การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 52

บทที่ 52 – พี่…

 

“ถึงจะกะทันหันไปหน่อย แต่เธอคือนักเรียนใหม่ที่มาสอบช้ากว่าคนอื่น ทำให้การจัดระดับต่างๆ ล่าช้ากว่าคนอื่น”

ข้าเลวิเนียกำลังอยู่ในห้องเรียนสำหรับการเปิดเรียนวันแรกแต่ก็มีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาซะแล้ว ในขณะที่ข้ากำลังสนใจเธอนั้น

เธอคนนั้นมีผมสีดำเหมือนสีผมของท่านพี่ แต่ดูจากลักษณะคงต่างเชื้อชาติกัน ผมของเธอไม่ได้ยาวมากนัก

แต่สีหน้าดูเป็นมิตรมาก อย่างน้อยสำหรับข้าก็คิดว่าเป็นคนเข้าหาง่ายคนหนึ่งเลยแหละ ในขณะที่ทุกคนกำลังมองไปที่เธอคนนั้น

ด้านหลังข้าที่เป็นที่นั่งของท่านพี่ๆ จู่ๆ ก็มีเสียงผุดลุกขึ้น ทำให้ข้าหันไปมองท่านพี่ที่ผุดลุกเร็วจนเก้าอี้ด้านหลังล้มลงไป

ทุกคนจึงหันมาสนใจท่านพี่อย่างพร้อมเพรียง ในขณะที่ท่านพี่ทำสีหน้าตกใจแล้วกลัว.. ทำเอาข้างงไปในทันที

ตลอดสิบปีที่ผ่านมาท่านพี่กับข้าอยู่ด้วยกันบ่อยมาก ข้าไม่เคยเห็นท่านพี่ทำสีหน้าแบบนี้มาก่อน

จริงอยู่ที่ท่าทางของท่านพี่ค่อนข้างกังวลเกินเหตุไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยแสดงสีหน้าตื่นตกใจและกลัวแบบนี้มาก่อน

ข้ารู้ยิ่งกว่าใครว่าท่านพี่น่ะแข็งแกร่งทั้งจิตใจและพลัง ไม่มีทางที่จะมีคนทำให้ท่านพี่สับสนได้แบบนี้นี่น่า… แม้แต่ตัวข้าเองก็….

“ลูเซีย…”

ท่านพี่ส่งเสียงเรียกออกมาอย่างสับสน ทำให้ชาร์ล็อตที่อยู่ข้างๆ สีหน้าแปลกไป ข้าสังเกตเห็นได้ทันทีว่าเธอแสดงสีหน้าประหลาด

แต่ในขณะนั้นเองท่านพี่เหมือนจะได้สติแล้วพยายามนั่งลงที่เดิมทำให้บรรยากาศกลับมาสงบ เพราะว่านอกจากข้าแล้วชาร์ล็อตแทบจะไม่ได้ยินคำพูดท่านพี่เลย

“ท่านพี่.. เป็นอะไรหรือเปล่า…”

“อะ.. อืม..พี่ไม่เป็นไร”

เธอตอบข้ากลับมาแบบนั้นแต่มือที่วางอยู่บนโต๊ะยังคงสั่นเหมือนเดิม.. ท่านพี่เป็นอะไรกันแน่คะ..

ในขณะนั้นเองอาจารย์ก็หันไปพูดกับเด็กผู้หญิงที่มาใหม่ซึ่งข้าเองก็ได้ยิน มีแค่ท่านพี่ที่เหมือนจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“เอาล่ะ แนะนำตัวสิ”

“ค่ะ… ฉันมีชื่อว่าลูเซีย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

ข้าถึงกับอึ้ง.. ลูเซีย? นั่นมันชื่อที่ท่านพี่เรียกเมื่อกี้ เธอไปรู้จักกับท่านพี่ตอนไหนกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้เลย

ก็ถ้าไม่รู้จักกัน ท่านพี่ก็ไม่น่าจะรู้จักชื่อของอีกฝ่ายนี่น่า ดังนั้นนี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ข้าหันกลับไปมองท่านพี่

สีหน้าของท่านพี่ในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก ดวงตาของเธอเบิกกว้างก้มลงมองที่โต๊ะ ปากพึมพำภาษาที่ข้าไม่รู้จัก

เห็นแบบนี้ข้าก็ตกใจ ท่านพี่พูดภาษาอะไร เห็นแบบนี้ข้าก็รู้จักมากกว่าหนึ่งภาษานะ แถมภาษาโบราณก็ยังพออ่านออก

แต่ภาษาที่ท่านพี่พูดเป็นภาษาที่เข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย มันหมายความว่ายังไงกันแน่?

แต่แม้ข้าจะคิดยังไงก็หาคำตอบไม่ได้นอกจากคิดว่าท่านพี่อาจจะไปเจอหนังสือที่ไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์

เพราะปกติท่านพี่อ่านหนังสือเล่มไหนข้าก็จะอ่านตามด้วย… ก็เป็นเรื่องปกติของพี่น้องแหละที่เป็นแบบนี้น่ะแหละ

หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มเรียน ดูเหมือนว่าครูประจำชั้นของพวกเราจะเป็นครูที่พาข้าไปสอบเข้าโรงเรียนนั่นคือคนที่ชื่อชิสุ

วันแรกไม่ได้มีการสอนอะไรมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นการตั้งแนวทางการเรียนแต่ก็มีเนื้อหาการเรียน

อย่างการกล่าวถึงเวทมนตร์นั้นไม่จำกัดแค่ใช้พลังเวทออกไปโต้งๆ ยังมีวิธีการใช้ในรูปแบบของการเล่นแร่แปรธาตุ

การสร้างคำสาปหรือพวกการทำให้ติดความรู้สึกแปลกๆ ไปจนถึงการลวงตาอีกฝ่าย เวทมนตร์นั้นมีความเป็นไปได้ไร้ที่สิ้นสุด

มันสามารถเป็นไปได้ทุกอย่าง นี่ไม่ใช่แค่สำหรับเวทมนุษย์หรือเวทปีศาจ แต่เหมารวมทั้งหมดนิยามคำว่าเวทมนตร์นั้นไร้จุดสิ้นสุดอย่างแท้จริง

“อาจารย์คะ ทำไมพวกเราทั้งที่อยู่ต่างเผ่าและมีวิธีการใช้เวทมนตร์คนละแบบโดยสิ้นเชิงถึงอยู่ห้องเดียวกันคะ?”

นั่นคือคำถามที่ข้าถามออกไปในขณะที่กำลังสงสัย อาจารย์ชิสุก็ตอบกลับมาทันทีว่า

“ตั้งคำถามได้ดีคุณเลวิเนีย เอาล่ะ…เหตุผลที่ต้องอยู่ห้องเดียวกับนั้นเพื่อสร้างสมดุลและสร้างความเชื่อเนื้อเชื่อใจระหว่างต่างเผ่าซึ่งจะเป็นผลดีในอนาคต”

“อย่างไรก็ตามจริงอยู่ที่เวทมนตร์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากสอนเวทมนตร์มนุษย์ เผ่าอื่นอาจจะงง สอนเวทมนตร์เผ่าปีศาจ เผ่าอื่นเองก็อาจจะงง”

“ทว่าที่เราจะสอนนั้นหาใช่นิยามเวทมนตร์ของเผ่าไม่? ที่เราจะสอนนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘นิยามของเวทมนตร์’ ไม่ใช่เวทมนตร์ประจำเผ่า”

“เอาล่ะในห้องนี้มีใครรู้หรือไม่ว่าเวทมนตร์คืออะไร?”

อาจารย์ชิสุถามแบบนั้น และทุกคนในห้องก็ยกมือขึ้นและแย่งกันตอบว่า เวทมนตร์คือการสร้างสำหรับเผ่าปีศาจ

เวทมนตร์คือการแทรกแซงสำหรับเผ่ามนุษย์ เวทมนตร์คือการร้องขอธรรมชาติจากเผ่ากึ่งมนุษย์

และเวทมนตร์คือการปักใจเชื่อจากเผ่าอสูร.. อาจารย์ชิสุก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง

“จริงอยู่ที่มันเป็นแบบที่พวกเธอพูด.. แต่มันถูกแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น!”

“เหตุผลที่พลังของพวกเธอแตกต่างตามเผ่าพันธุ์แต่ยังถูกนิยามว่าเวทมนตร์เหมือนๆ กันไปหมดนั้นคืออะไร พวกเธอเคยตั้งคำถามกับมันไหม?”

แน่นอนข้าคิดว่ามันเป็นเพราะพลังงานชนิดเดียวกันแต่แค่วิธีใช้กลับแตกต่างออกไปเท่านั้น …?

ข้าคิดแบบนั้นน่ะนะ อาจารย์ชิสุจึงพูดขึ้น

“จะว่าเพราะพลังงานชนิดเดียวกันก็ถูก และเหตุผลอีกอย่างคือมันกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกันแต่ว่าถูกใครสักคนแบ่งแยกสิ่งเหล่านี้ออกจากการโดยใช้ตรรกะ ‘เผ่า’ แยกออกนั่นเอง”

“ดังนั้นสุดท้ายแล้วเวทมนตร์ก็เหมือนกันหมดแตกต่างแค่เพียงวิธีใช้งานก็เท่านั้น!”

แล้ว..ใครเป็นคนกำหนดกัน? นั่นคือคำถามที่ข้าสงสัยหลังจาดอาจารย์ชิสุบอกกับพวกเราแบบนั้น อาจจะเป็นเทพธิดา?

หรืออาจจะเป็นคนที่อยู่สูงกว่านั้น? อย่างไรก็ตามในขณะนั้นก็มีเสียงระฆังบนหอนาฬิกาก็ดังขึ้น มันดังกังวานเป็นพิเศษแสดงให้เห็นถึงการพักเที่ยง

“ถึงฉันจะอยากพูดเกี่ยวกับเวทมนตร์ แต่ถึงเวลาพักแล้วเจอกันวิชาวิทยาเวทในครั้งหน้าฉันจะอธิบายให้พวกเธอเอง”

ว่าแล้วเธอก็เดินออกไปจากห้องเรียนในตอนนั้นทุกคนก็เริ่มเตรียมตัวไปโรงอาหารแต่ในตอนนั้นเอง

ท่านพี่ก็ลุกขึ้นทันที

“ท่านพี่..?”

ข้าสงสัยแต่ท่านพี่ไม่ตอบข้าเธอเดินไปยังที่นั่งของนักเรียนที่ชื่อว่าลูเซียนั่น พอเธอเดินไปถึงเด็กผู้หญิงที่ชื่อลูเซียก็เงยหน้าขึ้น

“เอ่อ.. มีอะไรงั้นเหรอคะ?”

“ช่วยมาคุยด้วยกันหน่อย”

ท่านพี่พูดแบบนั้นข้าถึงกับตกใจทันที? ท่านพี่ทักคนอื่นนี่ว่าแปลกแล้วแต่ชวนคุยนี่มันเป็นเกินไปหน่อยแล้ว?

ข้ารู้สึกสงสัยมาก แต่คนที่ชื่อลูเซียนั้นเองก็เหมือนจะแปลกใจไม่แพ้กัน แต่เธอก็มีมิตรสัมพันธ์ที่ดีเธอตอบท่านพี่

“ได้ค่ะ”

แล้วก็เดินออกไปจากห้องพร้อมกัน ชาร์ล็อตและคนอื่นๆ กำลังสนใจแต่เก็บข้าวของมีแค่ข้าที่เห็นสิ่งนี้

หรือว่าเธอคนนั้นคือคนประเภทที่ท่านพี่ชอบ.. ไม่สิ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกท่านพี่มีข้าอยู่แล้วนี่น่า

ด้วยความสงสัยข้าเลยกัดฟันเดินตามท่านพี่ไปด้วย แต่เพราะไม่อยากให้ท่านพี่รู้เลยแอบตามไปห่างๆ

พวกเธอทั้งสองเดินไปยังหอนาฬิกา ก่อนจะเดินขึ้นไปบนหอ นาฬิกา ข้าเดินตามขึ้นไปจนมาหยุดอยู่ชั้นสูงสุดที่มีระฆังสีทองขนาดใหญ่

และมีพื้นที่เปิดโล่งเห็นวิวทั่วทิศทาง.. ในที่สุดพวกท่านพี่ก็หยุดลง ท่านพี่เดินเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของลูเซีย

“ลูเซียทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?!”

ท่านพี่แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมาอีกแล้ว ข้าตกใจท่านพี่รู้จักกับเธอคนนี้งั้นเหรอ มาอยู่ที่นี่? เอ๊ะ.. นี่มันหมายความว่าไง

“เอ๊ะ.. เอ่อ.. ฉันเจ็บนะคะ”

เธอเหมือนจะตกใจและรู้สึกเจ็บก่อนที่จะมองหน้าท่านพี่แล้ว แล้วท่านพี่ก็พูดอะไรแปลกๆ ออกมา

“พี่เองไงลูเซีย! เรนไง ทีนี้บอกมาได้แล้วลูเซียเธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง?!”

พี่… ร่างกายของข้าแข็งทื่อ.. พี่.. หมายความว่าไง.. ชื่อเรน.. หมายความว่าไง… ข้าเป็นน้องท่านพี่ไม่ใช่เหรอ ….?

“เอ่อ.. ฉันเจ็บนะคะ.. เรนงั้นเหรอคะ?”

“ใช่.. ฉันคือพี่ชายของเธอไง เรนน่ะ ถึงจะแปลกๆ ที่มาอยู่ในรูปร่างแบบนี้ก็เถอะแต่ฉันเป็นเรนจริงๆ!”

พี่ชาย..? นี่มันหมายความว่าไง..? ท่านพี่ดูลนลานมากเลยทีเดียว.. จู่ๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นว่า..

“พี่ชาย..? เอ่อ.. ขอโทษนะคะ.. ฉันไม่มีพี่ชายและไม่รู้จักคนที่ชื่อเรนเลยนะคะ คุณ..เป็นใครงั้นเหรอคะ?”

 

………………….

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!
Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset