หลังจากสั่งงานคนชุดใหม่แล้วฉันก็ลากตัวเองให้กลับขึ้นไปนั่งบนอานของอิกนิสและเรียกทุกคนที่ไปทำงานมาประชุมกันทันที…ข้อตกลงแรกพวกเราตัดสินใจว่าส่วนรวมควรซื้ออะไรเพิ่มบ้าง อย่างเช่นเสบียงสำรองที่เราขนไปทั้งหมด ก็จะใช้เงินที่ได้ไปซื้อกันมาเอาไว้ก่อน
แล้วค่อยแบ่งแยกย่อยแต่ละคนให้เท่า ๆ กัน โชคดีที่เราได้เงินมาเยอะพอแม้จะแบ่งกันก็ยังถือว่าเยอะสำหรับคนหนึ่งอยู่ดี งานระดับประเทศนี่สุดยอดเลยแฮะ จ่ายหนักสุด ๆ
และเพราะเราได้ค่าตอบแทนมาค่อนข้างเยอะเลยตัดสินใจว่าจะพักกันสักพักหนึ่ง แล้วคนที่ปักหลักอยู่นี่จะสร้างของอำนวยความสะดวกอื่น ๆ และในระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น โบลที่น่าจะเข้มงวดที่สุดในกลุ่มก็พูดขึ้นมา
“ฉันไปพาลูกเมียมาที่นี่ดีไหมนะ”
นั่นทำให้พวกเราที่ประชุมกันอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่เงียบสงัด และหันไปจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ โบลจึงไอเล็กน้อยเพื่อไล่ความเขินอายของตนเอง ก่อนจะพูดต่อ
“ก็…ยังไงช่วงนี้พวกเราก็อยู่ที่นี่เป็นหลัก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็คงฝากให้ช่วยดูแลได้ง่ายขึ้น…แล้วก็นั่นไง จะได้ลดงานของแฟลชด้วย”
“คิดถึงลูกล่ะสิ”
ฉันยิ้มหยอกล้อเขาแล้วแซวเล่น แต่ก็เห็นด้วยแหละ ตอนนี้ทุกบ้านก็กระจัดกระจายไปทั่วแต่ช่วงนี้พวกเราอยู่ที่นี่…แต่ก็อาจจะได้กลายเป็นที่หลักไปแล้วล่ะมั้ง หลังจากโบลพูดแบบนั้นพวกคนที่มีลูกมีเมียก็เริ่มขบคิดกัน
ก่อนจะกลายเป็นว่าทุกคนตอนนี้จะกลับไปหาครอบครัว แล้วเดินทางกลับมาตั้งหลักปักฐานที่นี่ และก็เอาเงินที่แบ่งไปตอนแรกคืนมาส่วนหนึ่งเพื่อบอกว่าช่วยสร้างบ้านเอาไว้ให้ที พอเป็นแบบนั้นคนที่ยังไม่มีครอบครัวเองก็เอาด้วยเหมือนกัน ว่าจะสร้างบ้านของตัวเองเอาไว้ที่เกาะแห่งนี้
“ฉันเองก็เอาด้วยดีไหมนะ”
“ไม่ ๆ คฤหาสน์หลังนี้ก็เป็นของหัวหน้าไม่ใช่รึไง”
“อะ”
หลังจากโดนลูกน้องทักแบบนั้นทั่วทั้งที่ประชุมก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ฉันเองก็ยังอดทึ่งไม่ได้อยู่ดี ไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าวันหนึ่งจะได้มีคฤหาสน์เป็นของตัวเอง
แถมพอเอาเรื่องที่ว่าพวกเราจะปักถิ่นอยู่ที่นี่เป็นหลักแล้วพวกชาวบ้านก็ดันคึกอะไรไม่รู้ มาแต่งเติมคฤหาสน์ที่ตอนแรกก็ยังไม่เสร็จดีนักจนมันใหญ่โตกว่าเดิม อะไรเล่าก็แค่บ้านของฉันเองแท้ ๆ ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนี้เลย
แต่ก็เอาเถอะ ถ้าอยากทำก็ดีแล้วล่ะ และตอนนี้ก็ได้เวลาพัก!! ในเมื่อทุกคนไปหาครอบครัวตัวเองกันแล้วแฟลชก็ว่าง เพราะงั้น…
“ขอร้องล่ะ!! ช่วยส่งจดหมายให้เคียร่าหน่อยได้ไหม”
“กรร!”
