การเตรียมพร้อมสำหรับประกาศเอกราชเป็นไปด้วยดี โดยที่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับประเทศฟัวกรา ริมิร่ากับกิลพ่อค้านั้นลงนามยอมรับว่าที่นี่มีเอกราชของตัวเอง ส่วนทางศาสนาวารุนนั้นต้องการให้ไปพูดคุยหารืออย่างเป็นทางการ หลังจบการประชุมถ้าไม่ทีอะไรผิดพลาดเราก็จะเป็นเอกราชทันที
ดังนั้นตอนนี้ฉันกับโบลจึงกำลังเตรียมตัวเดินทาง โดยมีอิกนิสที่ดูตื่นเต้นอยู่ด้วย นั่นสินะ ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนกับเขาสักพักหนึ่งเลย คงจะดีใจล่ะมั้ง
“แต่จะไปกันแค่นี้จริง ๆ เหรอ”
“อา โบสถ์ใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศฟัวกรา ถ้าเราเอาคนไปเยอะเกินจะเด่นเกินไป แล้วก็อีกอย่าง…ฉันมีคนคอยอยู่ที่โน่นแล้วล่ะ”
แล้วฉันก็อธิบายให้ฟังว่าเราจะนั่งเรือไปขึ้นเมืองหนึ่ง ซึ่งที่นั่นฉันได้สร้าง ‘สาขาย่อย’ เอาไว้แล้วที่ วาเรน โดยมีทหารรับจ้างที่อยู่ในกลุ่มเราประจำอยู่ พอไปถึงที่นั่นโบสถ์จะส่งรถม้ามารับ แล้วเราจะเดินทางกันต่อไปจนถึงเมือง โดกรา โดยให้ลูกน้องที่นั่นคอยคุ้มกัน…ฉันสร้างกลุ่มเพื่อรับงานคุ้มกันแท้ ๆ ไหงกลายเป็นว่าต้องคุ้มกันตัวเองกันนะ
ฉันได้แต่ยิ้มอย่างเหนื่อยใจเมื่อคิดแบบนั้น ตามจริงฉันคิดว่าถ้าพวกโจรปล้นก็ยังคงพอจัดการได้แน่ แต่มอร์เทนก็บอกว่าให้ระวังเอาไว้ดีกว่า กรณีเลวร้ายที่สุดคือข่าวหลุดไปถึงหูของประเทศฟัวกรา มีโอกาสที่จะโดนลอบสังหารได้
กังวลมากเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้ถึงขั้นนั้นซะหน่อย แต่ถึงแบบนั้นก็ทำตามคำแนะนำของเขาแต่โดยดี และตอนนี้ฉันกับโบลก็นั่งเรือโดยสารของกลุ่มทหารรับจ้างฟิว ที่จะรับคนโดยสารคุ้มครองเรือ พร้อมกับจอดตามท่าเรือต่าง ๆ วนทั่วทั้งทวีป
นี่เองก็เป็นอย่างหนึ่งที่เอามาปรับใช้จากสิ่งที่มี เพราะเคียร่าบอกว่าจุดที่ฉันอยู่มันได้เปรียบเรื่องการเดินทาง แล้วเธอมักจะดึงเอาสิ่งที่ฉันมีให้ใช้ประโยชน์สูงสุด หนนี้เองฉันก็ลองคิดด้วยตัวเองบ้าง อย่างแรกเลยคือการเดินทางทางเรือที่ตอนไปกู้ภัยก็เห็นแล้วว่ามันสะดวกมาก
จากนั้นพอมีทหารพอประมาณก็จะสร้างสาขาย่อยไว้ตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ เมืองหลวง หรือหมู่บ้านทั่วไป แล้วพอคนลงจากโดยสารทางเรือก็จะมีการเดินทางด้วยรถม้าต่อกระจายไปตามปลายทางของลูกค้า จากการทดลองการเดินทางด้วยเรือนี่ก็มีคนให้ความสนใจเยอะมากเลยล่ะ เหมือนประเทศเรากลายเป็นจุดกลางในการเดินทางทั่วทวีป…
“คิดอะไรยุ่งยากอยู่รึไง”
“เฮ้! ทำอะไรของนายเนี่ย!”
ในตอนที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยอยู่บนดาดฟ้าเรือนั่นเอง โบลก็เดินมาจากด้านหลังแล้วเอาหมวกมาวางบนหัว ทำให้ฉันที่ใจลอยนั้นสะดุ้งโหยงพลางหันไปตวาดด้วยความไม่พอใจ แต่เจ้าตัวก็ทำเพียงหัวเราะร่า
“ฮ่า ๆ หัวหน้าพูดเองไม่ใช่เรอะ ว่าหลังจากนี้อาจจะเครียดนิดหน่อย ถ้าพอมีเวลาพักก็ทำใจให้สบายน่ะ”
“ก็…น่าจะเคยพูดแบบนั้นไปสินะ”
“ใช่ ดังนั้นเธอเองก็ทำตัวตามสบายบ้างเถอะ”
นั่นสินะ เป็นคนบอกเองแท้ ๆ แต่กลับทำเองไม่ได้ มีหวังได้เป็นผู้นำที่ไม่ได้ความแน่เลย หลังจากนั้นฉันก็เดินไปหาอิกนิสที่ต้องอยู่ในที่พักของพวกมังกร ทันทีที่เขาเห็นฉันก็ลุกพรวดขึ้นและส่งเสียงร้องเรียกทันที
“กรร!!”
“ฮะ ๆ นั้นสินะ…เหมือนไม่ได้มาอยู่กับนายแบบนี้สักพักเลยเนอะ”
ฉันเดินเข้าไปนั่งลงตรงด้านข้างกายของเขา แล้วพูดแบบนั้นพลางลูบขนบนลำตัว อิกนิสก็ส่ายหางไปมาอย่างรุนแรงด้วยความดีใจ พร้อมทั้งพยักหน้าอย่างมีความสุข…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่อิกนิสดูไม่หวาดกลัวเวลาอยู่บนเรือแล้ว ไม่รู้ทำไมการได้อยู่กับเขาแค่สองคนแบบนี้นั้นรู้สึกน่าคิดถึงอย่างประหลาด…ช่วงนี้คงมีเวลาให้เขาน้อยเกินไปแล้วล่ะมั้ง
“ขอโทษนะ…”
ฉันพึมพำออกมาเช่นนั้นเบา ๆ แล้วเอนตัวเอาหัวพิงลงไปบนลำตัวของเขา ก่อนจะจมดิ่งลงสู่โลกแห่งความฝัน
—————————– ——————–
หลังจากใช้เวลาเดินทางไม่นานมากนัก พวกเราก็มาถึงเมืองวาเรน แล้วมุ่งหน้าไปยังสาขาย่อยของกลุ่มทหารรับจ้างฟิว ที่นั่นฉันส่งคนมาประจำการอยู่จำนวนหนึ่ง แล้วก็เปิดรับทหารรับจ้างใกล้เคียงเอาไว้ด้วย เพื่อให้มีคนเพียงพอต่อการรับงาน
แต่พอมาถึงไม่นานก็เจองานหนักเข้าให้เลย
“…คนจากชนเผ่าทราโก้กำลังเตรียมทัพบุกฟัวกรา เจ้าเมืองเรโทก้าจึงกำลังรวบรวมทหาร และหนึ่งในนั้นคือกลุ่มพวกเรางั้นเหรอ…แถมยังขอจำนวนเยอะมากด้วย”
“จำนวนนั่น…พวกเราที่นี่มีแบบพอดีเลยสินะ”
“อา อย่างกับรู้อยู่แล้วเลย”
เป็นคำร้องที่รู้สึกว่าไม่น่าวางใจสุด ๆ อย่างกับว่าจงใจกับเวลาประมาณนี้อย่างพอดิบพอดี ตอนนี้ฉันกับโบลกำลังอยู่ในห้องทำงานสำหรับคนดูแล และอ่านคำขอร้องจากเจ้าเมืองที่จะเรียกว่าเป็นทางการก็ยังได้ ถ้าไม่ตอบรับก็คงดูมีพิรุธ แต่จะให้ตอบรับก็เป็นทางนั้นที่ดูมีพิรุธ
โบลจึงหันหน้ามาทางฉัน และยิงคำถามอย่างง่ายดาย
“จะรับงานไหมล่ะ”
“…ก็คงต้องรับล่ะนะ”
“ห๋า! ดูยังไงนั่นก็กับดักชัด ๆ ไม่ใช่เรอะ!”
