ตกดึก คนในเมืองต่างกลับบ้านกลับช่อง คนที่อาศัยอยู่ในบ้านก็ปิดประตูสนิท คนที่อาศัยอยู่ในกระท่อมก็หลบซ่อนตัวเองหลังม่านประตู
พอเริ่นเสี่ยวซู่กลับมา เขาก็ได้ยินว่ามีชายที่ทำงานในโรงงานผลิตยางโดนแทงตายระหว่างขากลับมาบ้าน เห็นลือกันว่ามีคนรู้กิจวัตรการเก็บเงินของเขา เลยเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น
คนในเมืองต่างอาศัยอยู่ด้วยกัน อย่างเพื่อน พี่น้อง คู่รักจะอาศัยอยู่ใกล้กันเพื่อที่จะได้ช่วยกันดูแลยามค่ำคืน ทำแบบนี้จึงจะเกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย และนี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนจับกลุ่มกันตอนแรกด้วย
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่ต้องเสียชีวิตไปด้วยฝีมือคู่หูตัวเองเช่นกัน
ซึ่งคนที่ลงมือก็ช่างสายตาแคบสั้น ไม่รู้เลยว่าหลังจากทำร้ายคู่หูตนแล้ว จะทำให้ไม่มีใครเชื่อมั่นในตนอีก และผู้จู่โจมที่ต้องหัวเดียวกระเทียมลีบย่อมไม่อาจมีจุดจบที่ดีไปได้
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่ในกระท่อม คลี่ผ้าพันแผลที่มือออก พอเห็นสภาพแผลแล้วก็ขมวดคิ้ววูบ เนื้อแผลเป็นสีแดงคล้ำ อาการบ่งบอกถึงการอักเสบ พอเขาเห็นเหยียนลิ่วหยวนเดินเข้ามา ก็รีบพันผ้ากลับไป
“พี่ อาการบาดเจ็บเป็นไงบ้าง” เหยียนลิ่วหยวนถาม
“ไม่เป็นไรแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบเสียงนิ่ง
“ไม่เชื่อ เอามาดูหน่อย” เหยียนลิ่วหยวนพยายามแกะผ้าที่เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งพันกลับไปใหม่
“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรไง” เริ่นเสี่ยวซู่ผลักตัวเหยียนลิ่วหยวนออก “ถ้าอาการแย่ลงเดี๋ยวไปซื้อยามาเอง”
“อย่ามาโกหกผมนะ รอบที่แล้วก็ทนไปทั้งอาการแย่ด้วยนี่” เหยียนลิ่วหยวนพูดอย่างรู้สึกผิด
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “วางใจเถอะ ฉันไม่เอาชีวิตตัวเองไปเป็นเรื่องล้อเล่นหรอก”
ในธรรมชาติ สัตว์นักล่าไม่ออกล่าตามใจ เพราะมันเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง อาการบาดเจ็บแม้จะเล็กน้อยเพียงไร ก็สามารถทำให้ชีวิตตนสูญสิ้นได้
ขนาดสัตว์ยังเข้าใจ เริ่นเสี่ยวซู่จะไม่เข้าใจได้อย่างไร
“อ๊ะ พี่ ใต้เก้าอี้มีมันฝรั่งสองหัวซ่อนไว้ด้วยแหละ อ้า มียาอยู่สามเม็ด นี่มันยาแก้อักเสบที่พี่อยากซื้อวันนี้นี่นา ดูเหมือนกับที่เราเห็นที่ร้านเลยนะ” เหยียนลิ่วหยวนพูดอย่างประหลาดใจ “พี่เอามาเก็บไว้นี่เหรอ”
“ไม่ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว มองยาทั้งสามเม็ด “เป็นยาแก้อักเสบจริงๆ ด้วย”
“งั้นก็เป็นพี่เสี่ยวอวี้เอามาวางไว้ให้แน่เลย เธอเป็นคนเดียวที่ผมบอกเรื่องอาการบาดเจ็บของพี่” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม ยื่นหัวมันฝรั่งให้เริ่นเสี่ยวซู่ “พี่สาวเสี่ยวอวี้ดีกับพี่มากเลย ไม่แต่งกับเธอจริงเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่แทบกระอักเลือด “เปลี่ยนท่าทีเร็วดีนักนะ ตอนเธอให้ของกินก็สรรเสริญยกใหญ่ พอไม่มีอะไรก็พูดติฉินนินทาเธอ”
“แหะ แหะ” เหยียนลิ่วหยวนยกมันฝรั่งขึ้นมาสวาปามเสียงดัง ปกติแล้วพวกเขาไม่ค่อยได้กินข้าวเย็นกันหรอก เริ่นเสี่ยวซู่บอกว่าคนเราต้องกินอาหารเช้าร้อนๆ อาหารกลางวันเต็มมื้อ แต่การกินตอนกลางคืนจะไม่ดีกับร่างกาย
เป็นคำพูดที่ตกทอดมาตั้งแต่ก่อนยุคภัยพิบัติ แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีที่ปัจจุบันนี้ไม่กินอาหารเย็น ก็เพราะว่าพวกตนยากจนเกินไป
“พี่”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง ก่อนจะเห็นเหยียนลิ่วหยวนงุดหน้าต่ำ พูดเสียงแฝงความเศร้าสร้อยอยู่บ้าง เขาเลยถาม “เป็นอะไรไป”
“จำตอนที่พี่กลับมาหลังจากถูกฝูงหมาป่าโจมตีเมื่อปีที่แล้วได้ไหม มีคนแอบให้ยาเรามา พี่เลยเอาชีวิตรอดมาได้” เหยียนลิ่วหยวนพูด
“แหงสิว่าจำได้ ฉันคอยมองหาคนที่ช่วยเหลือพวกเราคนนั้นมาตลอด” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย
“อาจจะพี่สาวเสี่ยวอวี้ก็ได้ที่ให้ยาเราตอนนั้น” เหยียนลิ่วหยวนพูด “จุดที่เอายาไปซ่อนไว้เป็นจุดเดิมแน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในภวังค์ไป
เพียงพริบตา เริ่นเสี่ยวซู่แว่วเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก
มีคนไม่น้อยเลย
ยากมากที่จะเจอคนมาเดินกลางถนนในเมืองยามค่ำคืนแบบนี้ แต่เริ่นเสี่ยวซู่พอรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร และมาทำไมด้วย
…….
เหตุผลที่ทำให้พวกวงดนตรีต้องข้ามผ่านเขาจิ้งซานก็เป็นไปตามที่เริ่นเสี่ยวซู่คาดการณ์ไว้ พวกกองกำลังส่วนตัวมีอีกภารกิจหนึ่ง ผู้ปกครองป้อมปราการ 113 พบเจอข้อมูลที่พิสูจน์ได้ว่าเขาจิ้งซานเกิดขึ้นเพราะการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก ดังนั้นหมายความว่าที่นั่นคงมีของจากยุคก่อนภัยพิบัติอยู่
พวกเขารู้เรื่องเริ่นเสี่ยวซู่มาจากเหล่าหวังร้านขายของชำแล้ว ถึงจะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับ ‘อาการทางจิต’ อยู่บ้าง แต่พวกเขาลองไปถามจากแหล่งข้อมูลอื่นมาแล้ว ก็พบว่าไม่ว่าใครต่างก็บอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่คือนักนำทางที่ดีที่สุดของพวกเขาแล้ว
บางคนก็สงสัยนักว่าเริ่นเสี่ยวซู่นั้นล้ำเลิศอะไรนักหนา ถึงได้เป็นที่รู้จักในเมืองขนาดนี้!
พวกเขาที่สงสัยสุดๆ ก็ไปถามคนอื่นเพิ่มอีก สุดท้ายได้คำตอบคลุมเครือว่า เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนเดียวในเมือง 113 ที่สามารถรอดชีวิตกลับเมืองมาได้แม้จะโดนฝูงหมาป่าจู่โจม
เมื่อปีที่แล้วเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาจากการล่า เขาแทบจะตายอยู่หน้าประตู ทั้งร่างหลั่งโลหิตจากคมกรงเล็บหมาป่า
แม้ว่าคนในเมืองจะชั่วร้ายแค่ไหน ก็ไม่อาจลงมือทำเรื่องชั่วร้ายกับเด็กหนุ่มที่กำลังจะตายได้ ทุกคนเพียงนิ่งเฉยมองจากรอบนอกเท่านั้น
ถึงทุกคนจะคิดว่าสิ้นคืนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ก็คงได้ตายแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาสามารถรอดพ้นมาได้ แถมยังมีชีวิตอยู่จวบจนวันนี้
สมาชิกวงดนตรีสนใจนักว่าเด็กหนุ่มรอดมาได้อย่างไร เหล่าหวังยิ้ม และบอกว่าเป็นเพราะเหยียนลิ่วหยวนที่ไปคุกเข่าขออาหารตามบ้านเรือน สุดท้ายเริ่นเสี่ยวซู่ก็รอดได้ในที่สุด และดูเหมือนว่ามีคนให้ยากับเขาด้วย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร
ทุกคนในเมืองทราบดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่รอดพ้นความตายมาได้ แต่ทิ้งอาการป่วยที่ไม่อาจรักษาไว้ที่สมองนับตั้งแต่นั้นมา
“ว่าแต่ว่านะหวังฟู่กุ้ย” คนผู้หนึ่งในกลุ่มถามเหล่าหวัง “ ‘หัวของเขาไม่ปกติ’ นี่หมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไร พูดไปงั้นๆ เองแหละ” เหล่าหวังยิ้มจนริ้วรอยโผล่ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ไม่มีอะไรร้ายแรงมาก ดูสิ บ้านเขาอยู่ตรงหน้านี่เอง!”
เหล่าหวังที่กล้าออกมาเดินกลางถนนกลางค่ำกลางคืนแบบนี้เป็นเพราะว่ามาพร้อมกับผู้สูงศักดิ์จากป้อมปราการนั่นเอง ตอนที่พูดนั้นเขาตั้งใจพูดเสียงดัง ราวกับว่าตั้งใจให้ทั้งเมืองทราบว่าเขา เหล่าหวัง มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้สูงศักดิ์ในป้อมปราการ
“เสี่ยวซู่ ออกมาเร็ว มีแขกสูงศักดิ์มา” เหล่าหวังตะโกนด้วยเสียงหัวเราะ
ทันใดนั้นม่านประตูของกระท่อมก็ถูกปัดไปด้านข้าง
เริ่นเสี่ยวซู่เข้ามาคว้ามือเหล่าหวัง แล้วพูด “ยินดีด้วยนะ! ทั้งพ่อทั้งลูกปลอดภัยแล้ว! น้ำหนักทารกอยู่ที่ 3.24 กิโลกรัม!”
เหล่าหวัง “???”
เหล่านักดนตรี “???”
เหล่ากองกำลังส่วนตัว “???”
กลุ่มนักดนตรีกับพวกกองกำลังส่วนตัวหันขวับไปมองเหล่าหวัง ราวกับจะพูด แบบนี้เหรอที่เรียกว่าไม่เป็นไรน่ะ!
แล้วอีกอย่างนะ พ่อกับลูกปลอดภัยแล้วหมายความว่ายังไงหา มันต้องเป็นแม่กับลูกปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ!
กลุ่มนักดนตรีว่าอย่างหัวเสีย “หวังฟู่กุ้ย นายรู้ใช่ไหมว่าโกหกพวกเราแล้วจะเกิดอะไรขึ้น นี่เหรอที่นายบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก”
พูดจบ กลุ่มนักดนตรีก็สะบัดหน้าเดินจากไป พวกเขาอุตส่าห์หวังกับเริ่นเสี่ยวซู่ในตำนานไว้มาก แต่สุดท้ายกลับพบแค่คนบ้าคนหนึ่ง
ถึงว่าทำไมคนในเมืองต่างพูดว่าเริ่นเสี่ยวซู่สมองมีปัญหา พูดไว้ไม่มีผิดเลย!
Related