เหมือนว่าแฟลชเองก็อยากจะไปหาเคียร่าเต็มแก่แล้วเช่นกัน นั่นสินะ เขาคงรู้ดีกว่าฉันว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และนั่นคงทำให้เป็นห่วงไม่แพ้กัน แย่ละ พอคิดขึ้นมาก็เริ่มกังวล หวังว่าเคียร่าในตอนนี้จะปลอดภัยนะ…
เนื้อหาที่เขียนไปล่าสุดนั้นคือถามสภาพด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ให้ฟัง และจดหมายตอบกลับของเคียร่าก็มาถึงอย่างรวดเร็ว อา คิดถึงความรู้สึกนี้จังที่จดหมายกลับมาเร็วขนาดนี้
เหมือนว่าเธอจะแค่ไข้ขึ้นเท่านั้นเอง เลยทำให้ฉันเผลอหัวเราะออกมาด้วยความโล่งใจ เพราะว่าดูท่าริเกลคงทำให้เรื่องวุ่นวายน่าดู พวกเพื่อนที่โรงเรียนของเคียร่าก็กังวลถึงขั้นจะโจมตีริเกลเลยทีเดียว แต่นั่นก็ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นห่วงเคียร่ามากจริง ๆ
แล้วเคียร่าก็เสริมมาอีกว่าถ้าแบบนี้ก็สร้างเมืองจริง ๆ จัง ๆ ไปเลยน่าจะดีกว่า ซึ่งถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจหรือว่าคิดไม่ออกก็ให้ปรึกษาเธอได้เสมอ และถึงฉันจะคิดว่าไม่อยากพึ่งพาเธอทุกอย่างนั้น เจ้าตัวก็ดักเอาไว้แล้ว…
‘ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียวหรอก บางอย่างมันเกินความสามารถเธอเกินไป ยอมรับแต่โดยดีว่าทำไม่ได้ แล้วขอความช่วยเหลือเถอะ นั่นเองก็เป็นสิ่งสำคัญของผู้นำนะ เพราะระลึกไว้เสมอนะ ว่าถ้าพลาดขึ้นมาคนที่ได้รับผลกระทบจะไม่ใช่แค่เธออีกแล้ว’
มันเหมือนกับคำด่าที่ว่าฉันมีความสามารถไม่พอ แต่ก็น่าประหลาดที่ไม่รู้สึกโกรธเลย เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ฉันรู้ สึกมาตลอดในหลายวันมานี้ ทุกอย่างมันเหมือนกับทางตันวิธีการที่จะดูแลต่อไปมันไม่มีอยู่ในหัวสมองของฉัน ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง หรือแม้แต่ทำอะไรด้วยซ้ำ
ฉันรู้ดีถึงสิ่งที่เคียร่าบอกมา มันเกินความสามารถฉันไปมากโข ไม่รู้ว่าในบริบทแบบนี้ควรจะออกคำสั่งยังไง ดังนั้นคำที่ว่า ‘ปรึกษาได้เสมอ’ ของเธอนั้นราวกับเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมาตลอด
แล้วฉันก็ละเลงเขียนสิ่งที่ฉันคิดไม่ออกและถึงทางตันเพื่อถามหาทางออกกับเคียร่าอย่างรวดเร็ว และในระหว่างที่เขียนจดหมายอยู่นั้นฉันก็มองออกไปด้านนอกอาคาร
ทะเลนี่สวยงามจริง ๆ …จริงสิ เขียนอันนี้ไปด้วยดีกว่า
———————- ——————-
“ฉันเหมือนกับทะเล…งั้นเหรอ”
ฉันที่นั่งอ่านจดหมายของแฟร์อยู่ในห้องนอนของตัวเองนั้นอ้าปากค้างทันทีเมื่อเห็นข้อความนั้น เป็นคนกว้างใหญ่เหมือนกับทะเลที่ไร้ซึ่งผืนดินปะปนอยู่…ไม่รู้ว่าในมุมของแฟร์นั้นชมหรือว่าอะไร แต่ว่า…ทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตานั้นถ้านึกดี ๆ แล้วก็ดูโดดเดี่ยว…
เมื่อลองดำดิ่งเข้าไปภายในจิตใจของฉันแล้วนั้นก็ว่างเปล่า เฉกเช่นการถลำลึกลงไปใต้ก้นสมุทรที่ไม่สิ้นสุด ไม่รู้ว่าแฟร์จะตีความได้ถึงขั้นไหน แต่ว่าฉัน…รู้ตัวเองดีว่าว่างเปล่าเหลือเกิน…
ในขณะที่แฟร์มีเป้าหมายระหว่างทางก่อนถึงวันในคำสัญญาของพวกเรา แต่ว่าฉันแม้จะมีเป้าหมายและคำสัญญาแต่ก็อดจะคิดไม่ได้ แล้วหลังจากนั้นล่ะ หลังจากได้กลายเป็นอัศวินและโบสถ์ให้การยอมรับการมีอยู่ของริเกล แล้วหลังจากนั้นเราควรทำอะไรต่อดี…
พอคิดแบบนั้นแล้วภายในอกนี้ก็รู้สึกกลวงโบ๋ขึ้นมา มีหลายสิ่งที่มองไปยังเหล่าเด็กรอบตัวที่เคยเจอมาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขึ้นมาซะเฉย ๆ
ริเกลเมื่อได้ยินเรื่องเมืองบาดาลก็อยากไปข้างนอก อยากเป็นอิสระ แฟร์เมื่อสูญเสียก็อยากแข็งแกร่งขึ้น และเมื่อเห็นความแข็งแกร่งของฉันกับริเกลก็อยากไล่ตามและสู้เคียงข้างกันขึ้นมา คลิฟเองพออ่านหนังสือโบราณก็อยากจดบันทึกแบบเดียวกันขึ้นมา…
ทุกคนสนุกสนานและตื่นเต้นกับสิ่งใหม่เสมอ เพราะสำหรับพวกเขาทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่รู้จัก ความรู้สึกของฉันในตอนนี้…เรียกว่าอิจฉารึเปล่านะ
“ฮะ ๆ ใช้ไม่ได้เลยนะ…”
กลายเป็นคนขี้อิจฉาไปซะแล้วงั้นเหรอ แต่ก็นะ…ฉันอิจฉาพวกเธอที่สนุกไปกับทุกสิ่งได้เหลือเกิน อิจฉาที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วเห็นทุกอย่างแปลกตาไปหมด อิจฉาที่ทุกคนสามารถตื่นเต้นได้…ที่ฉันไม่อาจรู้สึกได้
ถึงจะมีบางอย่างที่แปลกใหม่บ้างแต่ว่ามันก็ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนทุกคน ราวกับว่ามันเป็นสิ่งปกติที่คาดเดาได้ หลายสิ่งที่ใหม่สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับฉันก็ได้ แม้แต่พวกเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากเดเวียที่ล้ำหน้าจากตอนนี้ไปมาก สำหรับฉันมันก็ดูปกติ…
นี่สินะที่เราไม่ควรรีบโต…พอเริ่มโตคิดถึงความเป็นจริง ความรับผิดชอบ และหน้าที่ และพอเป็นแบบนั้นก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกแล้ว ทุกอย่างช่างว่างเปล่าเหมือนกับทะเล ถ้าหากกลับไปรู้สึกแบบเด็ก ๆ ได้ ฉันก็อยากที่จะมองหาฝันที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนาน มองเห็นชีวิตในอุดมคติ และหลังจากนั้น…
ฉันก็อยากจะกอดมันเอาไว้ให้แน่นที่สุด และเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยไม่ปล่อยมือจากอุดมคตินั้นเหลือเกิน
‘นั่นสินะ ฉันนี่ดูว่างเปล่าเหมือนกับทะเลเลย’
ฉันเขียนไปเพียงแค่นั้นเพราะว่าไม่อยากให้แฟร์ปวดหัวกับความคิดฟุ้งซ่านของฉัน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ตอบกลับมาอย่างร่าเริงกว่าปกติ เนื้อหาที่ยาวแปลกสำหรับจดหมายจากเธอนั้นทำให้น้ำตาของฉันไหลริน หัวในที่เต้นอย่างสงบเป็นจังหวะปกตินั้นเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย
แบบนี้ เรียกว่าตื่นเต้นรึเปล่านะ
———————— ———————-
“เหวอ ไม่ได้คิดเลยแฮะ”
ฉันเผลอพึมพำออกมาเมื่ออ่านจดหมายของเคียร่า ฉันคิดแค่ว่าเธอเหมือนทะเลที่ดูโดดเดี่ยว แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะมองว่าว่างเปล่า แต่ว่าว่างเปล่านี่หมายถึงอะไรกันนะ ท้องว่างเหรอ? เอ๊ะ นี่เธออดข้าวรึไงกัน? หรือเป็นไข้ขึ้นจนเบลอสมองว่าง?
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ และการที่เจ้าตัวจงใจบอกแค่นี้คงหวังให้เราไม่ต้องไปเข้าใจแหง ๆ อืมมม แล้วอีแบบนี้ควรจะถามใครดีนะ…
“ว่างเปล่าเหรอ…”
ฉันพึมพำออกมาแล้วขบคิดอย่างหนักโดยที่เท้าเดินวนไปทั่วไม่หยุดนิ่ง โดยมีอิกนิสเดินก้าวเท้าทีละก้าวตามหลังมา และทำหน้าปั้นยากไม่ต่างกัน โดยที่เราทั้งคู่ต่างไม่สนใจสายตาโดยรอบแม้แต่น้อย
“หัวหน้าเป็นอะไรเหรอคะ”
“เหวอ! ตกใจหมดเลย!”
ในตอนนี้วิเวียนก็เข้ามาทักโดยที่มือยังอุ้มลูกน้อยเอาไว้อยู่ สมกับที่เป็นคุณแม่มืออาชีพ อะ เป็นคำเปรียบเปรยนะ เพราะในกลุ่มชาวเมืองจะมีเด็กเล็กอยู่เยอะ เลยให้ร่วมกันเป็นกลุ่มที่ช่วยกันเลี้ยงดูลูก ให้เด็ก ๆ เล่นด้วยกัน สอนสิ่งจำเป็นพร้อมกัน ผลัดกันดูแลและทำงานต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งวิเวียนเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ว่านั่น
“กำลังคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ…นี่วิเวียน เธอคิดว่าคำอย่าง ‘เป็นคนว่างเปล่า’ นี่หมายถึงอะไรเหรอ”
“เป็นคนว่างเปล่า เหรอคะ…หมายถึงว่าไม่มีเป้าหมายอะไรรึเปล่า?”
เมื่อเธอตอบมาในเชิงคำถามกลับฉันก็ได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัย เธอจึงยิ้มอ่อนให้แล้วอธิบายขยายความต่อ
“คนที่ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ เอาตัวรอดไปวัน ๆ ไม่มีอะไรน่าสนุกหรือน่าตื่นเต้น ประมาณนั้นค่ะ”
เธอว่าอย่างนั้น เคียร่าไม่มีเป้าหมายงั้นเหรอ? เธอก็มีคำสัญญากับฉันแล้วก็เป้าหมายที่เป็นอัศวินนี่นา นั่นไม่ใช่เป้าหมายเหรอ? หรือว่าคิดไปไกลกว่านั้นกัน…ถ้าเคียร่าได้เป็นอัศวินแล้ว นั่นจะเป็นยังไงต่อ…
พอคิดแบบนี้ก็ถึงทางตันขึ้นมา เคียร่าไม่เคยบอกฉันถึงสิ่งที่อยากจะทำหลังเป็นอัศวิน นั่นอาจจะเป็นความหมายของคำว่า ‘ว่างเปล่าของเธอ’ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ดี
“ไม่มีอะไรน่าสนุกหรือตื่นเต้นงั้นเหรอ…”
ฉันนั่งทบทวนคำนั้นอีกรอบ ฉันไม่คิดว่าเคียร่าจะไม่เคยสนุกหรือตื่นเต้นเลย ไม่แน่การได้เข้าโรงเรียนอาจจะทำให้เธอเผลอลืมไปก็ได้ เพราะว่าฉันรู้ดี…เคียร่าที่ฉันเคยเจอนั้นสว่างไสวไม่ผิดแน่ ไม่รู้หรอกว่าภายในเธอจะเป็นกว้างใหญ่ขนาดไหน หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ว่า…ฉันไม่คิดว่ารอยยิ้มนั่นจะเป็นเรื่องโกหก ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้ ในตอนนั้นเธอทั้งสนุกและตื่นเต้น เหมือนกับฉันไม่ผิดแน่ ถ้าหากเธอลืมฉันก็จะเป็นคนดึงมันกลับมาให้เธอเอง และเพราะแบบนั้น…ฉันจะต้องปกป้องความรู้สึกไร้เดียงสาที่มุ่งหน้าไปยังอุดมคติแบบนี้
เพื่อให้เคียร่าไม่ลืมเช่นเดียวกัน และถึงเธอจะลืมแบบครั้งนี้อีกไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ฉันก็จะดึงเธอกลับมาสู่ความสดใสอีกครั้ง
และฉันก็เขียนย้อนวันวานตั้งแต่วันที่พวกเราเจอกันครั้งแรก ปีต่อ ๆ มาที่ฉันรบเร้าให้เธอออกเดินทาง ปีที่พวกเราได้ดวลฝีมือ และ ปีที่พวกเราให้คำมั่นสัญญากัน ในตอนที่เขียนพร้อมกับนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นในหัวใจของฉันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้น และฉันหวังว่า
เคียร่าก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน