the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 36 บิดามารดาเฝ้ามองบุตรธิดาตนค่อยๆ ตายจาก

ในเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่สั่งเสียงหนักแน่นเช่นนี้ นักเรียนคนใดเล่าจะกล้าไม่ทำตาม

พวกนักเรียนเคยกลับบ้านไปบ่นความเลวร้ายของเริ่นเสี่ยวซู่ให้พ่อกับแม่ฟัง แต่ปฏิกิริยาของพ่อแม่กลับเหมือนกันหมดว่า “ครูเขาสอนลูกเยอะขึ้นก็ดีแล้ว ลูกต้องสำนึกขอบคุณมากกว่าจะมาบ่น เข้าใจไหม ห้ามบ่นออดแอดอะไรเด็ดขาดเชียว โดยเฉพาะอาจารย์สอนแทนยิ่งห้ามเลย”

พวกนักเรียนไม่เข้าใจเลยจริงๆ เมื่อก่อนพ่อกับแม่ยังเข้าข้างพวกเขาอยู่เลย ทำไมไปๆ มาๆ รอบนี้ถึงไปอยู่ฝั่งเริ่นเสี่ยวซู่เสียได้

มิหนำซ้ำทำไมเสียงพ่อแม่ถึงฟังดูแปร่งๆ ขนาดนั้น

พวกนักเรียนรู้สึกว่าน้ำเสียงของพ่อแม่ตนไม่ปกติเลย ดังนั้นจึงพร่ำบ่นต่อ พ่อของหลีโหยวเฉียน หลี่ฟาฉาย กล่าวกับลูกสาวด้วยความรักใคร่ยิ่งว่า “เลิกบ่นได้แล้วลูกรัก ตั้งใจเรียนนะ ลูกอย่าสร้างปัญหาให้อาจารย์เริ่นเสี่ยวซู่อีกเข้าใจไหม พ่อไม่อยากให้ลูกก็ต้องจากโลกนี้ไปก่อนเขา”

หญิงสาวร่างกำยำหลีโหยวเฉียนฟังแล้วก็ตะลึงไป ‘พ่อไม่อยากให้ลูกก็ต้องจากโลกนี้ไปก่อนเขา’ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน!

ว่าแล้วต่อหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ นักเรียนทุกคนจึงเชื่อฟังเขาดีมาก พอเขาเรียกกลับไป พวกนักเรียนก็กลับไปนั่งที่ตัวเองอย่างด้วยความขลาดกลัวอย่างด่วนจี๋

รอบนี้พอเริ่มสอน ก็สอนยาวยันฟ้ามืด

ขณะท้องฟ้ามืดลง พวกนักเรียนก็ตีหน้าว่างเปล่าจ้องไปยังเริ่นเสี่ยวซู่ ผู้ซึ่งยิ่งสอนก็ยิ่งกระตือรือร้น สุดท้ายหลีโหยวเฉียนทนไม่ไหวแล้ว จึงพูดเสียงแผ่วว่า “อาจารย์คะ นี่ก็มืดแล้ว ถ้ายังไม่กลับบ้านตอนนี้มันจะอันตราย…”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ แล้วมีนักเรียนเอ่ยขึ้นเช่นนี้ เริ่นเสี่ยวซู่คงปล่อยชั้นเลยทันที เพราะเหตุนี้เองพอหลีโหยวเฉียนพูดจบ นักเรียนทุกคนก็หันขวับมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยแววตาคาดหวัง

แต่เริ่นเสี่ยวซู่กลับพูดเสียงเมตตาว่า “วางใจเถอะ พวกเธอไม่เป็นอะไรหรอก”

วันนี้เริ่นเสี่ยวซู่สอนยาวยันสองทุ่มจึงจะเลิกชั้น ขนาดนี้ถือว่าดึกแล้ว ตอนเริ่นเสี่ยวซู่ปล่อย เขาไม่ได้เหรียญคำขอบคุณเลย แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ

ดั่งวลี ‘อยากได้รับเชิดชู แรกต้องสะกดข่ม’ ไม่มีสะกดข่มเสียก่อน จะมีความสำนึกขอบคุณได้อย่างไร

“ปะ ไปกัน ครูจะไปส่งพวกเธอที่บ้านเอง” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงเมตตากว่าเดิมอีก

เหล่านักเรียนมองหน้ากัน พลันรู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ อาจารย์สอนแทนของพวกเขานี่มีทักษะอย่างหนึ่งที่สุดยอดมากเลยทีเดียว

เมื่อก่อนเริ่นเสียวซู่จะปล่อยนักเรียนออกไปก่อนฟ้ามืด เนื่องด้วยกลัวว่าถ้ากลับบ้านช้ากว่านั้นจะไม่ปลอดภัยเอาได้

แต่พอมารอบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจไยดีอะไรเรื่องเวลาแล้ว ขอให้พวกนักเรียนได้เรียนอะไรมีประโยชน์ก็พอ! ให้พวกเขาได้รู้ว่าสังคมมนุษย์เราโหดร้ายขนาดไหน!

ถึงการให้คนธรรมดาไปนำเด็กกลุ่มหนึ่งออกจะอันตรายอยู่บ้าง แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใช่เช่นนั้น เขาแกร่งว่าผู้ใหญ่ทั่วไปในเมืองเกือบสองเท่า ดังนั้นปัญหาเรื่องความปลอดภัยนั้นหายห่วง

ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่มีปืน เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น

เริ่นเสี่ยวซู่ไปส่งนักเรียนถึงบ้านทีละคน เรียงตามระยะห่างจากโรงเรียน ยามบรรดาคนอื่นๆ เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่พยายามทุ่มเทสั่งสอนเหล่านักเรียนอย่างหนัก แถมยังมาส่งถึงบ้านเพื่อให้ปลอดภัยอีกแบบนี้ พวกเขาก็รู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นครูบาอาจารย์ที่ดีนัก!

พวกผู้ปกครองไม่รู้หรอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ทำเช่นนี้ไปทำไม คิดเพียงว่าเพราะเขาเป็นคนใจกว้างมากเมตตาก็เท่านั้น เพราะฉะนั้น ด้วยเขามาส่งนักเรียนถึงบ้าน เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้เหรียญคำขอบคุณมาหกเหรียญจากเหล่าผู้ปกครอง

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าก่อนหน้านี้ตนยังลงมือแบบเต็มที่เลย ทำงานหนัก รักษาคน ช่วยชีวิตคน ก็ได้มาแค่สิบสองเหรียญเท่านั้น แต่พอเปลี่ยนแนวคิดวิธีทำ เหรียญคำขอบคุณที่มีก็เด้งไปห้าสิบเหรียญแล้ว

ราคาเดียวที่ต้องจ่ายคือ เหยียนลิ่วหยวนไม่ยอมคุยกับเขาตลอดทั้งคืน…

ว่าตามตรงแล้ว คาบเรียนช่วงเช้าบ่ายรวมๆ กันก็แค่ห้าชั่วโมงเท่านั้น ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะมาเป็นอาจารย์สอนแทน พวกนักเรียนไม่เคยคิดว่าก่อนเลยว่า แค่คาบวิชาเอาตัวรอดอย่างเดียวก็ปาไปห้าชั่วโมงเต็มๆ!

วันต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่อยากไปโรงเรียนจนตัวสั่น แต่คุณจางกลับเข้ามาปราม เขาดึงเริ่นเสี่ยวซู่ไปด้านข้าง แล้วพูด “ต่อไปเธอห้ามปล่อยคาบช้าอีกนะ การเรียนรู้ต้องให้สมดุลทั้งการเรียนและการพักผ่อน แล้วก็ต้องจัดสมดุลให้ดีมากๆ ด้วย ต่อให้เธออยากจะส่งต่อความรู้ของตัวเองขนาดไหน ก็ต้องช้าๆ ได้พร้าเล่มงามนะ!”

เริ่นเสี่ยวซู่รับคำแนะนำของจางจิ่งหลินอย่างนอบน้อม “อาจารย์ครับ คุณมั่นใจได้เลย วันนี้ผมไม่เลิกชั้นช้าหรอก”

เหยียนลิ่วหยวนฟังทั้งสองพูดแล้วก็ไม่มีอากัปอาการอะไรตอบรับเลย แหงละ เขารู้อยู่แล้วว่าวันนี้เริ่นเสี่ยวซู่จะปล่อยชั้นตรงเวลา ที่เมื่อวานปล่อยช้า ก็เพราะว่าวันนี้อยากได้เหรียญขอบคุณแบบชุดใหญ่จัดหนักอีกรอบไงล่ะ!

เหยียนลิ่วหยวนมองเริ่นเสี่ยวซู่ได้แบบหมดเปลือกเลย!

และก็เป็นไปอย่างที่เหยียนลิ่วหยวนคาดการณ์ไว้ พอนาฬิกาป้อมปราการดังบอกเวลาสี่โมงเย็น เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยิ้ม และพูดเสียงนิ่ม “ทุกคน วันนี้เราพอแค่นี้ก่อนเนอะ?”

ทุกคนในห้องเรียนเงียบกริบ ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะถามทำไม ถ้าตอบว่าใช่ แบบนั้นก็สื่อว่าเริ่นเสี่ยวซู่สอนไม่ดีสิ แต่ถ้าตอบไม่ ก็กลัวว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะทำตามประสงค์ ไม่เลิกสอนเสียที

ว่าแล้วจึงหุบปากอยู่เฉยๆ ดีกว่า

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มพูด “การเรียนรู้ต้องให้สมดุลทั้งการเรียนและการพักผ่อน เมื่อวานฉันถ่ายทอดความรู้ให้ทุกคนไปตั้งมาก งั้นวันนี้ไม่ควรเลิกช้าอีก อย่างหนึ่งก็เพื่อให้ทุกคนได้กลับไปทบทวนทำความเข้าใจบทเรียนด้วย อีกอย่าง วันนี้ทุกคนจะได้ไปพักผ่อน ได้ไปเที่ยวเล่นสักหน่อย”

บรรดานักเรียนซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้าในพลัน

“เลิกชั้นได้!” เริ่นเสี่ยวซู่พูด

“ทั้งหมดยืนทำความเคารพ!”

“ขอบคุณครับ/ค่ะ อาจารย์!”

[ได้รับคำขอบคุณจากหลีโหยวเฉียน +1!]

[ได้รับคำขอบคุณจากหวังต้าหลง +1!]

[ได้รับคำขอบคุณจาก…]

เหมือนกับเมื่อวานซืน เริ่นเสี่ยวซู่ได้เหรียญคำขอบคุณมาทั้งหมดยี่สิบสามเหรียญ มีแค่จากเหยียนลิ่วหยวนเท่านั้นที่ไม่ได้ รวมๆ แล้วสามวันมานี้ก็ได้เกือบร้อยเหรียญตามที่ต้องการแล้ว!

ตอนนี้มีทั้งหมดเจ็ดสิบสามเหรียญ อีกนิดก็จะปลดล็อกอาวุธได้แล้ว!

เริ่นเสี่ยวซู่มองลอดผ่านประตูที่เปิดออกอยู่ไป ก็เห็นหวังฟู่กุ้ยเดินดุ่มๆ เข้ามาใรงเรียน

“เหล่าหวัง มาทำอะไรน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม มีอะไรเกิดขึ้นกับเสี่ยวอวี้ที่คลินิกหรือเปล่า คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็เตรียมพาเหยียนลิ่วหยวนรีบเร่งกลับบ้าน

แต่หวังฟู่กุ้ยพูดต่อ “เตรียมตัวเร็ว พวกคณะดนตรีจะออกจากป้อมอีกรอบแล้ว มีคนส่งจดหมายจากเถ้าแก่หลัวมาหาฉัน ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาทำได้ยังไง แต่เถ้าแก่เปิดปากอนุญาตให้เธอไปเป็นคนนำทางให้พวกเขาแล้ว”

เริ่นเสี่ยวตะลึงงันไป ปฏิกิริยาแรกคือโล่งใจที่เสี่ยวอวี้ไม่เป็นอะไร แต่หลังจากนั้นก็เป็นกังวลขึ้นมาเนื่องจากพวกคณะดนตรีอยากเข้าไปในเขาขนาดนั้นด้วยจุดประสงค์คลุมเครือ เจ้าพวกนั้นไปโน้มน้าวให้เถ้าแก่หลัวอนุญาตได้อย่างไรกันนะ

เพราะคณะดนตรีให้สินบนเถ้าแก่หลัวมากพอ หรือว่าเถ้าแก่หลัวเองเป็นคนวางแผนให้คณะดนตรีบุกตะลุยไปในเขาจิ้งซานกัน

ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใด เริ่นเสี่ยวซู่ก็ต้องเป็นคนนำทางอยู่ดี

เริ่นเสี่ยวกลับหลังหัน เดินไปหลังโรงเรียน หวังฟู่กุ้ยว่าอย่างวิตก “จะไปไหนน่ะ”

“ไปคุยกับคุณจางว่าเขาพอจะมีที่ให้เหยียนลิ่วหยวนกับพี่เสี่ยวอวี้พักไหม อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะกลับมา” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงหนักแน่น

ต้องทำแบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่จึงจะวางใจได้

แต่ว่านะ ถ้าเจ้าพวกนั้นคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปในแดนรกร้างแล้ว จะเป็นพวกกินนิ่มที่ตนเองสามารถจัดการอย่างง่ายดายได้ละก็ บอกเลยว่าคิดผิด

Related

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset