‘เหวอ!!’
ฉันที่สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเผลอส่งเสียงออกมาพร้อมกับเด้งตัวลุกขึ้น ทำให้ทุกคนที่นอนพักอยู่ก็สะดุ้งตามขึ้นมาในทันที
“เกิดอะไรขึ้น!”
หัวหน้าที่ลุกขึ้นและจับดาบเตรียมปกป้องเจ้าชาย ถามพลางมองไปรอบ ๆ เพื่อหาสิ่งผิดปกติ ส่วนเคียร่าที่รู้ได้ทันทีว่าฉันแค่ฝันร้ายนั้นก็ยกมือให้ลดอาวุธลง
“ไม่ค่ะ ฉันคิดว่า…ฝันร้ายเหรอริเกล?”
ฉันที่ยังตื่นกลัวจนสงบใจไม่ค่อยได้นั้น กลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมทั้งพยักหน้าให้เธอ คนอื่น ๆ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก…ส่วนเคียร่าก็เข้ามาปลอบประโลมฉัน
“ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เนอะ?”
‘อืม…’
ฉันส่งเสียงร้องออกไปอย่างหงอย ๆ พลางก้มหัวลงซุกไซร้กับตัวของเคียร่าเป็นการอ้อน จริงด้วย ฉันก็มีเคียราอยู่ด้วยนี่นา กะอีแค่มีมังกรหันมาแสยะยิ้มใส่ มันจะน่ากลัวสักแค่ไหนกันเชียว!!
…ขอโทษค่ะ โคตรน่ากลัวเลย นั่นมันฝันบ้าอะไรกัน! นอกจากรอยยิ้มนั่นจะสยองแล้ว ยังมีบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดอีก แต่เดิมที มังกรตัวสีเหลืออร่ามนั่นมันอะไรกัน…
ภาพในฝันนั่นยังติดตาฉันอยู่เลย!! อา!! ออกไปนะ!!
“อ๊ะ ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว รีบเตรียมตัวกันเถอะริเกล”
‘…อืม’
ฉันพยักหน้าตอบเธอด้วยเสียงแผ่วอีกครั้ง พร้อมทั้งยืนนิ่งปล่อยให้เธอสวมชุดเกราะให้อย่างเต็มยศ และในขณะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น พวกเราก็ออกเดินทางตรงไปยังหมู่บ้านตรงหน้าทันที เพียงแค่ฉันกับเคียร่าเท่านั้น
อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเจอกับฝันที่น่ากลัวมา ฉันในตอนนี้จึงระแวงรอบข้างทุกอย่างก้าว แต่ว่ายามเช้าแบบนี้นั้นเงียบมาก ไม่ว่าจะพยายามตรวจสอบมากขนาดไหนก็ไม่เจออะไรเลย ทางสะดวกสุด ๆ
“นั่น โอเรลนี่นา”
ในตอนที่พวกเรามาถึงกำแพงของหมู่บ้านแล้ว เคียร่าก็พูดออกมาเช่นนั้นโดยที่ฉันยังมองไปรอบข้างอยู่ จึงได้หันกลับไปมองตรงหน้าเพื่อมองโอเรลที่เธอส่งเสียงทัก
และเมื่อได้เห็นเขาหัวใจฉันก็เต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกมา
“กรร! กรร! กรรรร!!”
แล้วปากก็ตอบสนองกับร่างกายโดยการส่งเห่าออกไป ก่อนจะขู่ลากยาวในทันที ทั้งที่ดวงตายังสั่นคลอนด้วยความกลัว
ที่ด้านหลัง ไม่สิ…ที่ตัวของโอเรล มีหมอกดำมืดปกคลุมอยู่ มันก่อตัวขึ้นมาเป็นเงาของมังกรซึ่งมีดวงตาสีเหลืองอร่าม และแสยะยิ้ม…แบบเดียวกับในฝันเลย
“เดี๋ยวริเกล อย่าเสียงดังสิ ยังกลัวอยู่อีกเหรอ?”
“เกิดอะไรขึ้นกับมันน่ะ”
“ริเกลฝันร้ายน่ะ บางทีอาจจะยังตื่นกลัวอยู่ก็ได้”
“อ้า…แบบนี้นี่เอง”
เขาที่เข้าใจแล้วก็พึมพำออกมาแบบนั้น พร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาใกล้ฉันเรื่อย ๆ อย่าเข้ามานะ! แต่ว่าเสียงของฉันส่งไปไม่ถึง โอเรลยังเดินใกล้เข้ามา เคียร่าพยายามให้ฉันสงบสติอารมณ์
ไม่เห็นเหรอ? มองไม่เห็นหมอกนั่นเหรอ? มันกำลังจ้องมาทางนี้ มันกำลังแสยะยิ้มอยู่ มันกำลัง…เล็งไปที่เคียร่า
“ไม่ต้องกลัวนะริเกล มานี่สิ ฉันไม่ทำอะไรแปลก ๆ หรอก”
โอเรลพูดออกมาแบบด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งยื่นมือออกมาทางฉัน…ไม่ ดวงตาของเขาแปลกไป ไม่ใช่แค่แปลกที่ยิ้มให้กับฉัน แต่แปลกไปถึงตัวตน…ราวกับกลายเป็นคนละคนอย่างแท้จริง
ความกลัวต่อเขาที่เป็นเช่นนั้นทำให้ฉันเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ก็ดึงสติตัวเองมาได้ว่าเคียร่ายังอยู่ด้วย ไม่ได้…ยิ่งเพราะน่ากลัวนั่นแหละ ฉันต้องอยู่กับเคียร่า
“กรรร!!!”
ฉันหยุดเท้าของตัวเองที่จะก้าวหนี ให้ตั้งหลักอย่างหนักแน่นและแยกเขี้ยวขู่เขาออกไป เป็นการขู่ที่มีความมุ่งร้ายอย่างชัดเจนจนเคียร่ายังตกใจ เธอไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้อย่างแท้จริง…
รอยยิ้มบนใบหน้าของโอเรลก็ค่อย ๆ ผันแปรกลายเป็นหน้าบึ้ง เงามังกรด้านหลังก็เช่นกัน มันกำลังโกรธอยู่
“แกก็เป็นแบบนี้ตลอด…น่ารำคาญจริง”
ในตอนนั้น กลิ่นฉุนก็ลอยคลุ้งเข้ามาในจมูก ฉันจึงรีบยกแขนขึ้นมาพร้อมกับโอเรลที่ชี้นิ้วมาทางเคียร่า ทันทีที่แสงรวมตัวตรงปลายนิ้วของเขา ฉันก็บังร่างของเคียร่าเป็นการป้องกันเวทนั้น
แต่
“ก๊าสสส!!!”
“อ๊ากก!!”
เสียงคำรามและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของฉันกับเคียร่าดังขึ้นพร้อมกัน เพราะทันทีที่มีเวทออกมาจากปลายนิ้วของโอเรลนั้น…มันก็พุ่งมาชนหลังเท้าของฉัน ทำลายเกราะที่สวมอยู่เป็นเสี่ยง ๆ และทะลุเนื้อจนไปโดนไหล่ซ้ายของเคียร่าในที่สุด
“ฮะ ฮะ ฮะ สุดยอด…ทำเอาเกราะของอัศวินเหมือนกับเนยเลย นี่น่ะเหรอ…พลังของมังกรพิภพ”
ไอ้เวรนั่นหัวเราะออกมาอย่างเชื่องช้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมทั้งพึมพำออกมาอย่างรื่นเริง…พลังของมังกรพิภพ? หมายความว่าไงกัน
และด้วยการโจมตีที่กะทันหันทำให้เคียร่าเสียหลัก ก่อนล้มคุกเข่าลงกับพื้นโดยใช้มือกุมแผลซึ่งยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
“หมายความว่าไงกัน…โอเรล”
“อะไรกัน…เคียร่านี่หัวช้ากว่าที่คิดนะ”
‘หุบปากไปเลยไอ้เวร!!’
ฉันคำรามออกมาและอ้าปากพ่นลมหายใจออกไป เขาสะดุ้งและกระโดดหลบทันอย่างหวุดหวิด เพราะถ้าโดนเข้าไปละก็คงไม่เหลือซากแน่ หึ นี่แหละ พลังของมังกรพิภพ
คงเป็นเพราะความเจ็บปวดที่แล่นผ่านไปร่างกาย ในตอนนี้ฉันจึงลืมความกลัวไปจนหมดแล้วยืนหยัดอยู่ตรงหน้าเขา โดยที่บังตัวของเคียร่าเอาไว้ใต้ท้องของตัวเอง
คิดว่าแค่มีพลังเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยจะชนะฉันได้เรอะ ฝันไปเฟ้ย!!
“หึ ไม่ว่าจะกี่ครั้งแกก็เข้ามาขวางฉันตลอดเลยนะ”
‘จนกว่าแกจะหมดลมนั่นแหละ’
เขาพูดจบก็ยกมือขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเองก็เตรียมจะหลบแล้วกระโจนใส่เช่นกัน แต่ มือนั้นกลับเปลี่ยนขึ้นไปชี้บนฟ้า และยิงขึ้นด้านบนแทน
ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังออกมาจากในหมู่บ้าน ก่อนจะมีทหารจำนวนมากวิ่งกรูออกมาล้อมพวกเราไว้และใช้ปืนจ่อมาที่พวกเรา
อย่างนี้นี่เอง เล่นแบบนี้เลยสินะ
“โอเรล ทำไม—”
‘หมอบลงเคียร่า!!’
เคียร่าที่ดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้น ลุกขึ้นพร้อมทั้งถามอีกครั้ง ซึ่งฉันไม่ปล่อยให้เธอทำตามใจและล้มตัวดันให้เธอหมอบลง พร้อมทั้งพ่นลมหายใจอีกครั้งพร้อมกับสะบัดปีก
‘ปัง! ปัง! ปัง!’
ทหารรอบตัวพวกเรายิ่งปืนออกมาอย่างไม่พร้อมเพรียงกันนัก ทำให้บางลูกยังคงหลงมาโดนตัวของฉันแม้จะพยายามผัดกระสุนออกไปแล้ว และระลอกต่อไปก็ต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว
ฉันทั้งพยายามใช้ลมหายใจคร่าชีวิตทหารไปเรื่อย ๆ พร้อมกับสะบัดหางกับปีกเพื่อป้องกันเท่าที่ทำได้ แต่…ความเสียหายได้โดนก็ยังหนักอยู่ดี
“ฮ่า ๆ ๆ ต่อให้เป็นมังกร ยังไงซะก็หมดแรงได้อยู่ดีล่ะนะ”
เมื่อเสียงปืนสงบหลังจากยิงออกมาหลายชุด โอเรลหัวเราะร่าออกมาด้วยความสะใจพร้อมทั้งเดินมาใกล้ฉัน อย่าเข้ามาใกล้นะเว้ย!!
แน่นอนว่าฉันรีบแว้งกัดเขาในทันที แต่มันก็ไม่โดนพร้อมกับสีหน้าระรื่นของเขา น่าหมั่นไส้จริงไอ้นี่ แต่ตตอนนี้ฉันก็ทำได้แค่หอบหายใจเพราะเสียแรงไปกับการพ่นลมหายใจ และป้องกันการโจมตี ไหนจะความเจ็บปวดจากบาดแผลอีก
แต่ว่าขอแค่เคียร่าปลอดภัย ต้องหาจังหวะหนี…
“!??”
ในตอนนั้น จู่ ๆ โอเรลก็สะดุ้งโหยงและเบี่ยงตัวออกทางด้านขวา พร้อมทั้งบางอย่างที่พุ่งผ่านจุดที่เมื่อครู่หัวเขาอยู่ไป จนที่แก้มเกิดบาดแผลตื้น ๆ ขึ้น
เคียร่าพุ่งออกมาจากใต้ท้องของฉัน พร้อมทั้งใช้หอกแทงไปทางเขานั่นเอง ด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยหลากหลายความรู้สึก แต่ที่เห็นเด่นชัดน่าจะเป็นความโกรธ
“โอเรล!!!”
“เธอยังไม่หมดฤทธิ์สินะ ไม่สิ…เธอยังไม่แผลงฤทธิ์ด้วยซ้ำ”
หลังบทสนทนาแสนสั้นที่เคียร่าตะโกนออกมาเสียงดัง เธอก็ดึงหอกของตัวเองกลับมาชิดลำตัวอีกครั้ง และแทงใส่เขาไม่ยั้ง
เหมือนเคย แม้ว่าโอเรลจะได้พลังบางอย่างมาอยู่ในมือ แต่ทักษะของเขาก็ยังไม่เปลี่ยน การหลบหอกที่โหมกระหน่ำของเคียร่าทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทำได้เพียงตั้งสมาธิกับการหลบอย่างเดียว
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงได้รับบาดแผลอยู่ จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากทหารรอบ ๆ
และเพราะไม่พยายามฆ่ารึเปล่านะ ทหารเหล่านั้นจึงไม่ใช้ปืนและเปลี่ยนเป็นดาบวิ่งเข้าหาเคียร่าแทน
‘ฉันจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ—’
ฉันที่ส่งเสียงร้องพลางพยายามลุกไปหาเคียร่าอีกครั้ง รู้สึกถึงบางอย่างที่โอบล้อมคอและแรงฉุดไปทางซ้ายอย่างรุนแรง
ทหารรอบ ๆ ใช้ปลอกคอเหล็กขนาดใหญ่ล็อกคอของฉันแล้วดึงด้วยโซ่นั่นเอง ใครจะไปยอมกัน— อุ
ในขณะที่ฉันกำลังจะพ่นลมหายใจอีกรอบ ก็มีเหล็กแบบเดียวกัน ลอยสูงขึ้นมาและรัดแน่นที่ปากของฉันอย่างพอดี พร้อมทั้งทหารอีกจำนวนมากที่เข้ามาช่วยดึงโซ่ จนร่างฉันโดนกดลงกับพื้น
“ริเกล!! ชิ”
เคียร่าที่แม้จะตะโกนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่อาจมาช่วยได้เพราะว่าทหารที่วิ่งเข้าไปโจมตีนั้นถึงตัวเธอแล้ว และอาจจะเป็นเพราะว่าไหล่ซ้ายได้รับบาดเจ็บหนัก เธอในตอนนี้จึงต้องต่อสู้โดยใช้แค่แขนขวาข้างเดียว
ในตอนที่หอกกลับมาอยู่แนบลำตัวอีกครั้ง เคียร่าก็มองไปทางขวาพร้อมทั้งบิดข้อมือให้หอกอยู่แนวนอน และใช้ส่วนท้ายของหอกทิ่มเข้าที่ตัวทหารทางขวา ก่อนจะเด้งกลับมาใช้ปลายหอกแทงทะลุร่างของทหารทางซ้าย
แต่หลังจัดการทหารสองคนแรกได้พร้อมกับโอเรลที่เว้นระยะห่างนั้น ก็ยังมีทหารเข้ามาอีกไม่หยุดไม่หย่อน เธอหยุดเท้ายืนอยู่กับพื้นอย่างหนักแน่น
“—”
คำร่ายภาษาโบราณออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งลมที่โหมกระหน่ำและห่อหุ้มปลายออกเอาไว้ ก่อนที่เคียร่าจะเริ่มควงหอกด้วยมือเพียงข้างเดียว
“อ๊าก!!”
ทหารรอบ ๆ ส่งเสียงร้องออกมา เพราะการหมุนหอกของเคียร่านั่นปล่อยลมที่คมเป็นใบมีดออกมา และเฉือนเลือดเนื้อของผู้ที่เข้ามาใกล้
ไม่นานการโจมตีนั้นก็หยุดลงเพราะว่าการโจมตีเพียงแบบเดียวไม่อาจหยุดศัตรูได้ เธอใช้สายตามองไปรอบทิศอย่างรวดเร็วเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ ก่อนจะขยับเท้าและแขนไปพร้อมกัน
ทั้งฟัน แทง ปัด เธอทำทุกอย่างด้วยแขนเพียงข้างเดียวและตัวคนเดียว จนรอบตัวมีกองซากศพจำนวนหนึ่งกองอยู่ ยังไม่รวมคนที่บาดเจ็บจนสู้ต่อไม่ไหงแล้วอีกจำนวนมาก
นั่นคือความสามารถของเคียร่า…และขีดจำกัดด้วย
“แฮ่ก แฮ่ก…เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
เคียร่าใช้หอกปักลงกับพื้นแล้วจ้องเขม็งไปที่โอเรล หลังจากการต่อสู้ผ่านไปจนแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา ก็ถึงขีดจำกัดของเธอทำ ให้หอบหายใจออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย
ทหารที่เหลือเพียงน้อยนิดเองก็เริ่มลังเลที่จะเข้าโจมตี พวกเขามองเธอด้วยสีหน้าไม่ต่างกับเจอสัตว์ร้าย…ยกเว้นโอเรล ที่รู้ได้ทันทีว่านั่นคือขีดจำกัดของเธอ
“ฉันคิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันซะอีก…”
“ใช่…ฉันก็ ‘เคย’ คิดแบบนั้น”
“ถ้างั้นทำไม…!!”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่ ก็มีทหารเข้ามาจากด้านหลังเคียร่า เธอจึงหันกลับไปแทงกลับ แต่ว่า
“อึก…”
‘เคียร่า!!’
ฉันที่เห็นว่าร่างของเธอโดนดาบจากโอเรลเสียงทะลุจากด้านหลัง ก็เบิกตาโพล่งและพยายามดิ้นสุดแรง แต่ สู้แรงที่โดนจับเอาไว้ไม่ได้เลย เหมือนว่ามันจะมีเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้ขัดขืนได้ยากอยู่
“เพราะเธอไม่เคยรู้อะไรเลยไงล่ะ”
‘เกร๊ง!’
หลังเสียงของหอกในมือเคียร่าร่างลงที่พื้นนั้น มีเพียงความเงียบที่เหลือเพียงเสียงของเลือดเคียร่าซึ่งหยดลงจากปลายดาบของโอเรล
เธอกัดฟันแน่นพร้อมทั้งเลือดที่กระอักออกมา โดยพยายามใช้มือเอาดาบที่แทงทะลุร่างออก แต่สุดท้าย เธอก็หมดสติลงเพราะอาการบาดเจ็บ
‘ไม่!! ปล่อยฉันนะเว้ย!!’
ฉันที่เห็นแบบนั้นโกรธจนแทบคลั่ง แต่ปลอกคอที่รัดคอกับปากของฉันไว้ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น โอเรลเห็นแบบนั้นจึงแสยะยิ้มออกมาพร้อมเงามังกรด้านหลัง เขาดึงดาบออกจากตัวเคียร่าและโยนไปให้ทหารแถวนั้นจัดการต่อ
“ใจจริงฉันอยากฆ่าแกให้ตายตรงนี้แล้วพากลับไปแค่เคียร่า…แต่ราชาต้องการตัวแกแบบเป็น ๆ รอดตัวไปนะแก..”
‘อ๋อเหรอ งั้นหุบปากเน่า ๆ ของแกไปเลยไป๊!! ไอ้เศษเดนนรกเอ้ย!!”
ฉันส่งเสียงขู่คำรามออกมาจากลำคอและแยกเขี้ยวขู่ใส่เขา พร้อมทั้งดิ้นจนเกิดเสียงของโซและเหล็กเสียดสีกัน ทำให้หมอนั่นหัวเราะออกมาอีกรอบ และสั่งให้ทหารพาตัวพวกฉันไป…ยังไม่ตาย ฉันสังเกตเห็นว่าพวกนั้นพาตัวเคียร่าไปด้วย เธอยังหายใจอยู่
คอยก่อนเถอะไอ้โอเรล…ฉันจะต้องขยี้แกด้วยตัวฉันให้ได้!