ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 61: ภาค 3 ตอนที่ 6 มุมมองที่แตกต่าง

หลังจากที่การต่อสู้กับจ่าฝูงจบลง การดำเนินการสร้างทางเดินทะลุภูเขาก็เป็นไปอย่างราบรื่น ตอนนี้ก็มีคนที่ทำงานเกี่ยวกับเหมืองแร่ และสังเกตการณ์สภาพแวดล้อม เคียร่าจึงเสนอเพิ่มเติมว่าควรสังเกตการณ์พฤติกรรมของมังกรอัลละวาด้วย ว่าถ้าเราทำอะไรไปพวกนั้นจะปรับตัวอยู่ร่วมได้ไหม เพื่อเป็นการอยู่ร่วมกันโดยไม่มีปัญหา และลดปัญหาการโดนจู่โจมได้ด้วย

และเธอก็ประเดิมโดยการตั้งชื่อให้พวกมังกร ตามลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจน

 

“เอ เริ่มจากตัวนั้นเป็นจ่าฝูงสินะ…ถึงตัวจะเล็กกว่าอุลหน่อยก็เถอะ แต่ดวงตาดูตื่นตัวกว่าคนอื่น กระชับกระเชง แถมยังมีนิสัยชอบมองไปรอบ ๆ ที่สำคัญยังมีแร่เป็นสีแดง…รูบี้แล้วกัน!”

 

สุดท้ายก็ตั้งชื่อตามสีง่าย ๆ เลยนี่นา เอาเถอะ ยังไงก็ทำขึ้นมาเพื่อให้แยกมังกรแต่ละตัวออกง่ายนี่นา เอาให้ชื่อง่ายแบบนี้ก็คงดีแล้วแหละ…มั้ง?

 

‘มนุษย์คนนั้นหมายถึงอะไรน่ะ’

 

‘อ้อ เธอกำลังตั้งชื่อให้พวกนายน่ะ พวกมนุษย์จะได้แยกพวกนายออก แล้วสังเกตการณ์กระทำเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้’

 

‘เห๋ งั้นเหรอ คำว่า ‘รูบี้’ เนี่ย หมายถึงฉัน?’

 

‘ใช่ รูบี้เป็นชื่อของอัญมณีสีแดงน่ะ เหมือนบนตัวนายไง’

 

รูบี้ที่นั่งพับตัวอยู่บนพื้นนั้นเหลือบตามองไปที่หลัง ซึ่งมีแร่สีแดงงอกอยู่ แม้จะมีรอยแหว่งและแตกไปบ้างจากการต่อสู้แต่ก็ยังคงสวยงามอยู่ดี

จะว่าไปแล้วรู้สึกแปลกดีเหมือนกันแฮะ เมื่อกี้รูบี้ยังดูอารมณ์เสียแล้วก็โวยวายขนาดนั้นแท้ ๆ แต่หลังการต่อสู้ก็เอาแต่นั่งสงบ พลางเลียรอยแผลที่ดีขึ้นจากเดิมเพราะเวทรักษาของเคียร่า อยู่ที่ริมปากทางเข้าแบบนี้

ถ้ำนี้มีขนาดใหญ่มากพอที่จะให้มังกรอัลละวาเดินเข้าพร้อมกันได้มากถึงสามตัว และความสูงก็อย่างที่เห็นในการต่อสู้เมื่อกี้ มันสูงมากพอที่ฉันจะบินพร้อมทั้งดึงมังกรอัลละวาที่ยืนสองขาให้ลอยเหนือพื้นได้ แต่มันก็ยังไม่ถล่มลงมา เหมือนว่าต่อให้ขุดหรือขยายกว่านี้ก็ไม่ถล่มลงมา สุดยอดเลยแฮะ

 

‘พวกมนุษย์ที่เดินเข้าออกกันเยอะ ๆ นี่คืออะไรน่ะ’

 

รูบี้เป็นมังกรอัลละวาเพียงตัวเดียวที่ยังปรากฏตัวให้เห็นอย่างเด่นชัด จนสร้างความตึงเครียดให้พวกทหารและขุนนางที่เดินเข้าออกที่แห่งนี้ นั่นสินะ ในฐานะจ่าฝูงเขาก็คงต้องการจะรู้ทุกความเปลี่ยนแปลงในถิ่นตัวเอง

แต่ถึงกระนั้นการรับรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พวกมนุษย์ทำนั้นถือว่ามีน้อยมาก ช่วยไม่ได้นะ ฉันจะเป็นคนคอยบอกต่อเอง!

 

‘ตอนนี้พวกนั้นกำลังมาเช็กเส้นทางเดินน่ะ แล้วก็พอลึกเข้าไปจนถึงทางตัน เราจะขุดออกเพื่อเปิดทางเชื่อมไปทะเล…หมายถึง อีกฝั่งหนึ่งของภูเขาน่ะ’

 

‘โฮ่’

 

เขาส่งเสียงออกมาแค่นั้นก่อนจะดันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะก้าวเท้าหนักของตัวเองตรงเข้าไปลึกภายในถ้ำ แม้ว่าจะกะทันหันจนคนอื่นหวาดกลัวกัน แต่รูบี้ก็ยังคงไม่สนใจแล้วตรงไปเรื่อย ๆ โดยมีฉันที่รีบลุกเดินตามไป

คะ- คงไม่ทำอะไรแปลก ๆ อย่างโจมตีเอาตอนนี้หรอกเนอะ ไม่สิ ทำแบบนั้นก็ไม่แปลกสักหน่อย นี่มันบ้านเขานี่นา!!

แต่ในขณะที่ฉันกำลังกระวนกระวายอยู่นั้นพวกเราก็เดินลึกเข้ามาจนถึงทางตัน เพียงครู่หนึ่งพวกเคียร่าก็ตามมาทันด้วยร่างที่เหงื่อท่วม อะ นั่นสินะ ทางยาวขนาดนี้คงมากพอทำให้เหนื่อยสำหรับมนุษย์ล่ะนะ ฉันยังรู้สึกว่าไม่นานมากเลยแท้ ๆ

 

‘จะขุดตรงนี้ต่อกันสินะ’

 

‘ก็…น่าจะเป็นแบบนั้นแหละนะ’

 

ถึงจะได้คำตอบที่ต้องการ แต่เจ้าตัวก็ดันทำตัวน่าหงุดหงิดโดยไม่ตอบอะไรกลับมา แล้วเอาแต่มองอยู่เงียบ ๆ จนฉันเริ่มรู้สึกเบื่อ ทำไมพวกมังกรถึงชอบทำตัวเอื่อยเฉื่อยกันจังนะ หรือว่ากำลังคิดอยู่?

จะว่าไป…ฉันที่ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงในบรรยากาศแบบนี้ จึงได้ปรายตามองไปเรื่อยจนหยุดอยู่ที่เขาที่อยู่หลังหัวของพวกรูบี้ จะว่าไป…ในการต่อสู้ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะใช้เขาเลยนี่นา เพราะทรงมันอยู่ไปทางด้านหลังแบบนั้น ต่อให้ก้มหัววิ่งเข้ามาก็ใช้เป็นหัวชน ไม่ใช่เขา ถ้างั้นเขานั่นเอาไว้ทำอะไรล่ะ?

ทันทีที่ฉันคิดได้แบบนั้น ก็กางปีกออกไม่มากนัก เพื่อขวางทางไม่ให้พวกเคียร่าเดินเข้ามาใกล้ เพราะถ้าเป็นแบบที่ฉันคิดจริง…

 

‘ตึง!’

 

รูบี้ที่เอาหัวไว้ใกล้กับทางตันซึ่งเป็นกำแพงหินนั้น โยกหัวขึ้นแล้วสะบัดลงจนปลายแหลมเจาะเข้าไปในหิน คล้ายกับตะขอจนรอบบริเวณที่โดนเจาะนั้นเกิดรอยร้าว ก่อนที่เจ้าตัวจะเอียงคอเล็กน้อยจนรอยร้าวแผ่ขยายกว้างกว่าเดิม และดึงออกมาทำให้หินพังลงมาส่วนหนึ่ง

โว้ว เอางี้เลยเหรอ? ว้าว เขาหลังหัวนั่นเอาไว้ใช้งี้นี่เอง สารพัดประโยชน์เกินไปแล้วปะพวกนายอะ?

 

‘ปกติพวกเราจะทำรังกันแบบนี้ ถ้าแค่ขุดทางตรงไปถึงอีกฝั่งล่ะก็ ไม่นานก็ถึง’

 

เอ๋ นี่เอาจริงเหรอเนี่ย จะช่วยถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะแรงสั่นสะเทือนเมื่อกี้เลยทำให้มังกรตัวอื่นออกมา ก่อนที่จะระดมช่วยกันขุดจนเป็นทางเดินต่อออกไป แล้วพวกเราก็ได้รู้ในทันทีว่า เส้นทางเดินนี้แต่เดิมคงเป็นฝีมือของมังกรอัลละวาอยู่แล้ว

พวกฉันกับเคียร่าก็ได้แต่มองภาพที่ฝูงมังกรอัลละวา ผลัดกันขุดทางเดินต่อไปอย่างตกตะลึง ส่วนรูบี้นั้นก็ทำแค่ช่วงเริ่มแต่ตอนนี้ก็มายืนดูอยู่รอบนอกกับพวกเรา

 

‘จากที่เจอกันตอนแรก นึกว่านายจะเป็นคนหัวแข็งกว่านี้ซะอีก’

 

ใช่ คาแรคเตอร์แรกเริ่มที่ฉันเห็นเขาคือ วัยรุ่นอารมณ์ร้อนที่ออกไปทางเกรี้ยวกราดหน่อย แต่ตอนนี้ถึงจะดูตื่นตัวแต่ก็ยังใจเย็นอยู่ตลอด แล้วเอาแต่เฝ้ามองไม่ก็ถามอย่างเดียว

 

‘…เมื่อก่อนก็ใช่ จนเมื่อหลายปีก่อนได้เจอกับหัวหน้า’

 

‘อุลเหรอ?’

 

ฉันถามออกไปแบบนั้นพร้อมทั้งเหลือบตามองลงมายังแร่อุลที่ยังคงใส่อยู่ตลอด เขาเองก็มองตามพร้อมทั้งพยักหน้า ก่อนจะเงยหน้าเหม่อมองไปไกลแม้ว่าจะมีเพียงหินรายล้อม

 

‘เคยโดนตักเตือนมานิดหน่อยน่ะ ว่าเวลาแบบนี้ควรสงบและสังเกตรอบตัวบ้าง ในตอนแรกฉันก็ไม่ฟังหรอกเพราะคิดว่าหัวหน้าก็แค่ไอ้แก่ธรรมดา แถมยังหัวโบราณบูชาตัวตนอย่างมังกรพิภพอีก เลยเมินไปน่ะ’

 

อืม พอนึกออกเลยล่ะ ก็ไม่แปลกหรอกที่จะคิดแบบนั้น แถมยังอยู่ในฝูงที่นับถือเขาเป็นหัวหน้าอีก คนที่มีความคิดไปทางวัยรุ่นแบบเขาก็คงคิดแบบนั้นล่ะนะ

 

‘แต่ถึงจะดุแล้วก็บ่นขนาดไหน ในตอนที่บอกจ่าฝูงคนต่อไป ดันเรียกฉันซะได้ แต่เพราะแบบนั้นแหละ เลยได้ใกล้ชิดกับหัวหน้ามากขึ้น แถมยังโดนมองด้วยสายตาที่แปลกไปจากเดิมด้วย บางสายตาก็น่าดีใจ เสียใจ อึดอัด ไปจนถึงหวาดกลัว สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่สถานะที่หนักหนาจนอยากจะหนีเลยล่ะ’

 

‘แต่ก็ไม่หนีสินะ เพราะตอนนี้นายก็เป็นจ่าฝูงอยู่นี่นา’

 

แต่ว่า รูบี้กลับส่ายหน้า

 

‘หนีไปแล้วล่ะ แต่ฉันก็กลับมา…ด้วยตัวเอง หัวหน้าไม่แม้แต่จะออกไปตามหาฉันด้วยซ้ำ ราวกับรู้อยู่แล้ว ว่าสุดท้ายฉันจะกลับมา’

 

‘…เกิดอะไรขึ้นน่ะ?’

 

‘ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก เพราะว่านิสัยของฉันเลยไปมีเรื่องกับพวกมนุษย์เข้า…สุดท้ายเลยโดนโจมตีกลับจนสะบักสะบอมกลับมาที่รังนั่นแหละ หลังจากนั้นเลยยอมหัวอ่อนลงแล้วรับฟังคำสอนของหัวหน้า…เลยได้เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง รวมถึงเพราะฉันเป็นคนแบบนี้ เป็นคนที่ทั้งนิสัยและความคิดต่างจากหัวหน้า เขาเลยเลือกให้ฉันมาเป็นจ่าฝูงคนถัดไป’

 

เอ๋ เป็นงั้นเองเหรอ แต่ก็ถูกแล้วแหละนะ…ถ้าอารมณ์ร้อนแล้วก็หัวแข็งขนาดนั้น แค่มีใครมากวนเข้านิดหน่อยคงอาละวาดใส่แน่ และถ้าเป็นแบบนั้นชาวบ้านก็คงไม่อยู่เฉยแล้วโต้กลับ มันเป็นธรรมดาของโลกใบนี้ล่ะนะ แต่ว่าน่าแปลกแฮะ

 

‘โดนขนาดนั้นก็ยังช่วยพวกมนุษย์เนอะ’

 

‘หึ ก็เป็นเพราะหัวหน้าอีกนั่นแหละ’

 

แค่เห็นสายตาและน้ำเสียงที่ดูสดใสเวลาพูดถึงอุลแล้วก็รู้ได้ทันทีแหละนะ ว่านับถือเขามากขนาดไหน คงเป็นช่วงเวลาแสนล้ำค่าสำหรับเขาสินะ ที่ได้อยู่ร่วมกับอุล

จนรู้สึกว่า…

 

‘น่าอิจฉานิดหน่อยนะ’

 

เมื่อฉันพูดแบบนั้นเขาก็เบิกตากว้างแล้วหันมามองฉัน นี่ฉัน พูดอะไรออกไปกันนะ จึงทำได้แค่หลบตาไปทางอื่นแล้วยกเท้าขึ้นมาเขี่ยแร่อุลเล่น ฉันเองก็คง อยากที่จะได้มีช่วงเวลาเรียนรู้กับอุลเหมือนกัน เวลาที่พวกเราได้รู้จักและพูดคุยกันช่างน้อยนิด ถ้าหาก…ได้รู้จักกันไวกว่านั้นสักหน่อยก็คงดี

เหมือนว่ารูบี้จะเข้าใจสิ่งที่ฉันรู้สึกอยู่ เจ้าตัวจึงทำแค่พ่นลมหายใจออกมาจากจมูกโดยไม่รู้ความรู้สึกของเขา

 

‘มังกรพิภพก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เขาลือกันนี่หว่า’

 

‘ก็แน่ล่ะ ที่พวกนายรู้จักน่ะคือพ่อของฉัน ไม่ใช่ฉันซะหน่อย’

 

‘…’

 

พอพูดออกไปแบบนั้น พวกเราก็กลับมาเงียบกันอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงสั่นสะเทือนของกลุ่มมังกรอัลละวาที่ยังคงเจาะทางเดินอย่างขยันขันแข็ง และพวกเคียร่าที่วิ่งเต้นประสานงานและพูดคุยถึงแผนการในขณะเดินไปทั่วถ้ำ

 

‘ขอโทษแล้วกันนะ ที่ไปตัดสินเธอแค่ว่าเป็นมังกรพิภพ’

 

‘ไม่เป็นไรหรอก อยู่กับพวกมนุษย์ก็เป็นงั้นกันเกือบหมดแหละ ชินแล้วล่ะ’

 

หรือว่าเอาเข้าจริงแล้ว ที่ฉันแสดงความไม่พอใจกับรูบี้ก็คงเป็นเพราะพาลล่ะมั้ง? เพราะเขาเป็นหนึ่งในคนที่มองฉันแบบนั้น ต่างกันตรงเพราะเจ้าตัวเป็นมังกรเลยสื่อสารกันได้ ไม่เหมือนพวกมนุษย์ที่ต่อให้จะพยายามแย้งอะไร พวกเขาก็คงมองฉันว่าเป็น ‘มังกรพิภพ’ อยู่ดี ไม่ใช่ ‘ริเกล’

จะว่าไป มนุษย์ที่เรียกฉันว่าริเกลก็คงมีนับคนได้ล่ะนะ มีเคียร่า แฟร์ พวกคนในบ้านของดาริก เจ้าชายแล้วก็หัวหน้าของเคียร่า ที่เหลือก็มีภาพจำฉันแค่ว่าเป็นมังกรพิภพเท่านั้น

สุดท้ายแล้วทั้งฉันทั้งเคียร่า แม้จะมาจุดนี้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง แต่เราทั้งคู่ก็ไม่เคยถูกมองมาที่ตัวตนของเราเองกันสักคน

พูดงั้นแล้วก็เศร้าแบบแปลก ๆ ดีแฮะ

 

‘…แต่ว่าเธอ ก็โชคดีนะ ที่อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้’

 

‘สงสัยมาสักพักแล้วล่ะ นายไม่เกลียดมนุษย์เหรอ? ทั้ง ๆ ที่เคยเกือบโดนฆ่าแท้ ๆ’

