หลังจากที่เจ้าชายเดินออกไปหาราชานั้น ฉันก็ยังคงเอาหัวถูกับตัวของเคียร่าต่อไป ทำให้เธอเริ่มยิ้มออกมาอย่างลำบากใจเล็กน้อย คิดว่าไม่มาหาตั้งสัปดาห์กว่าเนี่ยฉันเหงาขนาดไหนกัน! ไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ หรอก!!
“กรร…”
“ฮะ ๆ เข้าใจแล้ว แต่ฉันมีธุระต้องไปทำต่อนิดหน่อยน่ะ…เปลี่ยนเป็นไปเดินเล่นแทนได้ไหม?”
‘เดินเล่น! ไปสิ ไป!!’
ฉันร้องออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมทั้งลุกพรวดอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้เคียร่าหัวเราะร่วนออกมาอย่างผ่อนคลาย และพาฉันเดินออกมาที่ด้านนอก อา! ในที่สุดก็ได้ออกมาด้านนอกซะที!!
เพราะว่าอิลร่าที่ปกติจะเป็นคนดูมังกรของอัศวินมังกรนั้นไม่อยู่ ตลอดทั้งสัปดาห์ที่เคียร่าหมกตัวอยู่ในห้องเลยไม่มีใครพาออกมาเดินเล่นเลยสักครั้งเดียว เห็นว่าคนในหน่วยเคียร่าคนอื่นวุ่นกับการสืบข่าวล่ะมั้ง?
แต่เรื่องนั้นยังไงก็ช่าง!! ตอนนี้ฉันได้ออกมาสูดบรรยากาศแล้ว!!
‘อากาศโล่ง ๆ งี้สิ ดี~’
ฉันร้องออกมาด้วยความสบายพลางยืดขาไปด้านหน้าและแอ่นหลังเป็นการยืดเส้นยืดสาย เพราะว่าเอาแต่นอนขดตัวมาตลอดล่ะนะพอได้ยืดตัวแบบนี้แล้วรู้สึกดีสุด ๆ เลย!!
แล้วในตอนนั้นเองปลายสายตาของฉันก็สังเกตบางอย่าง…ขุนนางเหรอ? ไม่เห็นคุ้นหน้าเลย
“อ๊ะ นั่นมารีนนี่นา…”
เคียร่าที่หันไปเจอเช่นกันก็พึมพำออกมาเช่นนั้น มารีน? อ้า เพื่อนอีกคนของเคียร่าที่เป็นขุนนางสินะ เห็นว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กของพวกเจ้าชายด้วย เคยได้ยินชื่ออยู่หรอกแต่เพิ่งเคยเจอครั้งแรกนี่แหละ
ดูเหมือนเธอคนนั้นจะมีท่าทีกังวลพลางเอาพัดปิดใบหน้าของตัวเองครึ่งหนึ่งเอาไว้ คงอยากเข้ามาหาเคียร่าแต่ก็กลัวฉันล่ะมั้ง? ก็นะ ไม่แปลกหรอกพวกขุนนางในประเทศนี้ไม่คุ้นเคยกับมังกรนี่นะ
เมื่อฉันเห็นแบบนั้นจึงใช้ปลายจมูกของตัวเอง ดันหลังของเคียร่าเล็กน้อยเพื่อบอกให้เธอเดินไปหา…แน่นอน! ถึงฉันจะคิดถึงเคียร่ามากขนาดไหนก็ไม่เอาแต่ใจถึงขั้นแค่นี้จะไม่ให้เธอห่างเลยหรอก ถ้าแค่แป๊บเดียวละก็ไม่มีปัญหา!
ถ้าแค่แป๊บเดียวอะนะ…
“ขอบใจนะ เดี๋ยวยังไงฉันกลับมานะ”
เคียร่าบอกฉันแบบนั้นแล้วเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อมารีน ทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันบางอย่างในบริเวณที่ห่างจากฉันพอควร…และฉันก็ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่อยู่ดีล่ะ! ถึงแม้จะเป็นแบบเบามากก็เถอะ
“ถึงจะเคยได้ยินแล้วก็เห็นผ่านตามาบ้าง แต่เพิ่งได้เจอตรง ๆ แบบนี้ครั้งแรกเลยค่ะ”
“นั่นสินะคะ ฉันได้ยินมาว่าระหว่างที่ฉันไม่อยู่ท่านมารีนช่วงส่งคนมาดูแลให้เป็นพิเศษ ขอบคุณมากเลยนะคะ”
“สำหรับดิฉันแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อยค่ะ”
อ้าว กลายเป็นว่าอีกฝ่ายรู้จักฉันอยู่แล้วเหรอ แล้วเรื่องที่มีคนคอยเอาอาหารมาให้นี่ก็เป็นฝีมือเธอคนนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นการดูแลตามปกติเหรอ?
อ้าว เหมือนฉันจะเข้าใจอะไรผิดมาตลอดเลยแฮะ คิดว่าเพราะเห็นว่าฉันเป็นมังกรพิภพเลยมีการดูแลเป็นพิเศษดีกว่ามังกรตัวอื่นซะอีก…
“เพราะว่าไม่ได้หาเธอมานานหลังจากนี้เลยว่าจะไปเดินเล่นกันน่ะค่ะ หากไม่รังเกียจขอเป็นคุยไประหว่างเดินได้ไหมคะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะดิฉันเองก็ต้องรบกวนคุณเช่นกัน”
“ไม่ค่ะ ๆ ฉันต่างหากที่รบกวน”
อะไรกันล่ะนั่นสองคนนั้น ไอ้ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะสนิทแต่ก็ดูเกรงใจกันและกันมากกว่านั่นมันอะไรกัน ตอนนี้ดูท่าทั้งคู่กำลังถกเถียงกันไปมาว่าตัวเองรบกวนอีกฝ่ายมากกว่า…แบบนี้ก็ไม่ได้ไปไหนกันซะทีสิ
“กรร!”
ฉันส่งเสียงร้องเรียกเคียร่าออกไปทำให้ทั้งคู่ที่ไม่ได้ใส่ใจรอบตัวต่างสะดุ้งโหยง และหันกลับมาทางนี้ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องทำอะไร เฮ้อ…เคียร่ากับเพื่อนแต่ละคนนี่ แปลกจริง ๆ เลย
จากนั้นเคียร่าก็พาขุนนางสาวที่ชื่อมารีนมาทำความรู้จักกับฉัน เธอคนนั้นพอลบความกลัวออกจากสีหน้าไปก็ดูเป็นคนเข้มงวดและหน้าดุพอสมควร โดยเฉพาะดวงตาที่คมนั่น
แต่ตอนนี้สีหน้าเธอดูกังวลอย่างเห็นได้ชัดเลยแฮะ มีอะไรรึเปล่านะ?
“แล้ว…เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายหรือคะ”
“ค่ะ เรื่องนั้น…”
อย่างงี้นี่เอง คงเป็นห่วงเจ้าชายที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กสินะ อืม ๆ ก็นะ เธอที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์แนวหน้าเลย พอได้เจอกับเพื่อนของตัวเองที่ไม่ได้เจอกันพักใหญ่ที่ดูท่าทางแปลกไปขนาดนั้น ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกกังวล
ดังนั้นเคียร่าจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับเธอฟัง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าชายหม่นหมอง
“งั้นหรือคะ เป็นเช่นนั้นเอง…ดิฉันไม่รู้มาก่อนเลย”
“นี่เป็นเรื่องของทางทหาร ท่านจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ”
เคียร่าพูดปลอบใจเธอที่ทำท่าหม่นหมองกับเรื่องที่ได้ยิน ซึ่งแม้จะได้ยินแบบนั้นเธอก็ยังหรี่ตาลงมองต่ำ พร้อมทั้งพูดความในใจต่อ
“ก็จริงค่ะ แต่ถึงกระนั้น ดิฉันก็อยากจะรู้และทำอะไรเพื่อเจ้าชายบ้าง…ในฐานะคู่หมั้น”
“เอ๊ะ”
‘เอ๊ะ’
ทั้งฉันและเคียร่าเมื่อได้ยินคำที่ไม่คาดฝันก็หยุดเท้าชะงักไปในทันที หมั้น…ถึงจะรู้ก็เถอะว่าสำหรับขุนนางมันก็มีกันเป็นปกติ แต่…พอได้ยินเกี่ยวกับคนใกล้ตัวแล้วมันก็ชวนให้ตกใจจังแฮะ
“มะ- หมั้นกันแล้วเหรอคะ??”
และไม่รู้ทำไมว่าคราวนี้ดันกลายเป็นเคียร่าที่เขินขึ้นมาซะงั้น ทำให้ทางมารีนที่ว่าก็เขินตามพลางใช้พัดมือปิดบังใบหน้าอีกรอบ แล้วหลบตาไปทางอื่น
“คะ- ค่ะ เป็นเรื่องไม่กี่วันก่อน และเห็นว่าหากสถานการณ์สงบลงหน่อยก็จะจัดงานแต่งเลยค่ะ”
“งะ- งานแต่ง!? กะทันหันจังนะคะ แต่ก็…ยินดีด้วยนะคะ”
เคียร่าที่ดูจะมีปฏิกิริยากับคำว่างานแต่งก็พูดแสดงความยินดี ก่อนจะกลับมายิ้มให้อย่างร่าเริง เป็นการแสดงถึงความยินดีจากใจจริงนั่นเอง
มารีนเองก็เหมือนจะสงบจากความเขินได้แล้วจึงพับพัดเก็บแล้วคลี่ยิ้มออกมา…ซึ่งดูเศร้าสร้อยอย่างประหลาด
“แต่ก็ยังฟันธงอะไรไม่ได้หรอกค่ะ นี่เป็นสิ่งที่องค์ราชาท่านทำโดยพลการ เจ้าชายแวร์มิลคงไม่มีทางเห็นด้วยหรอกค่ะ”
เธอพูดเรื่องแบบนั้นออกมาแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีกับตนเองก็ตาม คงจะเป็นความเคยชินที่รู้จักเพื่อนสมัยเด็กดีสินะ คงจะสนิทกันถึงขั้นรู้นิสัยและเดาความคิดของอีกฝ่ายได้เลยงั้นเหรอ…อาจจะเกินระดับเพื่อนไปจริง ๆ นั่นแหละ
“นั่นสินะคะ…แต่ว่าอนาคตก็ไม่แน่หรอกค่ะ พวกท่านทั้งสองอาจจะตกลงปลงใจกันจริง ๆ ก็ได้”
“จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ…”
เหมือนว่าสิ่งที่เคียร่าพูดจะเป็นเรื่องที่มารีนแอบหวังไว้อยู่ล่ะมั้ง พอได้ยินแบบนั้นจึงเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว จากนั้นทั้งคู่ก็แยกกันหลังรู้ตัวว่าพระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้ว มารีนจึงโบกมือลาพวกเราและเดินกลับไปทางราชวัง
และเมื่อเธอเดินจนลับสายตาไป เคียร่าก็พูดขึ้นมา
“แต่งงานเหรอ…พวกฉันก็ถึงวัยแบบนั้นกันแล้วสินะ”
ถึงวัย?? เคียร่าเพิ่มจะ 15 เองหน่า…อ๊ะ แต่ถ้าโลกนี้ก็คงถือว่าเป็นเวลามาตรฐานสำหรับการแต่งงานล่ะนะ บางคนเท่าเคียร่าก็คงมีลูกสักคนแล้วมั้ง ไวไฟจริง ๆ เลย วัยรุ่นต่างโลกเนี่ย
“ไม่เคยคิดถึงเรื่องอะไรแบบนั้นมาก่อนเลยเนอะ”
เคียร่าพูดแบบนั้นพร้อมทั้งหันมามองฉัน. อืม…ก็เคยมีพูดถึงแต่งงานกันอยู่หรอกตอนก่อนที่จะตัดสินใจเป็นอัศวิน แต่นั่นก็คิดขึ้นมาเพราะเป็นทางลัดเป็นขุนนาง ไม่ใช่การแต่งงานในความหมายที่ดีสักเท่าไหร่
แต่ก็นะ…
‘ฉันไม่ยอมให้เคียร่าแต่งงานมั่ว ๆ หรอกนะ!!’
ฉันร้องคำรามออกมาตามปกติที่มีการพูดคุยแบบนี้เกิดขึ้น ทำให้เคียร่าตกใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“ฮะ ๆ พอพูดเรื่องแบบนี้ทีไรริเกลก็แปลกทุกทีเลยนะ”
ไม่ใช่เรื่องตลกเลยเฟ้ย!! แล้วไหงเคียร่าที่เข้าใจฉันทุกอย่าง แต่ดันมีแต่เรื่องแบบนี้ที่ไม่เข้าใจกันฟะ!! ฮึ่มมม เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีที่ว่ามีแค่เรื่องนี้เหมือนกัน ที่คนอื่นมองออกว่าฉันสื่ออะไร
ไม่ว่ายังไงคนที่จะแต่งงานกับเคียร่า ก็ต้องสู้กับฉันได้อย่างน้อยก็สูสีกันเท่านั้น!!
———————– —————
ณ ท่าเรือประเทศ เซทเฟร่า
ท่าเรือในช่วงบ่ายนั้นเงียบสงบ เพราะเรือขนส่งส่วนมากมีกำหนดการออกเรือตอนช่วงเที่ยง กว่าจะมีเรือกลับมาก็คงเกือบเย็นโน่นเลย ดังนั้นฉันในตอนนี้ตึงยืนอยู่ริมท่าเรือ และสูดลมหายใจรับลมเย็นและกลิ่นเค็มจากทะเล
“ว่างจังน้า~”
ไม่สิ จะว่าว่างก็ไม่เชิง…ที่จริงงานในปราสาทยังเหลืออีกเยอะเลย แต่จู่ ๆ มอร์เทนก็พุ่งพรวดเข้ามาแบบไม่ได้นัดล่วงหน้าพร้อมทั้งพูดว่า
‘เป็นราชินีแล้วก็หัดทำตัวขี้เกียจซะบ้างสิ!!’ อะไรทำนองนั้น…พร้อมกับเอาชุดให้ปลอมตัวเข้าเมืองมาด้วย บอกไปตั้งหลายรอบแล้วแท้ ๆ ว่าอย่าเรียกว่าราชินี มันไม่ชินเฟ้ย
“อา…ทำอะไรดีน้า~”
ฉันพึมพำออกมาอีกครั้งพร้อมทั้งใช้มือจัดเสื้อคลุมหนาเตอะ ที่ตรงช่วงคอหนามากแถมยังต้องใช้ผ้าคลุมหัวเพื่อปิดบังใบหน้าอีก ชุดนี่มันอึดอัดชะมัด พาอิกนิสมาก็ไม่ได้เพราะเด่นเกิน
เป็นวันหยุดที่น่าเบื่อชะมัด…
“เฮ้อ~”
เป็นอีกครั้งที่ถอนหายใจออกมา…เอาเถอะ ไหน ๆ ก็ได้ออกมาแล้ว ไปเดินในเมืองดูสักหน่อยดีกว่า ว่าแล้วฉันก็หันหลังให้กับท่าเรือซึ่งเงียบสงัด เดินไปตามทางเดินที่ปูถนนอย่างดีที่ต่อให้มังกรตัวใหญ่เหยียบเข้าก็ไม่เกิดความเสียหาย ซึ่งเป็นอะไรที่สะดวกมากแม้จะราคาแพงมากเลยก็เถอะ…
แต่ก็โชคดีที่หลังมีการเริ่มเก็บภาษีก็มีงบประมาณสำหรับการพัฒนาเมืองหลวงแห่งนี้มาก อย่างน้อยที่สุดทั่วทั้งเมืองก็ปูถนนแบบนี้ครบหมดแล้ว
แล้วก็เพื่อลดขยะมีการวางถังสำหรับทิ้งแล้วจ้างคนคอยทำความสะอาดและกำจัดขยะ ทางศาสนาวารุนก็ช่วยหามังกรที่ทำลายขยะส่วนใหญ่ได้จึงช่วยได้มากเลย
ต่อมาเห็นว่ามีเรือบางลำแล่นตอนกลางคืนทำให้เข้าจอดยากเพราะมืด ตอนนี้ก็กำลังหารือกับพวกนักก่อสร้างในประเทศว่าจะทำยังไงดี…คงต้องหาอะไรบางอย่างที่เป็นแสงไฟได้ตลอดล่ะนะ เห็นว่าพอทดลองใช้เป็นคบเพลิงแล้วมันสว่างไม่พอ
ส่วนเงินทุนก็ไม่มีปัญหาเพราะภาษีที่เก็บมายังวนเวียนใช้ได้อีกเหลือเฟือ เอ…แล้วเหลืออะไรอีกนะที่เราต้องทำสำหรับเมืองนึงเนี่ย
“อุ๊”
“อ๊ะ ขอโทษนะครับ!!”
ในระหว่างที่ฉันกำลังเดินพลางทำท่าทางครุ่นคิดอยู่นั่นเอง ก็มีแรงกระแทกชนเข้ากับที่ด้านหลังพร้อมทั้งเสียงของชายพูดขอโทษ เด็กงั้นเหรอ?
“ไม่เป็นไร ฉันเองก็มัวแต่เดินใจลอยเหมือนกัน”
ฉันยกมือขึ้นมาบอกว่าไม่เป็นไรพลางส่งยิ้มให้…แต่ก็ลืมไป ไอ้ชุดนี่อีกฝ่ายคงมองไม่เห็นสีหน้าฉันหรอก เด็กชายที่พอเห็นด้านหน้าซึ่งปกปิดตัวมิดชิดก็มีท่าทีกลัวเล็กน้อย ก่อนจะขอโทษอีกครั้งและวิ่งจากไป
ไม่ใช่ว่าชุดนี่…จะเด่นกว่าเดิมเรอะ
“แต่จะรีบไปไหนล่ะนั่น…”
ฉันพึมพำแบบนั้นด้วยความสงสัยพลางเดินตามหลังเด็กคนนั้นไปอย่างเงียบเฉียบ และไม่นานจากเส้นทางฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังจะไปไหน…โบสถ์นั่นเอง
“หือ โบสถ์ดูโวยวายผิดปกติรึเปล่านะ?”
เมื่อเข้าใกล้มากขึ้นฉันก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ดูรื่นเริงราวกับงานเลี้ยงดังมา จนทำให้เกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งเลี้ยวตรงหัวมุมทางเดิน เจอเข้ากับอาคารขนาดใหญ่ที่สร้างเอาไว้…
ตัวโบสถ์นั้นมีลานกว้างขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า สมกับว่าเป็นใจกลางของศาสนาแห่งใหม่จริง ๆ บอกได้แค่ว่าเล็กกว่าวังไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้ลานที่ว่าก็มีคนอยู่ประปรายและงานบางอย่างที่เต็มไปด้วยความยินดี
โดยที่ใจกลางงานเลี้ยงนั้นมีชายใส่ชุดสีขาวดำยืนโดยมีสาวใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์อยู่ข้างกาย พร้อมทั้งถือช่อดอกไม้เอาไว้ในมือ
“ไง คิดว่าจะไม่มาที่โบสถ์แล้วซะอีก”
“…หรือว่าอยากจะให้มางานนี่รึไง”
ฉันถอนหายใจและทำท่าทางเหนื่อยหน่ายกับมอร์เทนที่เดินมาจากด้านหลัง แน่นอนว่าเจ้าตัวที่เป็นคนเอาชุดมาให้เปลี่ยนย่อมรู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นใคร ตอนนี้เขาก็ยังยืนหัวเราะร่วนดั่งเช่นทุกที
“แน่นอน หลังจากที่เจ้าก่อตั้งประเทศมาได้ 2 ปี…นี่เป็นคู่แต่งงานคู่แรกเลยนะ”
อ้า อย่างนี้นี่เอง อันนี้คืองานแต่งงานสินะ ก็เคยเห็นคนที่แต่งงานมาแล้วค่อนข้างเยอะอยู่หรอก แต่เพิ่งเคยเห็นงานเป็นครั้งแรกนี่แหละ แต่ก็
“แล้วมันทำไมล่ะ”
ฉันถามออกไปแบบนั้น โดยที่ไม่เข้าใจสิ่งที่มอร์เทนจะสื่อเลยแม้แต่น้อย เข้าเว้นช่วงพูดพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งอย่างหน่ายใจ และเอามือมาลูบหัวฉันซะงั้น
“เฮ้!”
“หรือก็คือ คนในประเทศของเจ้า ไว้วางใจต่อเจ้าแล้วไงล่ะ”
“…เชื่อใจ?”
“ใช่ เพราะว่าการแต่งงานที่นี่นั่นหมายถึงว่า พวกเขาตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่ที่เหลืออยู่ ณ ที่แห่งนี้…”
…นั่นคือความเชื่อใจไงล่ะ เขาพูดออกมาแบบนั้น…งั้นเหรอ หมายความว่าพวกเขาเชื่อใจประเทศที่ฉันสร้างขึ้นมาสินะ หนักหนาเอาเรื่องแฮะ แต่ก็…ไม่ได้แย่นักหรอก
“แต่ชุดของผู้หญิงนี่สวยชะมัด อยากเห็นเคียร่าใส่ชุดแบบนั้นจังวุ้ย”
ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาในลำคออย่างติดเล่น เพื่อทำลายบรรยากาศที่ดูจริงจังจนน่าอึดอัดทิ้งไป พร้อมทั้งปัดมือของมอร์เทนที่ทำเหมือนฉันเป็นเด็กออก ซึ่งเขาก็หัวเราะร่าออกมาเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ถ้าแค่อยากเห็นก็หมายความว่าอีกฝ่ายจะแต่งกับใครไม่ใช่รึไง เจ้าคงไม่พอใจแค่นั้นมิใช่รึ เพราะสิ่งที่เจ้าต้องการน่ะ”
และคำพูดหลังจากนั้นก็ทำให้ฉันอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทำตัวไม่ถูก แล้วเดินกลับปราสาทไปทั้งอย่างนั้น…แถมยังครุ่นคิดทบทวนอยู่ไปอีกทั้งคืน…
“ฉัน…อยากแต่งงานกับเคียร่าเหรอ?”
อาา!! ว่าแล้วเชียว!! แค่คิดถึงมันก็ทำตัวไม่ถูกแล้ววุ้ย!!