ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 63: ภาค 3 ตอนที่ 8 งานที่แสนกดดัน

ทางเชื่อมออกไปสู่ทะเลนั้นได้พวกมังกรอัลละวาช่วยเอาไว้เลยทุ่นแรงได้มาก แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องปรับปรุงเส้นทางให้ขนส่งได้ง่ายอยู่ดี ตอนนี้ภายในถ้ำจึงเต็มไปด้วยคนงานที่ขนเศษหินออก เนื่องจากว่าเมื่อวานริเกลเพิ่งผ่านศึกหนักมาเลยบอกให้พักอยู่ที่คฤหาสน์ ถึงเจ้าตัวจะโวยวายหน่อยก็เถอะแต่ก็ยอมจนได้

ก็นะ ช่วงนี้ก็ใช้งานเด็กคนนั้นซะเยอะเลย ปล่อยให้พักสักหน่อยน่าจะดีกว่า แถมวันนี้ยังไม่มีอะไรมากด้วย แค่มาตรวจดูความคืบหน้านิดหน่อยในช่วงเช้า พอสายก็กลับไปรายงานและเข้าร่วมประชุมกับพวกราชา และหัวหน้าที่เพิ่งเดินทางมาถึงด้วย เพื่อวางแผนต่อไปและถ้าไม่ติดขัดอะไรอาจจะพาราชากลับไปที่เมืองหลวงในช่วงบ่ายเลย

 

“โอ้ โอเรลนี่นา อรุณสวัสดิ์!”

 

“อะ- คะ เคียร่า!? อรุณสวัสดิ์!”

 

ในระหว่างที่กำลังเดินสังเกตการณ์ไปทั่วก็เจอเข้ากับโอเรล ซึ่งเป็นมือขวาของเจ้าชายซึ่งเป็นคนคุมกองทัพหลักในขณะนี้ เขากำลังมองไปในทางเดินโดยเขียนบางอย่างอยู่ในมือ แต่เมื่อถูกฉันทักเข้าไปก็สะดุ้งโหยงและหันมามองทางนี้อย่างลนลาน

 

“มาทำอะไรแต่เช้าเหรอ”

 

“เอ๋ อา…เปล่าหรอก แค่ว่าสุดยอดเลยนะ ที่คิดอะไรแบบนี้ได้”

 

“อ้อ มาสังเกตการณ์นี่เอง”

 

ฉันพูดแบบนั้นพลางยิ้มออกมาแล้วใช้มือไขว้หลังตัวเองไว้ พลางก้าวเท้าเดินต่อพร้อมกับถามว่า ‘ไปด้วยกันไหม?’ ไหน ๆ ก็บังเอิญมาสังเกตการณ์เหมือนกันแล้ว สุดท้ายก็ต้องไปเข้างานประชุมด้วยกันอีก ไปด้วยกันแล้วพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็คงดีไม่น้อย

เขาที่เมื่อกี้ยังดูตกใจอยู่เลยนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี ก่อนจะตอบกลับมาว่า ‘เอาสิ!’ แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังมาจนมาเดินอยู่ข้างกัน

 

“นี่ เคียร่าคิดว่าหลังเปิดทางไปทะเลแล้วจะเอาไงต่อเหรอ”

 

“อืม…นั่นสินะ คงแนะนำให้ราชาบุกเลยน่ะ อย่างน้อยก็ยึดเมืองตรงชายแดนของฟัวกราเอาไว้”

 

เมื่อฉันพูดออกไปแบบนั้น โอเรลก็ไม่ปิดบังสายตาแห่งความสงสัยเอาไว้เลย ก็คงไม่แปลกหรอก เพราะว่าสิ่งที่ฉันเสนอมันสวนทางกับที่เคยพูดเอาไว้

 

“ฉันว่า ถ้าจะบุกเราควรเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ก่อนนะ ถึงจะเจาะทางติดทะเลแล้วก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ทันที แถมกองทัพของฟัวกราก็ไม่ใช่เล่น ๆ ด้วย ถึงจะแค่นิดเดียว ฉันก็เคยเห็นมาบ้าง”