 

‘ไม่หรอก อย่างที่บอกไปว่าเป็นเพราะหัวหน้าบอก มนุษย์น่ะอ่อนแอ และเพราะแบบนั้นจึงได้แข็งแกร่ง เพราะว่าหาหนทางที่ตัวเองจะได้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เมื่อก่อนหัวหน้าเคยพูดเอาไว้ว่า วันหนึ่ง มนุษย์จะครองโลกนี้โดยสมบูรณ์ หากอะไรที่ไม่สามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับพวกนั้นได้ ก็จะถูกทำลาย’

 

…เข้าใจเลยล่ะ เพราะตอนนี้ถึงจะดูย้อนยุคก็จริง แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปก็คงใกล้เคียงกับโลกที่ฉันเคยอยู่ และถ้าเป็นแบบนั้นก็จะจริงตามที่เขาพูด ราวกับว่ารู้อนาคตที่อยู่ด้านหน้า

 

‘นั่นสินะ ฉันเข้าใจคำพูดนั้นนะ แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องที่อีกยาวนานล่ะนะ ไม่เคยคิดเรื่องที่ไกลขนาดนั้นเลย’

 

‘ไม่เป็นไรหรอก ที่ฉันคิดแบบนี้ เพราะว่าเป็นจ่าฝูงไงล่ะ ฉันต้องปกป้องเจ้าพวกนั้น’

 

…เพราะแบบนั้นถึงได้ยินดีช่วยเหลือสินะ เพื่อความยั่งยืนของเผ่าตัวเองในระยะยาว มันคงเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับฉันล่ะมั้ง เรื่องของอนาคตเนี่ยคิดอะไรไม่ออกหรอก สิ่งที่ฉันทำได้ก็มีแค่จดจ่ออยู่กับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และก็รู้สึกดีด้วยที่ได้ทำแบบนี้

แต่สงสัยจังนะ ในมุมมองของคนที่ต้องดูแลและปกครองคนอื่นอย่างรูบี้ แฟร์ หรือแม้แต่เคียร่า จะมีมุมมองที่ต่างออกไปแบบไหนกันนะ? แล้วในสักวัน ฉันจะได้เห็นมุมมองเดียวกับทุกคนรึเปล่านะ

 

“เจอทางออกแล้ว!!”

 

คนงานที่มีหน้าที่สอดส่องความคืบหน้าการเจาะทางของมังกรอัลละวาตะโกนออกมาแบบนั้น ทำให้พวกเคียร่าหันขวับไปก่อนจะออกวิ่งไปทันที ฉันเองก็รีบลุกขึ้นเหมือนกัน โดยรอบนี้ไม่ลืมที่จะเรียกให้เคียร่าขึ้นมาบนหลังก่อนแล้ว

 

“อ๊ะ ขอบใจนะริเกล…ให้เจ้าชายกับราชาขึ้นมาด้วยได้ไหม?”

 

เอ๋ จะให้คนอื่นขี่หลังเหรอ เอาไงดีนะ…ถ้าตามหน้าที่แล้วก็ควรล่ะนะ เพราะว่าเคียร่าก็เป็นองครักษ์ แต่ก็ไม่อยากให้มีคนอื่นขึ้นมาบนหลัง อืมมม

 

‘ให้เพิ่มแค่ 2 คนนะ’

 

“โอ้ ขอบใจนะ!”

 

ฉันบ่นแบบนั้นแล้วก้มตัวให้คนอื่นขึ้นมาบนหลัง และสุดท้ายก็ดันขึ้นมาเพิ่มอีก 3 คนจนได้ แหงล่ะนะถึงจะสื่อสารกันได้แต่ถ้ารายละเอียดยิบย่อยแบบนั้นคงไม่ล่ะนะ

เอาเถอะ บนหลังฉันตอนนี้ก็จะมี เคียร่า เจ้าชาย ราชา แล้วก็โอเรล ไอ้คนสุดท้ายนี่แหละที่ไม่สบอารมณ์ที่สุดแล้ว เพราะถ้าขึ้นมาขี่บนหลังฉันก็จะใกล้เคียร่ามากขึ้นน่ะสิ!! เจ้าชายยังพออนุโลมได้เพราะเจ้าตัวคิดกับเคียร่าแค่เพื่อนแล้ว แต่ไอ้หมอนี่ไม่!!

ฮึ่มมม หงุดหงิด!!

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset