ในระหว่างที่จ้องตากับโอเรลอยู่นั้น เคียร่าก็ตัวกระตุกเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด ทำให้สติของพวกเราทั้งคู่กลับมาแล้วก้าวเท้าเดินต่อ
ทำบ้าอะไรของแกกัน เคียร่าต้องรีบถึงมือหมอนะเฟ้ย!! ว่าจบฉันก็พ่นลมออกจากจมูกเป็นการแสดงความไม่พอใจใส่โอเรล ซึ่งเขาก็เริ่มไม่ปิดบังความรำคาญที่มีต่อฉันแล้วเดาะลิ้นกลับมา
หน๊อย ไอ้หมอนี่!
“ฮะ ๆ สนิทกันจังนะ”
“ไม่!/กรร!”
พอเคียร่าแซวพร้อมทั้งหัวเราะในลำคออย่างเหนื่อยล้า พวกเราทั้งคู่ก็ส่งเสียงออกมาพร้อมกันในทันที เอาจริง ๆ นะ ฉันสังเกตมาได้สักพักแล้วล่ะ…ว่าเคียร่าเนี่ยมองความสัมพันธ์ของคนอื่นไม่ออกเลยวุ้ย
เธอฉลาดและเก่งพอจะเดาสิ่งที่คนอื่นจะทำหรือว่าคิดอยู่ได้ แต่เธอดันดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับตัวเอง หรือคนอื่นเขารู้สึกยังไงต่อกันเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อ คนแบบนี้มีอยู่จริงด้วยวุ้ย
“โอเรลเคียร่า ฉันได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วล่ะ ทางนั้นเป็นไงบ้าง”
ระหว่างทางที่เดินอยู่นั้น เจ้าชายที่เมื่อครู่ยืนคุยกับทหารด้วยท่าทางเร่งรีบนั้น ก็สังเกตเห็นพวกเราแล้ววิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหาแล้วถามสถานการณ์ โอเรลจึงเป็นฝ่ายเล่าให้ฟังอย่างง่าย
“เมื่อกี้แม่ทัพสั่งให้ทหารล้อมเอาไว้แล้วล่ะ แต่มังกรวารีดูระวังตัวมากเลยยังไม่เกิดการปะทะ”
“งั้นเหรอ เข้าใจล่ะ—”
“เดี๋ยว…”
ก่อนที่เจ้าชายจะวิ่งไปทางที่พวกแม่ทัพอยู่ เคียร่าก็คว้ามือของเขาไว้พลางส่งเสียงเรียก ทำให้เท้าหยุดชะงักแล้วหันมามองเธอด้วยความสงสัย แล้วเคียร่าก็ดึงแขนเจ้าชายเข้ามาให้ใกล้ตัวเองมากขึ้น พลางกระซิบข้างหูเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน…
แต่แน่นอนว่าฉันได้ยินไงล่ะ!! หูมังกรนี่ดีจริง ๆ ถ้าไม่พยายามใช้เวทมนตร์เพื่อเบี่ยงเบนล่ะก็ ฉันได้ยินทุกอย่างนั่นแหละ!!
“มังกรตัวนั้นดูแตกตื่นผิดปกติ ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ฝากดูด้วยล่ะ”
“…เข้าใจแล้ว”
ว่าแล้วทั้งคู่ก็แยกกันในทันที แตกตื่นผิดปกติงั้นเหรอ…จะว่าไปก็จริง ถ้าเป็นการโจมตีเพราะตกใจละก็คงหยุดไปตั้งแต่ตอนเห็นว่าลอยอยู่บนฟ้าแล้ว แถมพยายามพูดอะไรไปก็ไม่ยอมฟังอีก เรียกว่าผิดปกติคงได้แหละมั้ง?
แล้วในที่สุดก็ได้พาเคียร่ามาถึงหน่วยแพทย์ซะที พอได้เห็นว่าตอนนี้เธอถึงมือหมอจนรู้สึกสบายใจแล้ว ก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที
เฮ้อ…เกิดเรื่องตอนที่ขนของขนาดนั้นอยู่ไม่ใช่เรื่องตลกจริงวุ้ย เหนื่อยเป็นบ้าเลย
ว่าแล้วฉันก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นเพื่อเป็นการพักผ่อน เหมือนว่าจะเป็นเพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ฉัน จึงไม่มีใครถอดเกราะที่ใส่อยู่นี่ออกให้ แต่เมื่อกี้ที่โดนไฟฟ้าช็อตนี่ร้อนเป็นบ้า เกราะแบบนี้มันช่วยกันอะไรกันแน่ฟะ
โดนความเย็นก็อันตราย ไฟก็ยิ่งแล้วใหญ่ ล่าสุดไฟฟ้าก็เจ็บหนักกว่าเดิมไปอีก เบื่อ!! ไม่ชอบชุดเกราะหนัก ๆ พวกนี้เลย!! น่ารำคาญอ่าา!!