 

“ตอนที่นายวิ่งวุ่นไปมาสองประเทศสินะ นั่นก็จริงแหละถึงการเจาะทะเลจะช่วยเรื่องเสบียงได้ แต่ว่ากองทัพเราก็ยังสู้ไม่ไหวหรอก”

 

“ถ้างั้น-”

 

“แต่ว่าถ้าเราไม่รีบชิงบุกตอนนี้ เราจะหาโอกาสหลุดจากสถานะตรงนี้ไม่ได้ ตอนนี้เรายังได้เปรียบอยู่เพราะพวกนั้นยังประมาทเราว่าไม่มีเสบียง ดังนั้นถ้าบุกตอนนี้ ต่อให้มีข่าวหลุดออกไปก็คงเปลี่ยนแผนรับมือไม่ทันหรอก”

 

ใช่แล้ว ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าข้อมูลต่าง ๆ ในประเทศของพวกเราจะไม่หลุดออกไป เพราะขนาดหน่วยข่าวกรองก็ยังหาวิธีสืบข้อมูลจากนอกประเทศแม้ว่าจะโดนปิดประเทศได้เลย ดังนั้นอีกฝ่ายจะทำแบบนั้นได้ก็ไม่เห็นแปลก

แต่ว่าถึงรู้ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ทันที กองทัพของฟัวกราเตรียมการมาไกลจนแค่ออกปากก็เดินหน้ามาที่ฟาเรเรีย ถ้าจะเปลี่ยนแผนก็ต้องใช้เวลานานยิ่งกว่าเดิม หรือดีไม่ดีเราอาจจะบุกไปพอดีกับตอนที่พวกนั้นกำลังถอย เป็นการตีในช่วงที่ประมาทโดยแท้จริง

แต่ว่าในตอนนั้นเอง โอเรลกลับตีหน้าเศร้าขึ้นมา

 

“เคียร่าคิดว่าข่าวจะหลุดเหรอ…คิดว่าฉันเป็นสายลับรึเปล่า?”

 

ในตอนนั้นเองเท้าของฉันที่เดินอยู่ก็หยุดชะงักลง แล้วจ้องมองไปยังผู้พูดอย่างเงียบเฉียบ โดยเหลือเพียงเสียงคนงานรอบตัว

 

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

 

“อย่างที่เธอเห็นในงานประชุมนั่นแหละ แม้แต่แม่ทัพกับขุนนางคนอื่นก็ยังไม่เชื่อใจฉันเลย และเคียร่าเองก็เป็นคนฉลาด…จะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก”

 

ก็จริง ถ้าให้พูดตามหลายอย่างแล้วเขาคงดูน่าสงสัยที่สุดว่าจะเป็นสายลับรึเปล่า ทั้งเรื่องที่ว่าเป็นลูกครึ่งฟัวกรา และก่อนหน้านี้เคยไปถูกดึงให้ไปอยู่กับทางโน้นด้วยอีก แต่เจ้าตัวกลับเลือกกลับมาที่ฟาเรเรีย

แต่ก็นะ

 

“ไม่หรอก ฉันเชื่อใจเพื่อนของฉันนะ ทั้งนาย เจ้าชาย แล้วก็คุณมารีนด้วย พวกเราทั้งสี่คนเป็นเพื่อนกันใช่ไหมล่ะ”

 

“ใช่…เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน ถ้าฉันอยู่ฝั่งฟัวกราแล้วฟาเรเรียดันแพ้ขึ้นมา…ฉันคงทนไม่ได้หรอก ที่ต้องเห็นเวลาพวกเธออยู่ฝ่ายแพ้”

 

“เห็นไหมล่ะ นายเองก็กลับมาเพราะเหตุผลนี้ แค่นี้ฉันก็สบายใจแล้วล่ะ”

 

ในชีวิตนี้น่ะไม่เหมือนเดิมแล้ว ฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ตั้งแต่ยังเด็กก็มีทั้งริเกลและพวกแฟร์ ในตอนที่เรียนอยู่จนถึงตอนนี้ก็มีพวกเจ้าชายและโอเรล ดังนั้นจึงสามารถยิ้มออกมาพร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดกันแบบนี้ได้ จากนั้นฉันจึงยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับมือเขา

 

“เพราะงั้น ถ้านายมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับฟัวกรา ต่อให้เล็กน้อยก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”

 

“แน่นอน!! มาพาฟาเรเรียไปสู่ชัยชนะกันเถอะ!”