พอฉันบอกการตัดสินใจของตัวเองไป โบลก็ตะคอกเสียงดังออกมาพร้อมทั้งทุบโต๊ะทันที ทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเพราะว่าของหล่นตามแรงสั่นสะเทือนกระจายไปหมด ก่อนจะทำสีหน้าเอือมระอาใส่เขา
“ถ้าไม่อยากให้รับ แล้วจะถามทำไมเล่า”
“ก็ไม่คิดว่าเธอจะรับงานไงเล่า แบบนี้มันมีพิรุธไม่ใช่รึไง”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า…อีกอย่าง พวกเราก็เก็บเรื่องนี้กับฟัวกราไว้แล้วหนิ อาจจะแค่บังเอิญก็ได้”
ใช่ คิดอีกมุมหนึ่งก็อาจจะแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ เพราะว่าเรื่องนี้เราทำกันแบบเงียบ ๆ การติดต่อกับศาสนจักรก็ใช้แฟลช ซึ่งไม่เคยมีใครรู้ว่าพวกเราใช้ แถมการทำงานของแฟลชก็ถือได้ว่าเงียบและรวดเร็ว คงยากที่จะจับได้ว่าพวกเราติดต่อกัน ดังนั้นถ้าเรากังวลแล้วไม่รับงานคงจะดูน่าสงสัยยิ่งกว่า
เมื่ออธิบายเพิ่มไปโบลแม้จะยังทำหน้าไม่สบายใจแต่ก็ยอมฟังแต่โดยดี
“คนที่จะนำกลุ่มของพวกเราได้มีแค่นายล่ะนะโบล ขอฝากด้วยล่ะ”
“อา เข้าใจแล้ว…อิกนิสล่ะ”
“…”
เมื่อโดนถามแบบนั้นฉันก็หลบตาเล็กน้อยแล้วครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจได้ในไม่นานนัก
“อิกนิสแข็งแกร่ง ให้ไปกับพวกนายที่อยู่ในสนามรบน่าจะดีกว่า ส่วนฉันแค่ตัวคนเดียวต่อให้โดนกลุ่มโจรดัก ก็เหลือเฟืออยู่แล้ว”
“…เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ”
“อา พวกนายต่างหาก”
หลังจากตกลงกันอย่างว่าง่ายแล้วพวกเราก็กระจายคำสั่งรวมกลุ่มทันทีเพื่อเตรียมตัวเดินทาง คนที่อยู่นี่มีจำนวนไม่เยอะมากแค่ราว ๆ 50 กว่าคน แต่ว่าทุกคนใส่ชุดเกราะผ้าที่ค่อนข้างแน่นหนา พร้อมกับอาวุธหอกยาวเลยหัวไปหน่อย ซึ่งได้รับการฝึกมาอย่างดีผสมเข้ากับการสั่งการอย่างเป็นระเบียบ ก็เป็นกลุ่มคนที่น่ากลัวในสนามรบ
ส่วนฉันนั้นก็มีเวลาทั้งวันในการพักผ่อนสำหรับเดินทางต่อ แม้ว่าจะพกอาวุธหรือสัมภาระอะไรตามปกติ แต่ว่าชุดที่ใส่นั้นออกจากดูทางการกว่าเดิมหน่อย แต่ก็ใส่เกราะเอาไว้ใต้ผ้านิดหน่อยให้พอไม่อึดอัด แต่ก็คงไม่ชินแล้วทำให้เหนื่อยได้แน่ ดังนั้นวันนี้ต้องออมแรงไว้
ในขณะที่กำลังนั่งนิ่งไม่ทำงานอย่างหาได้ยากในช่วงนี้อยู่นั้นเอง ฉันก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ได้จากเคียร่าขึ้นมาดูลายวงเวทที่ถูกปักเอาไว้ แล้วเอามาปิดหน้าครึ่งล่างของตัวเองเอาไว้พลางหลับตาลง แม้ว่ากลิ่นผลไม้ที่ติดมาตอนแรกจะจางหายไปหมดแล้ว แต่ผ้าผืนนี้ก็ไม่ต่างจากตัวแทนของเคียร่า พอทำแบบนี้แล้วก็รู้สึกสงบใจได้มากขึ้นเยอะเลย
‘ความประมาทจะพาไปสู่หายนะ ดังนั้นห้ามประมาทเด็ดขาดนะ’
จู่ ๆ ก็นึกถึงข้อความหนึ่งที่เคียร่าบอกเอาไว้ในจดหมายล่าสุด จากนั้นจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความประมาทงั้นเหรอ…ฉันในตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่านะ อาจจะใช่ก็ได้ แต่ก็…แบบนี้ก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าปฏิเสธงานจากขุนนางของประเทศไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้ แต่ไหนแต่ไร ฉันเองก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดา แค่บังเอิญมีลูกน้องเยอะเท่านั้นเอง ปกติก็เดินทางคนเดียวมาตลอดก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
แต่ว่าถ้าสมมุติ…ฉันไปไม่ทันงานประชุม หรือไปไม่ได้เหรอ…
“คงต้องกันเหนียวเอาไว้สักหน่อยนั่นแหละ”
จากนั้น ฉันก็วางแผนอะไรบางอย่างเงียบ ๆ เพียงคนเดียวจนถึงหัวค่ำ และเรียกแฟลชมาเป็นคนเดียวที่รู้แผนการของฉัน แม้ว่าเจ้าตัวจะทำสีหน้าเศร้าหรือไม่อยากทำแค่ไหน ฉันก็ฝากฝังไว้ที่เขาเพียงคนเดียวไม่บอกคนอื่น ทั้งโบลหรือแม้กระทั่ง…อิกนิสก็ตาม
———————————————- ———————————-
ในที่สุดแฟร์ก็บอกฉันว่าเธอจะทำอะไร นั่นทำให้ฉันรู้สึกตกใจมาก จนรู้สึกว่าดีจริง ๆ ที่ได้ทำคัมภีร์เวทไปให้ แต่ว่าเธอเลือกจะบอกฉันในจังหวะสุดท้ายของแผน ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ระหว่าง วิ่งหัวหมุนกับการเตรียมการจนไม่มีเวลาบอก หรือ จงใจเก็บไว้บอกฉันทีหลังกันแน่
กว่าเขาจะบอกฉันแผนการก็เหลือแค่เดินทางเข้าไปในฟัวกราเท่านั้น และอีกไม่กี่วันเจ้าตัวก็คงขึ้นเรือ จากวันนี้ที่เวลาผ่านมาได้สักพักก็น่าจะไปถึงท่าเรือของเมืองในฟัวกราแล้วล่ะมั้ง แต่ว่า…เธอกำลังประมาทอยู่ ความกังวลเลยยิ่งเป็นทวีคูณในใจของฉัน
เธอจะต้องไม่เข้าใจแน่…ถึงสถานะของตัวเองว่าอันตรายแค่ไหน ยิ่งความจริงที่ว่าตอนนี้เธออยู่ในถิ่นศัตรูก็ยังไม่เปลี่ยน แต่ว่าแฟร์เป็นแบบนั้น เธอไม่ค่อยจะระวังตัวเลยแม้จะมีคนเตือนแล้วก็ตาม เพราะงั้นจึงได้แต่หวังว่าในสถานการณ์คับขัน เธอจะใช้สิ่งที่ฉันมอบไป
“ขอให้ได้ผลทีเถอะ…”
ฉันพึมพำออกมาแบบนั้นพลางประสานมือเข้าภาวนาให้เป็นเช่นนั้น คัมภีร์เวทมนตร์เป็นสิ่งหลงเหลือจากโบราณ ไม่มีใครการันตีได้ว่ามันจะใช้ได้จริง แม้แต่ที่ฉันทำให้แฟร์ไปถึงจะตั้งใจให้ไม่มีจุดผิดพลาดแล้วแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะการสร้างมันยากมากจริง ๆ
การจะสร้างคัมภีร์เวทมนตร์นั้นต้องวาดหรือสลักวงแหวนเวทลงไปบนวัตถุ ส่วนมากจะนิยมเป็นกระดาษ แต่ว่าเพราะวาดง่ายมันจึงเสียหายได้ง่ายเช่นกัน การวาดวงเวทต้องสมบูรณ์ทุกประการไม่มีผิดหรือบิดเบี้ยวแม้แต่น้อย
แถมในการสลักรูปวงเวทลงไปนั้น จะต้องทำพร้อมกับการร่ายคาถาที่อยากจะใช้ด้วย ถึงแม้จะฟังดูเต็มไปด้วยข้อเสียยิ่งกว่าข้อดีก็ตาม แต่มันก็มีประโยชน์ในแบบของมันอยู่ นั่นก็คือตอนใช้
การใช้คัมภีร์เวทนั้นแทบจะเรียกว่าใครก็สามารถใช้ได้ แค่ทำตามที่ตั้งเอาไว้ในวงเวทก็พอ อย่างเช่นใส่เวทมนตร์เข้าไปพร้อมทั้งพูดประโยคที่ตั้งเอาไว้ แค่นี้ก็สามารถใช้เวทระดับยากได้อย่างง่ายดาย
“แต่ถึงแบบนั้นก็…เป็นห่วงจังนะ”
ฉันขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกไม่สบายใจพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งมุมนี้สามารถมองเห็นดวงจันทร์ยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นต่างโลกที่ไม่ได้มีสิ่งปลูกสร้างเยอะหรือเปล่านะ ดวงดาวบนฟ้าจึงได้สว่างสไหวอย่างชัดเจน
พอมองไปที่ดวงจันทร์ก็ทำให้ได้รู้ยิ่งกว่าเดิมว่าพระอาทิตย์นั้นสว่างขนาดไหน เหมือนกับแฟร์…ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ดูร่าเริงและแจ่มใสตลอด เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่ฉันได้เจอกับเธอ ในตอนนี้แม้จะได้เชื่อมต่อกันผ่านเพียงแค่จดหมายฉบับเล็ก ๆ ก็ยังคงรู้สึกได้อย่างดี
ว่าแฟร์นั้นยังคงเป็นแสงสว่างที่ส่องประกายในความมืดเสมอมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังร้อนรุ่มไปด้วยอุดมคติอันแรงกล้า ที่ช่วยผลักดันให้เธอไปสู่เป้าหมายโดยไม่หวั่นเกรง
แต่ฉันที่เป็นคนมองดูอยู่นั้นหวาดหวั่นเหลือเกิน ตัวเธอที่ทั้งสว่างและร้อนระอุดั่งดวงอาทิตย์นั้น ฉันเองก็ได้แต่หวัง…
หวังว่าเธอจะไม่แผดเผาตัวเอง
————————————- —————————-
(มุมนักเขียน)
ตอนนี้ก็ยังคงเปิดให้เข้าไปโหวดเรื่องการลงนิยายอยู่นะคะ ปิดในวันที่ 18 หรือก็คือวันเสาร์ที่จะถึงนี้ค่ะ ไปตามลิ๊งนี้ได้เลย~
https://forms.gle/xAnzoCc6fzcdKvRh6