สุดท้ายก็กลายเป็นการงอแงไปคนเดียว พอไม่มีเคียร่าอยู่ด้วยก็ไม่มีใครรู้ว่าฉันไม่พอใจเรื่องอะไร ช่างมันเถอะ เคียร่าก็คงนอนพักไปแล้ว ฉันเองก็ หลับสักหน่อยแล้วกัน…
————————– —————
“ใช้วิธีชิงบุกก่อนที่อีกฝ่ายจะตั้งตัวงั้นสินะ ก็พอเข้าใจได้”
ฉันอ่านรายงานของสายที่ปะปนอยู่ในฟัวกราแล้วพึมพำออกมาแบบนั้น แต่ข่าวเรื่องนี้อีกหน่อยก็คงว่อนไปทั่วแล้ว เพราะตอนนี้สงครามของทั้งสองประเทศกำลังเป็นที่จับตามอง และเรื่องที่ฟาเรเรียตีฝ่าชายแดนไปยึดเมืองรูฟอย่างรวดเร็วนั้น ก็เป็นข่าวใหญ่พอควรเลย
“แต่ฟัวกราก็ดูไม่สะทกสะท้านเลยนะ”
“แหงล่ะ ประเทศนั่นมีอะไรต้องกลัวด้วยเหรอ”
โบลซึ่งเป็นคนไปหาข่าวและเอามารายงานด้วยตัวเองนั้น พูดออกมาพร้อมทั้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะในฐานะที่เจ้สตัวเป็นทหารรับจ้างมาหลายปี ก็รู้ดีว่าฟัวกราเป็นประเทศที่มั่งคั่งทั้งทรัพยากรและกำลังทหาร
คงจะมองฟาเรเรียเป็นแค่ประเทศเล็ก ๆ ที่ทำอะไรตัวเองมากไม่ได้ แต่ก็นะ เพราะมั่นใจถึงขนาดนั่นแหละเลยโดนชิงโจมตีแบบนี้ได้ ชิงโจมตีแบบสายฟ้าแลบแบบนั้นต่อให้มีสายดีขนาดไหนก็ตั้งตัวไม่ทันแน่
แต่ก็นะ…
“ช่วงนี้ไม่ได้ติดต่อกับเคียร่าเลยแฮะ…”
“ก็ทำไงได้ เธอเคยบอกไว้หนิว่าติดต่อกันตอนนี้มันอันตราย”
“ก็เข้าใจอยู่หรอก…เข้าใจอยู่แล้วน่า แต่มัน!!”
‘ปึง!!’
ว่าแล้วฉันก็ทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นจนเอกสารที่อยู่บนโต๊ะสั่นสะเทือน และมีบางส่วนกระจายลงไปที่พื้น ฉันน่ะ…
“ไม่ได้คุยกับเคียร่ามาหลายเดือนแล้วนะ!! ฉันรู้สึกได้ว่าระหว่างนี้ต้องมีเรื่องเกิดกับเคียร่าแน่ ๆ ไอ้สงครามบ้านี่เมื่อไหร่จะจบไปซะที!!”
“เฮ้อ เอาอีกแล้ว…”
โบลกลอกตามองไปบนเพดานพร้อมทั้งบ่นออกมาแบบนั้นด้วยความเหนื่อยใจ แน่นอนว่าฉันไม่สนพร้อมทั้งหยิบงานต่อไปขึ้นมาอ่านต่อกลบความหงุดหงิด ฮึ่ม…อยากส่งจดหมายหาเคียร่า อยากคุยกับเคียร่าจังวุ้ย
“จริงสิ ส่งให้แฟลชไปอยู่กับทางนั้น แล้วถ้าพร้อมติดต่อเมื่อไหร่ค่อยส่งมา แบบนั้นน่าจะดีกว่าไหมนะ”
“ก็เป็นความคิดที่ดีนะ งานอื่นที่ต้องส่งจดหมายด่วนเราก็มีมังกรเฟโลกัสตัวอื่นคอยส่งให้”
ดีล่ะ ตัดสินใจได้ก็ตัดการเลย! ฉันโยนเอกสารที่อ่านเมื่อครู่กลับเข้ากองเก่า แล้วหยิบกระดาษเปล่าแผ่นใหม่ขึ้นมาเริ่มเขียนจดหมายหาเคียร่าทันที จริงสิ ถือโอกาสบอกให้ระวังเรื่องสายลับไว้ด้วยเลยแล้วกัน แล้วก็…
“ถ้าจะขยี้ฟัวกราให้แหลกล่ะก็ ยินดีช่วยเสมอ”
ในตอนที่เขียนประโยคนั้นลงไป ฉันก็หวนนึกถึงจดหมายในคราวก่อนขึ้นมา ทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนเผลอกดปากกาในมือแน่น ถ้าไม่นับเรื่องที่ฉันเอนเอียงไปทางฝั่งเคียร่า ไอ้ที่บอกว่ายินดีช่วยขยี้ฟัวกราก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่าเป็นใจจริงได้เลยล่ะ
และฉันเชื่อว่าทั่วทั้งทวีปนี้ก็คงคิดแบบเดียวกัน…
“ทำหน้าตาน่ากลัวไปแล้วน่า ถ้าประชาชนมาเห็นเข้าทำไงกัน…ราชินี”
‘แกร๊ก!’
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะเว้ย!!”
ในขณะที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยอยู่นั้น ประโยคที่เหมือนพูดลอย ๆ ของโบลนั้น ก็สะกิดบางอย่างในตัวฉันจนออกแรงกำปากกาหักคามือ พร้อมทั้งลุกพรวดขึ้นไปตะคอกใส่เขาทันที
และสิ่งที่ฉันเห็นอยู่บนใบหน้าของโบลก็คือ…รอยยิ้มที่ชวนให้กำปั้นนี่กระแทกเข้ากับหน้านั่นจริง ๆ
“โทษที ๆ หรือต้องเรียกว่า…ท่านเจ้าหญิงแทน”
“อาา!!! แกเองก็เอากับเขาเรอะ! ไอ้ ‘นิทาน’ บ้านั่น!!”
ในขณะที่ทั่วทั้งทวีปกำลังร้อนระอุกับข่าวสงครามของฟัวกรากับฟาเรเรีย ในประเทศเซทเฟร่าของฉันก็กำลังร้อนระอุไปด้วยกระแสของนิทานที่มีชื่อว่า ‘กำเนิดวีรสตรี’ ที่เล่าว่าผู้ก่อตั้งประเทศเซทเฟร่านั้น
แท้จริงแล้วเป็นเจ้าหญิงจากประเทศห่างไกลที่ปกปิดตัวตนและออกมาผจญโลกภายนอก จนได้พบพานกับพวกพ้องและการเดินทางที่น่าตื่นเต้นมากมาย จนสุดท้ายก็มาปักหลักอยู่ที่นี่ กำเนิดเป็นประเทศ ‘เซทเฟร่า’
หรือก็คือเป็นนิทานเล่าเกี่ยวกับ ‘ฉัน’ ที่ไม่ใช่ฉันนั่นเอง
“ฮ่า ๆ นอกจากจะเป็นที่นิยมสำหรับเด็กแล้ว พวกผู้ใหญ่เองก็ชอบเหมือนกัน ทำให้ทุกคนพยายามจะเรียนภาษาเพื่ออ่านนิทานนั่นเลยนะ ก็เป็นไปตามที่เธอมอบหมายให้วิเวียนไม่ใช่รึไง”
“วิเวียน…นังตัวแสบ!”
ใช่ ถ้าว่ากันตามจริงแล้วมันเป็นเพราะเราสังเกตได้ว่าพวกเด็ก ๆ ไม่มีแรงจูงใจในการเรียนหนังสือ ก็เลยบอกวิเวียนไปว่า ‘ทำยังไงก็ได้ให้ทุกคนอยากเรียนซะ’ เธอก็ทำท่าตกใจพักหนึ่งก่อนจะถามย้ำว่า ‘แน่ใจ?’ และฉันก็ตกลงไป…แต่ไม่รู้โว้ย!! ว่ามันจะลงเอยแบบเน้!!
ฉันทิ้งตัวลงเก้าที่แล้วขยี้หัวตัวเองไปมาเพราะความรู้สึกที่หลากหลาย เอาเถอะ ถ้าผลที่ได้มันดีก็พอแล้วล่ะนะ…ถึงมันจะทำให้ฉันไม่อยากออกไปในเมืองแล้วก็เถอะ ฉันอายยย
———————————————— ————————-
‘ริเกล เฮ้ ตื่นสิริเกล’
‘หือ…?’
ฉันที่หลับไปหลังแยกกับเคียร่าค่อย ๆ ส่งเสียงร้องครวญครางออกมาอย่างงัวเงียเพราะมีคนเรียก อากาศเย็นสบายของช่วงเวลาที่ฟ้ามืด ทำให้ฉันยืดตัวเล็กน้อยแล้วอ้าปากหาวหวอดออกมา ว่าแต่เสียงเรียกเมื่อกี้นี้…
‘แฟลชเหรอ?’
‘ใช่ ฉันเอง’
ว่าแล้ว เจ้าของเสียงแหลมเล็กก็บินมาอยู่ในสายตาของฉัน มังกรตัวเล็กสีเหลือที่คอยส่งจดหมายให้พวกเคียร่า ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ?
‘ไม่ใช่ว่าจะหยุดติดต่อกันสักพักหรอกเหรอ’
‘ก็ควรเป็นงั้นแหละนะ แต่เหมือนว่าแฟร์จะอยากให้ฉันมาอยู่ทางนี้ ให้เคียร่าเป็นคนตัดสินใจว่าจะติดต่อกลับไปตอนไหนน่ะ’
อ้า งี้นี่เอง ก็พอเข้าใจได้เป็นฉันเองก็คงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ว่าถ้าแบบนั้นควรจะติดต่อกลับไปได้ตอนไหน การให้แฟลชอยู่ที่นี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ แต่ว่า…
‘แต่แถวนี้ไม่มีต้นไม้ให้ซ่อนเลยนะ…ฉันรีบปลุกเธอเพราะไม่รู้จะไปหลบที่ไหนดีเนี่ยแหละ’
‘นั่นสินะ เห็นว่าถ้าอยู่กับอิกนิสเขามีกระเป๋าให้เข้าไปซ่อนหนิ แต่ของฉันมันมีแต่ชุดเกราะ…รอเดี๋ยวนะ’
‘เอ๊ะ อะไรเหรอ—’
ในขณะที่เจ้าตัวถามพร้อมเอียงคอด้วยความสงสัย และไม่รอให้พูดอะไรต่อฉันก็ใช้ขาข้างขวาดึงตัวเขาให้เข้ามาตรงช่วงอก แล้วใช้ปีกห่อด้านหน้าเอาไว้เป็นการบังตัวของแฟลช
ถัดจากนั้นไม่นานนัก ก็มีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทางพวกเรา
“ว่าแล้วเชียว ยังไม่มีคนถอดชุดเกราะให้จริงด้วย”
คนที่พูดแบบนั้นขึ้นมาพร้อมทั้งรอยยิ้มแห้ง ๆ ก็คือเจ้าชายนั่นเอง เขาคงเพิ่งจัดการกับเรื่องของมังกรวารีเสร็จเลยมาเอาตอนนี้ล่ะมั้ง ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินมาจะปลดชุดเกราะให้…แต่ฉันก็ต้องพยายามเด้งตัวออกไม่ให้เข้ามาใกล้ จนเกิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“หือ ทำไมล่ะ? เคียร่าเคยบอกเอาไว้ว่าไม่ชอบใส่ชุดเกราะนี่”
‘กะ- ก็ใช่อยู่หรอก…’
ฉันร้องออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วยิ่งขยับหนีออกมา ก็อยากถอดเกราะนี่อยู่หรอก แต่ถ้าทำแบบนั้นมีหวังได้เห็นตัวแฟลชแน่ แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมให้เข้ามาถอด ซึ่งฉันก็ได้แต่ส่งเสียงร้องเบา ๆ เพื่อแสดงออกว่าไม่ได้โกรธหรือว่าไม่ไว้วางใจ
สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ที่จะเข้ามาถอดชุดเกราะฉันออก
“เข้าใจยากจังแฮะ พอเห็นแบบนี้แล้วเคียร่านี่สุดยอดไปเลยนะ ที่เข้าใจพวกมังกรได้”
‘แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเป็นเคียร่าไงล่ะ!’
ฉันส่งเสียงร้องออกไปอย่างร่าเริงพลางสะบัดหางครั้งหนึ่งพร้อมทั้งเชิดหน้าขึ้น ทุกครั้งที่มีคนชมเคียร่าฉันมักจะทำแบบนี้เสมอเพราะรู้สึกภูมิใจ แต่เจ้าชายก็หัวเราะออกมาพลางพึมพำว่า ‘ไม่เข้าใจจริงด้วยแฮะ’ ก่อนจะยื่นมือมาทางนี้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
หืม? จะลูบเหรอ? ฉันกะพริบตาพร้อมทั้งเอียงคอมองฝ่ามือของเจ้าชายที่ยื่นมาทางนี้ ก่อนจะก้มหัวลงเอาจมูกเข้าไปชนกับมือของเขา แล้วขยับอ้อนให้อีกฝ่ายขยับมือลูบ
เจ้าชายสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ ๆ ฉันก็เป็นฝ่ายเข้าหาเอง ก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาแล้วลูบฉันอย่างอ่อนโยน ถึงเจ้าชายจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ตัวไม่โตมาก แต่ว่าแผ่นมือของเขานั้นใหญ่กว่าที่คิด เป็นสัมผัสที่แตกต่างจากเคียร่าเป็นคนละอารมณ์กันเลย
“เมื่อก่อน ผมเคยไม่เข้าใจสิ่งที่เคียร่าเคยพูดเอาไว้…ในตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะ”
สิ่งที่เคียร่าเคยพูดเหรอ? หมายถึงเรื่องไหนกันนะสิ่งที่เธอพูดแล้วมีโอกาสที่เขาจะไม่เข้าใจ…ไม่ไหว เดาไม่ถูกเลยแฮะมันน่าจะมีเยอะมากเลย ขนาดฉันเองก็มีบางอย่างที่เคียร่าพูดแล้วไม่เข้าใจเหมือนกัน
เด็กหนุ่มดึงมือของตัวเองกลับไปแล้วกำแน่นแนบไว้กับอก พร้อมทั้งก้มหน้าพูดด้วยดวงตาที่สั่นเครือเล็กน้อย
“ผมเองจะทำได้ไหมนะ…ไม่สิ ต้องทำให้ได้ สินะ”
ทำให้ได้? จะจีบเคียร่าเรอะ?! ฝันไปเถอะ!!
“กรร…”
ฉันแยกเขี้ยวเล็กน้อยและส่งเสียงขู่จากลำคอไม่ดังมาก เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าชายล่ะนะ แค่นี้ก็มากเพียงพอแล้ว แถมยังดูเหมือนว่าการตอบสนองแบบนี้จะเป็นสิ่งเดียวที่เขาเข้าใจว่าฉันสื่ออะไร จึงหัวเราะร่วนออกมาอย่างร่าเริงผิดกับที่ดูหมองไปเมื่อครู่
“ฮ่า ๆ วางใจเถอะ ผมชอบเคียร่า ในแบบที่นับถือเธอมากกว่า ไม่ล้ำเส้นที่นายขวางอยู่หรอก”
หึ คิดได้ก็ดีแล้ว ฉันพ่นลมออกจากจมูกจนเกิดลมพัดเส้นผมของเจ้าชาย พร้อมทั้งยกหัวขึ้นเงยหน้าขึ้นสูงด้วยความพอใจ จากนั้นเจ้าชายก็ขอตัวกลับก่อนพร้อมทั้งบอกว่า
“เคียร่าก็น่าจะตื่นแล้วล่ะ เดี๋ยวจะไปเรียกมาให้นะ”
งั้นเหรอ! ดีเลยจะได้ให้เคียร่าช่วยคิดเรื่องแฟลช เพราะตอนนี้ฉันก็ต้องพยายามทั้งคุย (?) กับเจ้าชาย ไปคู่กับการปิดตัวตนของแฟลชที่อยู่ใต้ปีก แล้วก็ถ้าว่ามาหาได้ แสดงว่าอาการไม่หนักมากสินะ เท่านี้ก็โล่งใจแล้วล่ะ
และก็เป็นอีกครั้ง ที่ฉันหยุดความดีใจไม่ไหวจนส่ายหางไปมาอย่างรุนแรง พร้อมทั้งรอให้เคียร่ามาหา