 

ว่าแล้วโอเรลก็กลับมาร่าเริงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งจับมือทั้งสองข้างของฉันด้วยความยินดี ก่อนที่พวกเราจะเดินสังเกตการณ์ในทางเชื่อมทะเลต่อ โดยที่ฟังคำบอกเล่าของโอเรลเกี่ยวกับฟัวกราไปด้วย

เป็นไปตามที่ฉันคาดเลย พวกนั้นตั้งใจจะยึดทั่วทั้งทวีป โดยเริ่มที่พวกเราซึ่งจัดการง่ายที่สุดและคิดว่าใช้แค่ทรัพยากรแบบน้อยที่สุดก็เอาอยู่แล้ว กองทัพที่มุ่งจะมายึดเมืองหลวงของเราจึงไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก ถ้ากำลังของเราตอนนี้คงยังพอไหวอยู่

แต่ว่าปัญหามันคือหลังจากนั้น ต่อให้เราตีฝ่าชายแดนออกไปได้ก็ยังจบสงครามนี้ไม่ได้ แถมยังมีอาวุธบางอย่างของฟัวกราที่โอเรลก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาบอกว่าพวกฟัวกราได้มันมาจากการค้นคว้าที่เดเวีย เจ้าตัวเห็นแค่ว่าเป็นแท่งไม้ยาวแซมเหล็ก ความยาวก็พอ ๆ กับหนึ่งคนแต่ว่าไม่มีความคมหรือแหลมเลย แต่กลับได้ยินผ่าน ๆ ว่าเป็นอาวุธทรงพลัง

แต่ก็ยังดีอยู่ที่ว่ายังใช้ไม่เยอะมาก ในศึกแรกพวกเราคงยังไม่ได้เจอ แต่ถ้าเตรียมรับมือไว้ก่อนคงดี…

 

“หืม ตรงนั้นมีอะไรน่ะ”

 

ในตอนที่ฉันกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง โอเรลก็พูดทักบางอย่างพร้อมกับชี้ไปทางด้านหน้า เหมือนว่าจะเดินเพลินไปหน่อยตอนนี้เลยมาถึงที่ชายหาดแล้ว และด้านหน้าของเราที่โอเรลชี้ไปนั้นมีคนมุมกันอยู่ หรือว่า

พวกเราสองคนมองกันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้กัน และเข้าไปแทรกตัวจนถึงใจกลางที่คนมุงกันอยู่

 

“นั่นท่านอัศวินนี่ หลบเร็ว…”

 

“มีอะไรกัน”

 

เพราะว่าฉันใส่ชุดเกราะอย่างเด่นชัดคนจึงหลบทางให้อย่างว่าง่าย และตอนนี้พวกเราก็ได้เห็นแล้วว่าพวกเขาดูอะไรกัน ซึ่งฉันเองก็เปิดตากว้างด้วยความตกใจเหมือนกัน

เพราะคนที่อยู่ด้านหน้าฉันมีลักษณะตรงตามที่แฟร์เคยเล่าให้ฟังเลย นั่นคือภายนอกเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่ว่าผิวหนังซีดออกไปทางฟ้าเล็กน้อย มนุษย์บาดาลนั่นเอง

 

“โอ้ ท่านเป็นอัศวินของประเทศที่อยู่บนผืนทวีปหรือ”

 

“ใช่ค่ะ ฉันคงต้องขออนุญาตเป็นตัวแทนในการกล่าวขอบคุณที่พวกท่านมาเยือนพวกเรา ส่วนท่านนี้ที่อยู่กับฉันคือผู้ช่วยแม่ทัพหลักของประเทศค่ะ”

 

ฉันที่โดนทักคนแรกนั้นเอามือทาบอกและโค้งตัวลงอย่างสุภาพ ก่อนจะผายมือไปทางโอเรลซึ่งถือว่ามีสถานะสูงกว่าฉันที่นี่ ทหารของเมืองบาดาลจึงขอโทษเล็กน้อยที่ไม่ทันใส่ใจ

แต่ก็ไม่แปลกหรอกนะเพราะว่าฉันเล่นเด่นกว่าตั้งขนาดนี้ จากนั้นทั้งคู่จึงพูดคุยกันเล็กน้อยว่าหากมุธุระอะไรสามารถฝากเขาไปหาราชาได้ ในระหว่างนั้นฉันก็ยืนมองพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

เป็นไปตามที่แฟร์เคยเล่าเลยแฮะ…พวกเขาไม่เปียกเลยสักนิด

 

“มีอะไรเหรอเคียร่า”

 

“อ้อ แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ…พวกคุณไม่เปียกเลยสินะคะ?”

 

และเพราะเห็นว่าบรรยากาศมันถามได้ฉันจึงพูดออกไป เจ้าตัวที่ได้ยินคำถามก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตรและอธิบายอย่างเรียบง่าย

 

“ที่แนวปะการังมีสาหร่ายอยู่ชนิดหนึ่ง ที่เมื่อนำมันมาเผาและบดแล้วเอามาเคลือบตัวเอาไว้บาง ๆ จากนั้นก็ปล่อยให้แห้งติดตัว มันจะกันน้ำได้น่ะครับ ประมาณนี้”

 

ว่าแล้วเขาก็ก้มตัวช้อนน้ำทะเลขึ้นมาราดบนแขน แต่ว่าแทนที่ตัวเขาจะเปียกน้ำไปเลย แต่ว่าน้ำที่กระทบกับผิวของเขากับไม่เกาะกับแขน และกระจายออกด้านข้างราวกับว่าบนแขนมีบางอย่างเคลือบเอาไว้…คล้ายกับบางอย่างที่เคยเห็นในชาติก่อน…สเปรย์กันน้ำรึเปล่านะ? ถ้าจำไม่ผิดน่าจะทำมาจากพอลิเมอร์รึเปล่านะ

 

“สุดยอดเลย…แล้ว ‘แนวปะการัง’ นี่ หมายถึงอะไรงั้นเหรอ?”

 

โอ้ สำหรับโอเรลคงต้องเริ่มตั้งแต่ตรงนั้นเลยสินะ เพราะว่าเรื่องใต้น้ำสำหรับโลกนี้ ไม่สิ สำหรับคนบนทวีปเป็นอะไรที่ลึกลับมาก

 

“แนวปะการังก็คือบริเวณที่มีปะการังรวมตัวกันเยอะนั่นแหละ ส่วนปะการังคือสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง มองเผิน ๆ จะเหมือนพืชหรือดอกไม้ที่อยู่ในทะเลน่ะ”

 

“งั้นเหรอ เคียร่านี่รู้เยอะจริง ๆ นะ”

 

อะ แย่แล้วเผลอพูดออกไปแบบไม่คิดซะได้ โธ่เอ๊ย เมื่อกี้ให้คนจากเมืองบาดาลอธิบายก็ยังได้นี่หว่า แม้ทางนั้นยังตะลึงเลยที่ฉันรู้เรื่องใต้ทะเล เอาเถอะ…แถเอาแล้วกัน

 

“กะ- ก็…ในหนังสือโบราณเคยมีเขียนเอาไว้น่ะ”

 

ใช้แถได้ทุกอย่างจริง ๆ หนังสือโบราณเนี่ย หลังจากนั้นเราก็ลากับทหารของเมืองบาดาล พร้อมทั้งรับจดหมายเชิญไปประชุมหารือที่เมืองบาดาล จดหมายเหรอ…กระดาษที่อยู่ใต้น้ำ รู้สึกแปลกดีแฮะ แต่เอาเถอะคงมีวิธีของเขาล่ะนะ แต่ยังไงก็เถอะ

อยากไป…อยากไปเมืองบาดาลสุด ๆ เลย ริเกลเองก็ต้องอยากแน่ จะได้ไปไหมนะ…ต้องได้แหละ ในการประชุมครั้งต่อไปก็คงรู้เอง

ฉันที่กลั้นความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นได้ไม่มิดจนตัวยุกยิกไปมานั้น ได้เดินกลับไปยังสถานที่ประชุมซึ่งจัดอยู่ที่บ้านพักของขุนนางใกล้เคียง และเมื่อเราไปถึงก็ได้เวลาประชุมทันที

เนื้อหาส่วนมากเป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงไปยังพื้นที่ค้างเคียงและที่ทัพหลัก ซึ่งแม้จะเปิดทะเลได้แล้วแต่ชาวประมงของประเทศเราก็มีค่อนข้างน้อย แถมยังเป็นแค่เส้นทางเดียวอาจจะไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาทั้งประเทศ อย่างน้อยที่สุดคงช่วยพยุงกองทัพที่อยู่แนวหน้าได้

แต่ว่าเราต้องเร่งหาวิธีสำหรับประชาชนด้วยเหมือนกัน…

 

“เมืองบาดาลล่ะ…คิดว่าไง”

 

เมื่อราชาพูดขึ้นมาแบบนั้น ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความสงสัย เมืองบาดาลงั้นเหรอ…นั่นสินะ ถ้าทำการติดต่อค้าขายกับพวกเขาคงไม่ต้องกังวลเรื่องการประมงมากเท่า

 

“ก็ดีนะคะ แต่แนะนำว่าคงแค่ระยะแรก สุดท้ายหากเราทำด้วยตัวเองทั้งหมดจะเป็นเรื่องดีกว่าค่ะ”

 

“งั้นก็ตามนั้น เรื่องการเจรจาติดต่อกับเมืองบาดาลฝากเธอด้วยล่ะ แล้วก็ขนย้ายเสบียงไปที่กองทัพหลักให้ด้วย เข้าใจไหม?”

 

“รับทราบค่ะ!”

 

ฉันขานรับกลับไปแบบนั้นอย่างหนักแน่น สำเร็จ! เท่านี้ก็จะได้ไปเมืองบาดาลแล้ว! ส่วนเรื่องแก้ปัญหาอดยากของประชาชน ก็ตกลงกันว่าจะปรับปรุงเส้นทางให้เดินทางได้ง่าย และรวมไปถึงเจาะที่อื่นทั่วประเทศด้วย ซึ่งงานนี้จะมอบหมายให้ขุนนางคนอื่นอีกที

และก็มาถึงเรื่องสงครามกับฟัวกรา…ฉันจึงเสนอออกไปทันทีว่าเราควรบุกเลย โดยมีโอเรลที่ได้ยินเหตุผลมาแล้วช่วยสนับสนุน จึงผ่านอย่างรวดเร็ว

แต่ว่าเรื่องการเดินทัพฉันคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรมาก เพราะยังไงซะฉันก็อยู่ในหน่วยข่าวกรอง คนที่ต้องเดินทัพคือเข้าชาย แม่ทัพและโอเรลต่างหาก หรือก็คือ ในระหว่างที่ฉันเจรจากับเมืองบาดาล ทัพหลักก็เดินหน้าบุกแล้วนั่นเอง

 

“ดังนั้นเธอคงเข้าใจใช่ไหมเคียร่า เราตั้งใจเดินหน้ากันก่อนเสบียงพร้อม เพราะเชื่อว่าเธอจะนำไปส่งได้ทันเวลา ไม่มีโอกาสให้พลาดหรอกนะ”

 

“ค่ะ”

 

ราชาพูดขู่ฉันออกมาแบบนั้น แต่แน่นอนว่ายิ่งเพราะแบบนั้นฉันจึงไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ฉันรู้ดีว่าครั้งนี้ฉันพลาดไม่ได้ และมันคงเป็นหน้าที่ที่กดดันมาก แต่ว่านะ งานที่อยู่ภายใต้ความกดดันแบบนี้แหละ

ฉันถนัดที่สุดเลย

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset