ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 42: ภาค 2 ตอนที่ 19 ข่าวที่ไม่น่าฟัง (มีประกาศท้ายตอนเล็กน้อย)

 หลังจากวันต้อนรับจบลง เมืองก็กลับสู่สภาพปกติที่เป็นทุกวันแม้จะมีโบสถ์ใหญ่ตั้งอยู่ก็ตาม เรื่องของบาทหลวงมอร์เทนที่มาประจำการอยู่ที่นี่เราได้ยินมาทีหลัง ได้ข่าวมาว่าเขาเป็นคนที่ออกนอกลู่นอกทางและไม่ถูกใจพวกคนมีอำนาจภายในโบสถ์เท่าไหร่นัก

แต่เจ้าตัวก็ยังคงรักษาตำแหน่งของตัวเองได้เพราะการจะขับไล่นักบวชสักคนนั้นต้องผ่านการยินยอมจากพระสันตะปาปาก่อน และแม้เรื่องการกำจัดเขาออกไปจะส่งต่อไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายได้แต่ก็ถูกปัดลงไปเมื่อถึงการตัดสินใจสุดท้าย

 

“พระสันตะปาปานี่…”

 

“เรียกง่าย ๆ ก็เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในศาสนารองลงมาจากมังกรพิภพล่ะนะ ว่ากันว่าเป็นตัวแทนของเทพ”

 

“โอ้…”

 

ฉันที่มีความรู้เรื่องระบบภายในของศาสนาน้อยมากนั้น เมื่อได้ยินชื่อตำแหน่งต่าง ๆ ของพวกเขาก็งงไปหมด ยังดีที่มอร์เทนอธิบายแบบย่อจนเข้าใจง่ายแถมยังอธิบายเพิ่มเมื่อถามออกไป

 

“แต่คนระดับนั้นทำไมถึงมาช่วยนายล่ะ”

 

“ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่เคยคุยกับเขาตรง ๆ เช่นกัน”

 

“อ้าว ไหงงั้นเล่า”

 

มอร์เทนเองก็ยักไหล่ให้กับคำถามนั้นแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งภายในโบสถ์ เห็นว่าจะพาไปดูของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากทางศาสนจักรที่ให้มาเพื่อรักษาความสัมพันธ์

แต่แทนที่จะเดินเข้าไปด้านในตัวอาคารเจ้าตัวกลับพาออกนอกโบสถ์ และตรงไปทางฟาร์มเลี้ยงมังกร

 

“เจ้าหนูพวกนี้แหละของขวัญ หวังว่าจะพอใจนะ”

 

สิ่งที่เขาพาฉันมาดูนั่นก็คือมังกรรูปร่างยืนด้วยสองขาหลัง แขนสองข้างเล็กและมีเล็บน้อยกว่า มีขนฟูปกคลุมทั่วทั้งตัวและหลากสีสัน ถึงส่วนใหญ่จะเป็นสีฟ้าก็เถอะ

พวกมันมีอยู่ราว 15 ตัวอยู่ในฟาร์มที่ทางนี้สร้างขึ้นเอาไว้เลี้ยงเฟโลกัส พวกนี้ถ้าจำไม่ผิด…

 

“ที่พวกนักบวชชอบใช้เวลาเดินทางกันน่ะเหรอ”

 

“ใช่ เจ้าพวกนี้คือมังกรปฐพี เมโรฟีล ถึงพวกมันจะไม่ได้แข็งแรงมากแต่ก็เร็วสุด ๆ เลยล่ะ ทางโบสถ์ถึงได้ชอบเอามาใช้งานกัน แถมยังเลี้ยงง่ายเชื่องกับคนอยู่ได้ทุกสภาพแวดล้อม เหมาะกับเป็นของขวัญดีเนอะว่าไหม”

 

“ก็จริง”

 

ฉันยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เคียร่าเคยบอกไว้ว่าในตอนนี้สิ่งที่พวกเราได้เปรียบคือการขนส่ง อย่างการส่งจดหมายของแฟลชนั้นรวดเร็วและใช้งานได้ดี เคยผ่านการลองใช้มาแล้วทั้งตอนที่คุยกับเคียร่ากับช่วงแรกที่สร้างกลุ่ม

แต่ว่าพวกเขาก็มีข้อจำกัด เพราะว่ามีขนาดเล็กสิ่งที่ส่งได้ส่วนใหญ่จึงเป็นของชิ้นเล็กเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเมโรฟีลนี่ล่ะก็…

 

“โอ้ ดูเหมือนเจ้ากำลังจะสนุกอยู่มิน้อยเลยนะ”

 

ฮ่า ๆ มอร์เทนที่ยืนอยู่ข้างฉันหัวเราะร่วนออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งยื่นมือมาลูบหัวฉัน ทำให้เผลอสะดุ้งเล็กน้อยและขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางปัดมือของเขาออกอย่างไม่พอใจ

 

“อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นเด็กนะ”

 

“อ้าว ทำไมจะมิได้เล่า ก็เจ้าเป็นเด็กมิใช่รึ”

 

“นั่นมัน-”

 

ว่าแล้วเขาก็ยิ้มมุมปากอย่างร่าเริงด้วยสีหน้ากวนเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในฟาร์มสำหรับเลี้ยงมังกร พวกเมโรฟีลที่สังเกตเห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ และพากันอ้อนเขาอย่างมีคสามสุข

 

“ฮะ ๆ เพราะข้ามักจะมาเล่นกับพวกมังกรในโบสถ์หลักบ่อย ๆ พวกมันจึงติดข้าแจเลยล่ะ”

 

“ก็ไม่แปลกใจล่ะนะ พวกมังกรมันน่ารักนี่นะ”

 

ว่าแล้วฉันก็วางมือลงบนตัวของอิกนิสที่เดินตามมาตลอด พร้อมทั้งลูบขนที่นุ่มฟูของเขาจนมีเสียงร้องด้วยความสุขออกมา พลางเอาหัวมาดุลฉันเพื่ออ้อนมากกว่านี้

นั่นทำให้สายตาของบาทหลวงตรงหน้าอ่อนโยนขึ้น

 

“แต่ถึงแบบนั้นศาสนาวารุนที่รักมังกรนักกลับมองว่าข้าประหลาด แล้วเรียกข้าว่าเป็นคนไม่รู้จักโต ราวกับเป็นเด็ก”

 

“อะไรกัน งั้นก็น่าจะเข้าใจสิว่าโดนทำเหมือนกับเป็นเด็กมันน่าหงุดหงิดขนาดไหน คราวหลังก็อย่าทำใส่คนอื่นสิ”

 

พอได้ยิ่งแบบนั้นฉันก็แสยะยิ้มมุมปากราวกับผู้ชนะ และสวนเขากลับไปแบบนั้นเพื่อเป็นการเอาคืนเมื่อครู่ แต่มอร์เทนกลับหัวเราะลั่นออกมา

 

“ฮ่า ๆ ๆ หงุดหงิดเหรอ? เสียใจนะเจ้าหนู ข้าไม่ได้รู้สึกแบบนั้นหรอกนะ”

 

“ห๋า พูดอะไร—” ยังไม่มันพูดจบดี นิ้วชี้ของเขาก็เข้ามาแตะริมฝีปากของฉันเบา ๆ เพื่อบอกให้เงียบ แล้วพูดต่อ

 

“สำหรับข้า คำว่า ‘เด็ก’ นั่นเป็นคำชม พอมีคนพูดเช่นนั้น ข้าดีใจนะ”

 

“…หมายความว่ายังไง?”

 

“นี่ก็นานแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้ทำอะไรเหมาะกับเป็นบาทหลวง พวกเจ้านี่ทำให้ข้าสนุกมากจริง ๆ ดังนั้นข้าจะเป็นบาทหลวงที่ดีให้เอง—”

 

“อย่ามาเบี่ยงประเด็นสิเฮ้ย!!”

 

ราวกับว่าความรู้สึกไม่พอใจมันระเบิดออก ถึงแม้จะไม่ได้เกลียดหรืออะไรกับเขามากจนอยากไล่ออกไป แต่ก็รู้สึกหัวเสียไม่น้อยที่โดนปั่นหัวแบบนี้

เขาหยุดพูดทำสีหน้าบึ้งตึงราวกับกำลังเคร่งเครียด ทำเอาเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งคงเพราะไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนั้นมาก่อน…มอร์เทนถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วใช้มือจับคางเอาไว้ราวกับกำลังครุ่นคิด

ก่อนจะเหลือตามามองพร้อมรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกวนปนอยู่

 

“ที่ว่าเป็นคำชมก็หมายความว่าความเป็น ‘เด็ก’ นั้นเป็นเรื่องที่ดี ลองคิดเอาสิ”

 

“…ห๋า”

 

“ไม่ยากนักหรอกเพราะว่าคำตอบน่ะ…”

 

เขาเว้นช่วงไว้แบบนั้นพร้อมทั้งลดมือที่จับคางอยู่ลง ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมาหาฉันอย่างเชื่องช้า บรรยากาศเขาต่างไปจากทุกทีจนรู้สึกน่าเลื่อมใสอย่างประหลาด เพราะเป็นนักบวชเหรอ?

และกว่าฉันจะรู้ตัว นิ้วชี้ของเขาก็แตะมาที่กลางหน้าผากของฉัน พร้อมทั้งคำพูดต่อไป

 

“อยู่ในตัวเจ้าอยู่แล้ว…ก็เพราะเจ้าเป็นเด็กมิใช่รึ ฮ่า ๆ”

 

ว่าแล้วเขาก็บอกว่าแยกกันเท่านี้ โดยยังปล่อยให้ฉันไม่เข้าใจต่อไป อะไรของบาทหลวงคนนี้กันพูดอะไรเข้าใจยากจริง ๆ

 

หลังจากนั้นฉันก็กลับมาทำงานอยู่ในคฤหาสน์ของตัวเอง ตอนนี้ปัญหาจากปัจจัยภายนอกก็ค่อนข้างสบายใจได้ในระดับหนึ่ง ทางกิลนักผจญภัยพอผ่านไปได้สักพักก็เงียบไปแล้ว ส่วนเรื่องศาสนจักรก็ไม่มีปัญหา ฟัวกราพอเห็นว่ามีโบสถ์แล้วก็เบาลงพอสมควร

จากของขวัญที่ได้มาพร้อมมอร์เทนนั้นก็ทำให้ฉันคิดอะไรบางอย่างได้ แต่ว่า…

 

“คนไม่พอแหงเลย”

 

ตอนนี้คนของเราน้อยมาก พอหลายอย่างลงตัวมากขึ้นหลายคนก็เลือกจะไม่ทำงานของทหารรับจ้าง เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ตอนนี้มีแค่กลุ่มทหารรับจ้างเดิมที่ยังคงจับอาวุธตามคำสั่งฉันอยู่ ที่เหลือคงไม่ออกไปสู้…

สภาพแบบนี้อย่าว่าแต่ออกไปสู้เลย แค่แบ่งงานให้รักษาความสงบก็เต็มกลืนแล้ว ที่ฉันอยากทำถึงจะไม่ได้สู้แบบเต็มรูปแบบ แต่มันก็คงต้องใช้แรงในระดับหนึ่ง

 

“เฮ้อ เอาไงดีนะ”

 

ฉันพ้นลมหายใจออกมาลากยาวแล้วทิ้งตัวลงบนโต๊ะตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย คิดเข้าสิตัวฉัน เหมือนกับว่าลืมอะไรไปสักอย่าง…แล้วในตอนนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

“หัวหน้า เรื่องคาบเรียนช่วงบ่าย—”

 

‘ตึง!’

 

“นั่นแหละ!!”

 

จริงด้วย สิ่งที่ฉันลืมไปอยู่ใกล้แค่นี้เอง!!

 

‐——————- —————–

 

ดูท่าเมืองของแฟร์จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว การสร้างโบสถ์เองก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญไปสู่อนาคต บาทหลวงที่ชื่อมอร์เทนดูท่าว่าจะเป็นคนดีพอควรเลย กำลังไปได้สวยเลยนะ แถมแผนการแก้ปัญหาที่แฟร์คิดมาก็ไม่เลวเลย มีแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ฉันช่วยเพิ่มเติมให้ แต่โดยรวมก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร

ฉันเองหลังจากเรียนมาได้หนึ่งปีก็เริ่มปรับตัวเข้าสังคมของขุนนางได้แล้ว โดยรวมหลายคนยอมรับให้ฉันเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา การเป็นเพื่อนแบบเปิดเผยกับพวกเจ้าชายเองก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก…เว้นซะแต่ข่าวลือน่ะนะ

 

“เพราะแบบนั้นแหละค่ะ บางทีถึงสงบใจไม่ได้เลย”

 

“อย่างนี้นี่เอง ดิฉันพอเข้าใจเรื่องโดยรวมแล้วค่ะ”

 

ฉันที่ถอนหายใจออกมาหลังจากเล่าเรื่องกวนใจให้มารีนฟัง เธอก็ยกพัดขึ้นมาปิดบังใบหน้าครึ่งล่างของตนเอาไว้แล้วขมวดคิ้ว เรื่องแบบนี้จะคิดหนักก็ไม่แปลกหรอกนะ ก็มัน…

 

“แล้วคุณเคียร่ารู้สึกยังไงเหรอคะ…เป็นอย่างข่าวลือรึเปล่า”

 

“เอ๋ ฉันเหรอคะ ไม่ ๆ ไม่มีทางแน่นอนค่ะ อีกฝ่ายเป็นเจ้าชายเลยนะคะ เป็นคนรักอะไรนั่นไม่มีทางหรอกค่ะ”

 

เมื่อโดนถามถึงเกี่ยวกับเนื้อหาในข่าวลือก็รีบบอกปัดทันทีโดยไม่จำเป็นต้องคิดให้ยาก ช่วงนี้ชอบมีคนเห็นฉันกับเจ้าชายแล้วคิดไปไกลอย่างที่ว่าเป็นคนรักกัน ให้ตายสิ เรื่องอื้อฉาวนี่น่ากลัวจริง ๆ จินตนาการล้ำกันเหลือเกิน

ที่สนิทกับเจ้าชายได้ก็มีแค่เรื่องเรียน ความรู้ ริเกล ทักษะการต่อสู้ แล้วก็ริเกลเท่านั้นแหละ…ดูท่าส่วนมากจะเป็นเรื่องของริเกลแฮะ แต่ช่างมันเถอะ สำหรับฉันเจ้าชายก็คงเหมือนน้องขี้สงสัย ที่เห็นอะไรแปลกตาก็สนใจไปหมด

ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น แถมความรักเนี่ย…ออกจะเป็นเรื่องไกลตัวไปหน่อยมั้ง อย่างกับตำนานเมืองแหนะ ว่าแล้วฉันก็ขำแห้งในลำคอ

 

“งั้นหรือคะ…ตามจริงหากความรู้สึกของพวกท่านเป็นของจริง สถานะก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”

 

“อืม…ท่านเองก็เอากับเขาด้วยเหรอคะ แทนที่จะเป็นฉัน ท่านมารีนจะไม่เหมาะสมกว่าเหรอคะ”

 

“…ถ้าว่าจากฐานะทางบ้านก็ใช่ค่ะ—”

 

“ไม่ใช่หรอก ในฐานะ ‘มารีน’ กับ ‘แวร์มิล’ ต่างหากค่ะ”

 

เพราะคำพูดที่เหมือนยกฐานะทางการเมืองมากลบเกลื่อน ฉันจึงชิงพูดขัดไปแบบนั้น จนจากดวงตาที่ขมวดเข้าหากันแน่น ก็ม้วนหากันและหลบไปทางอื่น เขินเหรอ? เอาเถอะ

พอเห็นแบบนั้นฉันก็ยิ้มอ่อนออกมาอย่างดีใจ ราวกับเป็นพี่สาวที่กำลังเอ็นดูน้องสาวในห้วงความรักไม่มีผิด แต่ก็นะ ในสายตาของฉันพวกเขาดูเหมือนเป็นเด็กที่น่าเอ็นดูซะมากกว่า

วัยรุ่นนี่ดีจังนะ~

 

“จะว่าไป ช่วงนี้พวกท่านดูเคร่งเครียดกันนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”

 

“…จริงสิ คุณคงไม่รู้เรื่องนี้สินะคะ แต่ว่าที่จริงแล้วช่วงนี้น่ะ…”

 

เหมือนว่าจะเป็นเรื่องความลับสำคัญเธอจึงให้เอาหูเข้าไปใกล้เพื่อนกระซิบ ซึ่งหาได้ยากสำหรับมารีนผู้เคร่งเรื่องมารยาท แต่พอได้ยินเนื้อหาจากปากเธอก็เข้าใจว่าทำไมต้องกระซิบ พร้อมทั้งเปิดตากว้างด้วยความตกตะลึง

 

“เริ่มมีปัญหากับฟัวกรา…เหรอ”

 

——————— ——————-

 

ในระหว่างที่กำลังรวบรวมคนและเตรียมการสำหรับแผนต่อไป ข่าวจากภายนอกที่ไหลเวียนเข้ามาในที่แห่งนี้ก็ชวนให้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันคือผลสรุปการค้นคว้าของเดเวียที่เปิดเผยสู่สาธารณะ

แร่บนตัวอัลละวาเป็นหินเวท…ถึงแม้จะค่อนข้างเบาบาง มากแต่หินเวทก็คือหินเวท แร่ที่มีมูลค่าทางเวทมนตร์สูง นานปีกว่าจะเจอสักหน แต่ว่าสิ่งนั้นกลับถูกเฉลยว่าหาได้ชัดเจนอยู่บนตัวของมังกร

แต่ที่น่าตกใจไม่ใช่แค่ข่าวนั้น…ฟาเรเรียซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกอัลละวา ประเทศที่เรียกได้ว่าอ่อนแอที่สุดในทวีป แถมยังเป็นประเทศบ้านเกิดของเคียร่า…กำลังโดนประเทศมหาอำนาจอย่างฟัวกราเพ่งเล็ง

นี่มัน…

 

“ชักน่ากังวลขึ้นมาแล้วสิ”

 

—————– ——————

รูปมังกร เมโรฟีล

(เครดิตผู้ออกแบบ : Bloodberries Szz )

(มุมนักเขียน)

เอื้อ แอบอู้ไปอีกแล้วค่ะ พอดีมีไข้ขึ้นนิดหน่อย~ แต่ข้อแก้ตัวของเราช่างมันไปก่อน เรามีเรื่องสำคัญอยากจะบอกค่ะ…

เรารู้สึกว่าภาคพิเศษนี่มันเกินภาคพิเศษเกินไปค่อนข้างมากแล้วค่ะ (ฮา) ยาวกว่าที่คิดไว้ แถมเนื้อหาสำคัญก็ยังแน่น หลุดธีมคำว่า ‘ภาคพิเศษ คั่นเวลา’ ไปเยอะเกิ๊น

ดังนั้นเราคิดว่าจะเปลี่ยนค่ะ ให้มันกลายเป็นภาคหลักไปซะเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ ภาคพิเศษนี้เผลอยืดเนื้อหาไปเยอะมาก ;-; เริ่มแอบรู้สึกว่าจะเบื่อกันรึเปล่านะไปแวบนึงเลยค่ะ (ฮา) ที่จริงคิดว่าจะรวบเนื้อหาให้ไม่เกิน 10 ตอนแท้ๆ มันมาขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ~

แต่เอาเถอะ มันเกิดขึ้นไปแล้วนี่เนอะ ;-; นั่นแหละค่ะ หลังจากนี้ “ภาคพิเศษ” จะกลายเป็น “ภาค 2” ไปโดยปริยายนะคะ~ ต้องขออภัยในความผิดพลาดของเราจริงๆ ค่ะ แถมที่เปลี่ยนเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นความสบายใจของเราด้วยแหละค่ะ

พอดีแอบกังวลแล้วปรึกษากับเพื่อนว่าแบบนี้มันจะดีเหรอ เป็นภาคพิเศษแท้ๆ แต่กลับลากยาวแล้วไม่ขึ้นภาคหลักซะที ก็เลยได้คำแนะนำทำนองว่า “ก็ให้มันเป็นภาคหลักซะสิ” ก็เลยตัดสินใจแบบนี้แหละค่ะ จะได้เขียนต่อไปแบบไม่รู้สึกอึดด้วย~

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ >< ขอทิ้งท้ายไว้ด้วยสปอยรูปของแฟร์ (ที่ยังไม่เสร็จ) ค่ะ!!

(เครดิตผู้ออกแบบ : Okumura )

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset