้าลำบากใจและไม่สนใจเธอ คงเพราะไม่มีใครเป็นทหารรับจ้างเลยล่ะมั้ง

ถึงจะเพิ่งเดินทางมาถึงก็เถอะ แต่ถามเนื้อหาไว้ก่อนก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง

 

“ขอโทษนะ พอดีฉันเป็นทหารรับจ้างน่ะ”

 

“จริงเหรอ! งั้นช่วยฟังคำขอหนูทีได้ไหม”

 

“คำขอเหรอ? ฉันเป็นทหารรับจ้างนะ เพราะงั้นต้องจ่าย–”

 

“ช่วยออกไปตามหาพ่อของหนูให้ทีสิ”

 

ฉันหยุดชะงักไปทันทีเมื่อเธอพูดสวนออกมาแบบนั้น งานตามหาคนเหรอ? ก็ไม่น่าจะงานยากเท่าไหร่แต่ถ้าผู้ปกครองของเด็กคนนี้ไม่อยู่จะมีเงินจ่ายหรือเปล่านะ แต่ก็…

พอมองไปที่ใบหน้าของเด็กคนนั้นที่เดินเข้ามาทำตาแป๋วน้ำตาซึมมองมา ก็รู้สึกว่าใจอ่อนขึ้นมาทันที

 

“ขอฟังเรื่องราวหน่อยแล้วกัน เผื่อจะช่วยตามหาให้”

 

“จริงเหรอ! ขอบคุณนะพี่สาว!!”

 

แล้วฉันก็จัดแจงให้ตัวเองกลับมายิ้มตามปกติแล้วเดินไปหาที่นั่งในร้าน พร้อมทั้งฟังเรื่องราวของเธอ…นั่นทำให้จิตใจฉันปั่นป่วนอย่างประหลาด

หวนนึกถึงวันแรกที่เจอกับโบลทันที นั่นก็เพราะว่า…

พ่อของเด็กคนนี้เป็นทหารรับจ้าง และเขาถูกจ้างให้ไปร่วมทัพที่รบกับเดเวีย น่าจะช่วงที่ฉันเดินทางมาเกียร์มัวพอดี และนี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วยังไม่กลับมาเลย ทำให้เงินจากงานรอบก่อนของบ้านหลังนี้ร่อยหรอเต็มที ปกติคุณแม่จะออกไปทำงานจิปาถะมาเลี้ยงวันต่อวัน แต่ว่าไม่นานมานี้ก็ล้มป่วยไม่มีค่ารักษา ทำให้ทุกอย่างกำลังสิ้นหวังไปหมด

 

“…เข้าใจแล้ว พี่จะช่วยตามหาให้นะ”

 

เพราะว่าเด็กตรงหน้าเล่าจนจบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ฉันจึงกล้ำกลืนความรู้สึกของตัวเองกลับผ่านลงลำคอ และยิ้มออกมาเพื่อให้เธอสบายใจ แถมแบบนี้คงไม่มีอารมณ์จะคิดเงินแน่ ฉันใจอ่อนขนาดนั้นแหละ…

ว่าแล้วเด็กคนนั้นก็ยิ้มกว้างกับคำตอบรับของฉัน และลุกพรวดออกไปทันทีพลางตะโกนกลับมาว่า ‘จะกลับไปบอกคุณแม่นะ’ แล้วหลังเล็กนั่นก็หายวับไปจากสายตา

ฉันได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาและเอาหลังพิงเก้าอี้นี่นั่งอยู่

 

“เฮ้อ…”

 

“เฮ้ ได้ฟังเรื่องของเด็กคนนั้นแล้วเหรอ”

 

ในตอนนั้นเองจู่ ๆ โบลก็โผล่มาตอนไหนไม่รู้และส่งเสียงทักฉัน ใบหน้าของเขาดูเรียบเฉยอย่างน่าประหลาด ชวนให้รู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก

 

“อา…นายรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ”

 

“ก็นิดหน่อยล่ะนะ เพราะว่า…”

 

เขาพูดแบบนั้นแล้วเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะมองทอดออกไปทางประตู แต่ว่าแววตากลับเลื่อนลอยราวกับมองไปยังที่ไกลแสนไกล สีหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและหนักอึ้ง

 

“พ่อของเด็กคนนั้นคือเพื่อนสนิทฉันน่ะ”

 

คำตอบนั้นราวกับมีบางอย่างหล่นทับตัวฉัน แล้วอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ ๆ เพื่อนสนิทของโบลก็แสดงว่า…เขาตายแล้วงั้นเหรอ และสายตาเศร้าหมองของเขาก็เป็นคำตอบได้อย่างดี

 

“คนรู้จักที่ไปหาคือแม่ของเด็กคนนั้นนั่นแหละ…โชคดีหน่อยที่ฉันพอเก็บของส่วนหนึ่งของเขามาได้ ไม่งั้นบ้านนั้นคงไม่มีกินกันแน่”

 

“จริงด้วย…นี่ ถามหน่อยสิ ถ้านายไม่ได้เก็บเงินส่วนหนึ่งของเขามา…ครอบครัวนั้นจะเป็นยังไงเหรอ”

 

“…” เขาเงียบไป ราวกับกำลังพยายามเค้นเสียงให้ออกมา

 

“ก็จะไม่มีเงินสำหรับวันต่อไป และอดตายในสักวัน…นั่นคือจุดจบของทหารรับจ้างที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัวน่ะ ถ้ามีเพื่อนก็พอเก็บบางส่วนมาให้ได้บ้างแบบนี้ แต่ถ้าตันคนเดียวก็คง…ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว”

 

“…งั้นเหรอ”

 

คำตอบที่ออกมาจากปากของฉันนั้นสงบ…สงบจนน่าประหลาด งั้นเหรอ อา ทั้งที่ปากก็บอกว่ารู้ดีอยู่แล้วว่าการตายมันเป็นเรื่องปกติสำหรับทหารรับจ้าง แต่ว่า ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ฉันรู้สึกห่างหายจากสิ่งนั้นมานานมากจนเจอกับโบลก็จำมันได้อีกครั้ง

และหนนี้ฉันได้ตระหนักอีกอย่าง เหล่าคนที่ตายอย่างปกติในสงครามเองก็มีครอบครัวเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดที่ฉันรู้สึกร้อนรุ่มไปหมดที่สุดก็คือ การตายของพวกเขาส่งผลไปถึงครอบครัวของตัวเองด้วยนั่นเอง และไม่นาน…ทุกคนก็ต้องไปอยู่ด้วยกันแน่นอน

แบบนั้นไม่น่าเจ็บใจไปหน่อยงั้นเหรอ ถ้างั้น…เงินที่ได้จากการเสี่ยงชีวิตมันจะมีไปมีค่าอะไร ถ้าหาก…คนที่ต้องการจะหาให้ไม่แม้แต่จะได้เห็นด้วยซ้ำ

 

“เรื่องปกติมันเป็นแบบนั้นล่ะ เพราะงั้น…ฉันถึงอยากเลี่ยงมัน”

 

“งั้นเหรอ…”

 

สิ่งที่ออกมาจากปากมีอยู่เพียงคำเดียวเท่านั้นราวกับพูดอะไรไม่ออก โบลมองฉันด้วยสายตาที่รู้สึกสงสาร แต่ว่าในตอนนี้ฉันกลับมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมานอกเหนือจากความเศร้าใจ

คือความเข้าใจนั่นเอง งั้นเหรอ สิ่งที่ฉันคิดว่าปกติมาตลอดมันเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ช่วงนี้มีแต่เรื่องที่ไม่รู้เต็มไปหมด มันทั้งหนักหนาและเจิดจ้า ก่อนหน้านี้ฉันได้แต่ไหลไปเรื่อยเพื่อรอวันที่สัญญาจะเป็นจริง แต่แล้ว สัญญานั่นจะมาถึงเมื่อไหร่

และระหว่างนั้นฉันจะทำอะไร จะยังคงเป็นคนว่างเปล่าแบบนี้เพื่อไปอยู่เคียงข้างเคียร่างั้นเหรอ แต่ว่า…การได้รู้เรื่องราวที่แสนเจ็บปวดเหล่านี้มันทำให้ฉันมีบางอย่างเพิ่มขึ้นมาเหมือนกัน

งั้นเหรอ ฉันเอง…ก็กำลังตามหาเป้าหมายของชีวิตอยู่เหมือนกันสินะ และในตอนนี้ฉัน…ก็อาจจะเจอแล้วก็ได้ ต้องลองปรึกษาเคียร่า…อย่างด่วนเลย

 

ในคืนนั้น ฉันรีบเขียนจดหมายเพื่อส่งไปให้เคียร่าอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งความรู้สึกหลายอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในอก ทั้งอึดอัด เศร้า เสียใจ และดีใจ และไม่นานฉันก็ให้แฟลชไปส่งจดหมายด้วยสีหน้าสดใสอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน

ทำเอารู้สึกได้ถึงสายตาอันอบอุ่นมาจากอิกนิส…แต่ก็คงคิดไปเองแหละ ตัวอิกนิสเป็นมังกรไฟ อาการหนาวแบบนี้ก็คงทำให้อุ่นขึ้นมาล่ะมั้ง

เอาล่ะ เมื่อไหร่จะมีคำตอบจากเคียร่ามากันนะ…

 

—————————- ———————-

 

ค่ำคืนนี้แฟลชเร่งเร้าให้ฉันรีบอ่านจดหมายจากแฟร์ ท่าทีของเขาดูตื่นเต้นและสดใสจนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบอ่านจดหมายทันที

และเมื่อกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็วสีหน้าสงสัยของฉันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เป็นรอยยิ้มจางที่รู้สึกอุ่นใจ

 

“เจอแล้วสินะ…ดีจริง ๆ”

 

ในนั้นเขียนถึงเป้าหมายสิ่งที่แฟร์อยากจะทำอย่างแรงกล้า รู้สึกได้เลยว่าตอนที่เขียนเธอต้องดีใจจนเนื้อเต้นแน่ พอคิดถึงสภาพแบบนั้นแล้วก็เผลอหัวเราะออกมา น่ารักจังนะ

เอาล่ะ คงต้องให้คำแนะนำหน่อยสินะ เพราะเธออยากจะทำแต่ไม่รู้จะทำยังไงสินะ กับการที่เธออยากจะ

 

‘ช่วยทหารรับจ้างที่มีครอบครัว’

 

เป็นคำที่ดูไร้เดียงสา เจิดจ้า และเปล่งประกาย สมกับเป็นแฟร์ที่ฉันรู้จักเป็นที่สุด

 

 

 

 

 

 

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset