การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 23

บทที่ 23 ขุนนางตกอับ

 

ข้ามีชื่อว่า สเตฟานี่ เอเลซิส เป็นบุตรีแห่งตระกูลขุนนางที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์ ด้วยเพราะเคยมี มหานักเวท (เป็นรองแค่พาลาดิน) ปรากฏขึ้น

แม้จะไม่ได้อยู่ระดับพาลาดินที่เป็นจุดสูงสุด แต่ทว่าในความจริงแค่ระดับ มหานักเวท ก็เพียงพอที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศได้

เพราะแม้พาลาดินจะมีห้าคนเท่านั้น แต่ว่ามหานักเวทเองก็มีไม่ถึงสิบคนเช่นกัน ดังนั้นตระกูลของข้าจึงเป็นที่โด่งดังกว้างขวาง

แต่ว่าหลังจากท่านมหานักเวทในตระกูลข้าถูกลอบสังหารอย่างปริศนา ทำให้ตระกูลข้าถูกขุนนางและราชวงศ์กดดันจากทุกทิศทาง

จนเริ่มที่จะสูญเสียความมั่งคั่ง และเริ่มที่จนตรอกอย่างมาก ท่านพี่ของข้าก็ไม่ใส่ใจตระกูล ออกไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่

เหลือเพียงข้าเท่านั้นที่ต้องแบกรับภาระตระกูล แม้ฐานะจะตกอับแต่ด้วยความที่มีสิ่งนี้ ทำให้เข้าเรียนโรงเรียนเขตพิเศษได้

ข้ามองไปยังหนังสือ.. ไม่สิ มันคือคัมภีร์เล่มหนึ่ง คัมภีร์เล่มนี้สลักบนปกด้วยตัวอักษรคำว่า ‘คัมภีร์แห่งสัจจะ’ แม้ว่าข้าจะยังใช้พลังของคัมภีร์แม้จะเป็นอักษรรูนเพียงหนึ่งอักษร

แต่ทว่าคัมภีร์เล่มนี้ก็คือคัมภีร์ที่ท่านปู่ มหานักเวทสร้างขึ้น.. การที่จะเพิ่มระดับในฐานะจอมเวท คือการศึกษาค้นคว้า.. และจอมเวทระดับมหานักเวทนั้น

ต้องครอบครองคัมภีร์แห่งรูนอย่างน้อยหนึ่งเล่ม ท่านมหานักเวทในตระกูลข้านั้นแม้มีเพียงคัมภีร์หนึ่งเล่ม

แต่พลังของรูนแห่งสัจจะนั้น สามารถเอาชนะคัมภีร์อื่นได้อย่างง่ายดาย ต่อให้มีคนที่ถือครองคัมภีร์มากกว่าหนึ่งก็ไม่อาจจะเอาชนะ มหานักเวทแห่งตระกูลข้าได้

แต่ความจริงที่ว่าตระกูลข้าตกอับก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะช่วยให้ตระกูลกลับมารุ่งโรจน์ ข้าจะต้องเรียนในโรงเรียนลิเบอร์ให้จบ

และใช้คัมภีร์เวทแห่งสัจจะของท่านปู่ (มหานักเวท) ให้ได้ เมื่อใช้ได้ข้าก็จะถูกนับว่าเป็นมหานักเวทเทียม

แม้จะไม่ใช่มหานักเวทจริง เพราะใช้คัมภีร์แห่งรูนที่สืบทอดมา แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับการอยู่เหนือจอมเวทระดับสูงแล้ว

แต่ว่า ข้าที่กำลังเดินทางไปยังโรงเรียนเขตพิเศษคนเดียว เพราะตระกูลข้านั้นไม่ได้มีเงินขนาดที่จะจ้างวานรถม้าข้ามทวีป

ข้าจึงติดมากับพ่อค้า แต่ก็ต้องผลัดเปลี่ยนมาเรื่อยๆ ไปๆ มาๆ โดนโจรไล่ล่าซะอย่างนั้น

ถึงข้าจะฝึกเวทมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยใช้เวทมนตร์จริงๆ ทำให้ข้าไม่สามารถสู้โจรพวกนี้ได้เลย ดูเหมือนพวกมันจะใช้เวทต่อสู้ระยะประชิด

ดังนั้นถ้าข้าวิ่งหนีทิ้งระยะห่างมันก็ทำอะไรข้าไม่ได้ แต่นั่นมันแค่คำพูดในตำรา ในสถานการณ์จริงบางอย่างกลับไม่ครอบคลุม

มันปามีดใส่ขาข้าจนรู้สึกแปลบไปทั้งตัว จนล้มไปกองกับพื้น ด้วยความที่ข้าไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อนพอหันกลับไปมองก็เห็นว่าเส้นเอ็นข้อเท้าขาด

แสงไฟจากสุดป่าส่องสว่างขึ้น ข้าเห็นว่ามีคนอยู่เลยพยายามร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่มันกับโดนทับหลังข้าจนหายใจไม่ออก

“อ่อก!”

มันคิดว่าข้าเป็นขุนนางเลยพยายามจะจับข้าไปเรียกค่าไถ่ นั่นคือสิ่งที่ข้าสรุปได้แม้จะทรมานข้อเท้าก็ตาม

ถึงข้าจะเป็นขุนนาง แต่ตระกูลข้าก็ไม่ได้รวย ขนาดบ้านยังไปอาศัยอยู่บ้านไม้พังๆ เลยในปัจจุบัน จะมีเงินที่ไหนมาให้ช่วยข้ากันละ?

ข้าเริ่มน้ำตาไหลและตะโกนขอความช่วยเหลือ.. จนสายตาหันไปเห็นพุ่มไม้สั่น มันสั่นเบามากแล้วมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หัวขึ้นมามอง

เพราะข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรับรู้เลยเห็นเด็ก เธอมีใบหน้าเหมือนเด็กอายุน้อยกว่าข้า ดูเหมือนเธอจะอายุสิบสองเท่านั้น

(ร่างกายเลทิเซียหยุดเติบโตตอนอายุสิบสอง เพราะเทพธิดา)

ข้าเริ่มกังวลถ้าเด็กผู้หญิงคนนี้โผล่มามันแย่กว่าเดิมแน่ ข้าเลยดึงดูดความสนใจพวกมันโดยการดิ้นแรงขึ้น

อันที่จริงข้าก็ไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้น แต่ว่าตรงหน้ามีเด็กที่ไม่รู้เรื่องมาเห็นคงจะแย่มาก ข้าได้แต่หวังไม่ให้เธอโผล่ออกมา

แต่พอคิดแบบนั้นเอง ร่างของเด็กผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะส่องแสงออกมา.. เสริมพลังด้วยเวทเหรอ? ไม่สิเวทมนตร์ของมนุษย์การเสริมพลังด้วยเวทจนเกิดแสงพลังงานเยอะแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้

แต่ในแทบจะพริบตานั้นเด็กผู้หญิงคนนั้นก็หายวับไปแล้วแทบจะทันทีที่หายไปก็มีเสียงร้องของโจรว่า “อะไร?”

ก่อนที่จะได้ยินร่างล้มลงกับพื้น แต่ข้าหันไปดูไม่ได้ ชายที่กดข้าลงพื้นก็เหวี่ยงหมัดตอบโต้ แต่ก็ถูกเตะจนเกิดเสียง “กร็อบ”

เอ๊ะ.. นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ข้ารีบพลิกตัวกลับไปก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ข้างๆ มีร่างของชายสองคนนอนอยู่ภาพนี้สยองไม่น้อย

เพราะใบหน้าของชายสองคนไม่มีร่างที่นอนบนพื้นนั้นข้าสามารถมองทะลุเห็นผ่านรูบนหัวได้เลย

ก่อนจะหันไปเห็นชายร่างใหญ่ ที่ตอนนี้ร่างบิดไปมาและผิวหนังฉีกขาดจนเลือดไหลซึม ภาพนี้ทำเอาข้ารู้สึกจนคำพูด

และอ้วกออกมา.. แน่นอนว่าภาพนี้มันโหดร้ายเกินไป.. พอข้าอ้วกออกมาเด็กผู้หญิงคนนั้นก็มีสีหน้าปกติเหมือนกับว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญ

(ทักษะ ตีหน้านิ่ง ที่เคยฝึกมาในชาติก่อน)

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

เธอถามข้าแบบนั้น.. แต่เพราะสิ่งที่เกิดมันน่ากลัวเกินไป ข้าเลยถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ก็รู้สึกเจ็บขาขึ้นมา

ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะสังเกตเห็นขาของข้า ก่อนจะก้มลงและใช้พลังเวทรักษาให้ข้า จนทำเอาข้าอ้าปากค้าง.. เด็กคนนี้..ใช้รูนได้เหรอ?!

การใช้เวทรักษาแบบนี้อย่างน้อยต้องสร้างรูนขึ้นมาก่อน และการแทรกแซงที่รักษาได้อย่างน้อยก็ต้องมีรูน

ดังนั้นเมื่อกี้เธอใช้รูน?!

แต่ยังไม่แนะนำอะไรเธอเหมือนจะขมวดคิ้วและ หายวับไปอย่างลึกลับ.. นี่มัน..เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

………….

ฉัน.. หลบหน้าออกมาหลังจากช่วยเธอคนนั้นเสร็จ ก่อนจะอ้วกแตกยกใหญ่.. บ้าไปแล้ว พลังเวทมันจะแรงไปไหมให้ตายสิ!

เมื่อกี้ฉันใช้พลังเวทปีศาจแทบทั้งหมดในการโจมตี ไม่คิดว่ามันจะทำร้ายมนุษย์ได้ขนาดนี้ แต่เวทมนตร์ที่ใช้รักษาคือเวทมนุษย์

แน่สิ ใครจะไปรู้ถ้าใช้เวทปีศาจรักษาอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก ฉันควรระวังการใช้เวทปีศาจให้มากกว่านี้

พอนึกถึงคลื่นพลังกระแทกหน้าจนเป็นรู ฉันก็อ้วกของที่กินไปออกมาอีกรอบ.. ให้ตายสิ แบบนี้ดีแล้วใช่ไหมพี่

จะว่าไปที่ทำหน้านิ่งเพราะว่า ถ้าไม่ทำฉันคงเผลออ้วกแตกแน่ๆ และด้วยความที่ฉันกลัวจะไปมีเรื่องกับผู้หญิงคนนั้นอีก

เลยแกล้งทำเป็นขมวดคิ้วและหลบฉากออกมา แน่นอนล่ะ ถ้าผู้หญิงคนนั้นวางแผนทำอะไรขึ้นมาจริงๆ คงยุ่งยากไม่น้อย…

ถึงฉันจะกลัวแต่ฉันก็ไม่กล้ายิงพลังเวทใส่คนอื่นแบบนั้นนะ ที่ยิงใส่เพราะคิดว่าจะกระแทกหน้าจนสลบเท่านั้นเอง

ใครจะไปคิดกันล่ะว่ามันจะแรงขนาดนี้… ฉันกลายเป็นฆาตกรไปแล้วนะพี่! แบบนี้ฉันคงไม่โดนจับใช่ไหม?!

ไม่สิ… ฉันเป็นองค์หญิงที่ไม่ใช่องค์หญิงเพราะแค่ถูกเก็บมาเลี้ยง อาจจะมีใครไม่พอใจฉันอยู่ และใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการเฉดหัวส่งก็ได้

ก็นั่นไงมีออกบ่อยไปในหนังในนิยาย แม้แต่ในความจริงที่แบบว่ามีคนจ้องจะจับผิด แล้วพอเราผิดครั้งหนึ่งก็จะเล่นเอาซะหนักๆ แบบ

ไม่ดีนั่น ไม่ดีนี่.. ฉันถึงกับขมวดคิ้ว… ถ้าถูกเฉดหัวส่งจริงๆ ฉันคงไม่มีที่ไปแน่ๆ ไม่ดี ถึงจะเตรียมตัวรับทุกสถานการณ์

แต่ทางที่ดีกว่าคือการไม่ถูกเฉดหัวส่ง.. ว่าแล้วฉันก็แอบย่องกลับไป.. ฉันถอนหายใจโล่งอกเพราะผู้หญิงคนนั้นหลบหนีไปแล้ว

แต่เธอไปที่ไหนกันนะ.. ฉันขมวดคิ้วคิด.. แต่ก็รีบไปขุดหลุมและรีบฝังศพจนเสร็จศัพท์…

เรียบร้อย.. ในตอนนี้ฉันกลายเป็นฆาตกรอำพรางศพโดยสมบูรณ์แบบ

คิดได้แบบนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมา เลยสร้างธูปขึ้นมาสามดอกและจุดธูปก่อนจะพนมมือ

“อันนี้ฉันไม่ผิดนะ.. พวกนายตัวบางเอง”

เอ้ย.. ไม่ควรพูดแบบนี้สิ

“ไปสบายนะ..”

ไม่สิ.. คงไม่สบายสินะ ก็คนหนึ่งโดนหักกระดูกจนตายอีกสองคนโดนยิงทะลุหน้า นี่มันจะสบายได้ไงล่ะ

อืมม.. และฉันก็หาวิธีอธิษฐานไม่ได้จนธูปหมดดอก ฉันรีบดึงธูปออกและทำลายหลักฐานทิ้ง ..

เออ แล้วฉันจะปักธูปทำไมเนี่ยทั้งๆ ที่จะปกปิดหลักฐานโดยสมบูรณ์แบบแท้ๆ นะ

 

……………..

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!
Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset