ก่อนหน้าเพราะว่าพวกเขาอคติกับเริ่นเสี่ยวซู่อยู่แล้ว เลยยังไม่เชื่อกันอยู่เลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นหมอคนเดียวในเมือง ก็ตอนเจอหน้ากันครั้งแรก เขายังอาศัยอยู่ในกระท่อมอยู่เลย ไปๆ มาๆ ไม่กี่วันกลายเป็นหมอไปได้อย่างไร
ถ้ามีวิชาจริงก็ต้องทำอาชีพรักษาอยู่แล้วไหม
แต่ดูตอนนี้สิ ขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นไร้ไม้ตอกแบบนี้ มีวลีโบราณหนึ่งเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้มาก ‘ป่วยจนวิกฤตก็เลยไปหาหมอมั่วๆ’
แต่ว่า คำตอบของเริ่นเสี่ยวซู่กลับทำให้พวกเขาตะลึงตาแตกกันหมด หมอผีคือเชี่ยอะไรวะ
“ถอยไป” หลิวปู้ผลักเริ่นเสี่ยวซู่ออกไป จากนั้นก็เดินไปหาคนขับที่บาดเจ็บ แล้วถามอย่างเป็นห่วง “โอเคไหม เจ็บหรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปสำรวจรอบๆ ตอนเริ่มมีรถกระบะหนึ่งคัน ออฟโรดห้าคัน แต่ตอนนี้เหลือแค่สี่แล้ว
ดูท่าแล้วจะซ่อมรถที่พังเสียหายทั้งสองคันน่าจะซ่อมยากมาก แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีความรู้ทางด้านช่างยนต์ เลยได้แต่ดูว่าพวกทหารกองกำลังส่วนตัวจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ร้อยตรีสูเสี่ยนฉู่พาคนของตัวเองมาสำรวจรถ ก่อนจะพบว่ารถที่โดนกวางยักษ์ขวิดจนกระเด็นนั้นหมดทางซ่อมแล้ว ด้วยเพราะมีรูทะลุหลายจุดตรงเครื่องยนต์
แต่กวางยักษ์ตัวนั้นก็ไม่จากไปโดยไร้รอยขีดข่วนเช่นกัน เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเศษเขากวางอยู่ตรงพื้น ดูเหมือนจะแตกออกเพราะแรงกระแทก
หลิวปู้ไปหาสูเสี่ยนฉู่แล้วถาม “ซ่อมได้ไหม”
“ขอไปดูรถคันที่พลิกคว่ำก่อน” หลังจากตรวจสอบเสร็จ สูเสี่ยนฉู่ก็ว่า “รถคันนี้ซ่อมไม่ได้แล้ว แต่รถอีกคันไม่เสียหายเท่าไรเพราะว่าไม่ได้ชนต้นไม้แรงมาก ตอนนี้ทำได้แค่ชำแหละซากของคันพลิกคว่ำมาซ่อมคันนี้”
“ซ่อมได้แค่คันเดียว?” หลิวปู้ผงะ “งั้นพวกเราต้องทำยังไงดี พวกเรามีคนตั้งเยอะนะ!”
สูเสี่ยนฉู่คิดพักหนึ่งพลางว่า “ที่ท้ายกระบะรถน่าจะมีที่อยู่…”
เริ่นเสี่ยวซู่ยกมือ “ฉันไปเอง”
“ไปตายซะ!” หลิวปู้พูดอย่างโมโห
รอบนี้หลิวปู้ยอมนั่งท้ายกระบะเองดีกว่าปล่อยให้เริ่นเสี่ยวซู่ไป!
สูเสียนฉู่สั่งคนของตัวเองให้ไปหยิบอุปกรณ์มาซ่อมรถ ขณะพวกเขากำลังซ่อมอยู่นั้น เขาก็สั่งลูกน้องด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “ทุกคนสังเกตรอบๆ ด้วย ถ้ามีสิ่งมีชีวิตนิรนามเข้าใกล้เราก็ยิงได้เลย”
ขณะทหารกำลังจดจ่อกับการซ่อมรถยนต์ก็พลันมีความรู้สึกถึงความมีระบบระเบียบทางการทหารมากขึ้นมา สูเสียนฉู่ดูไม่ใช่คนโง่ ถ้าเวลาแบบนี้แล้วเขาไม่ได้เตือนทุกคน เกิดมีสัตว์ใหญ่เข้ามาหาพวกเขาตอนกำลังซ่อมแซมอยู่ละก็ ถ้าแจ้งเตือนตอนนั้นอาจจะสายไปแล้วก็ได้ และคงมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อยแน่
เริ่นเสี่ยวซู่ก็นั่งยองๆ อยู่ข้างรถ คอยเฝ้ามองพวกทหารดำเนินการซ่อมแซมรถยนต์ เขาอยากรู้ว่ารถยนต์นั้นทำงานอย่างไร เพราะเขานิยมชมชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอด และในสายตาของเขา ‘เครื่องจักรขนาดใหญ่’ อย่างรถออฟโรดนี่ มีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์มาก
ทุกรายละเอียดนำพากลิ่นอายแห่งความรู้ของการสร้างอารยธรรมใหม่ของมนุษยชาติ
ข้างๆ เขาหลิวปู้กำลังกอดอก แค่นเสียง “ดูเข้าใจด้วยเหรอไงว่าพวกเขาทำอะไรอยู่”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง แล้วถาม “ฉันไม่รู้หรอก แล้วนายรู้เหรอไง”
หลิวปู้ผงะ จริงๆ แล้วเขาก็ดูไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เอ้า ทั้งนายทั้งฉันก็ดูไม่เข้าใจว่าพวกเขาทำอะไรอยู่กันทั้งนั้น” เริ่นเสี่ยวซู่พูดช้าๆ “จะพล่ามทำมะเขืออะไร”
เริ่นเสี่ยวซู่หันหน้าหนีเขา การซ่อมรถยนต์ใช้เวลาตั้งแต่เช้ายันบ่าย ขณะเดียวกันหลิวปู้กับคนอื่นๆ ก็กำลังคุยกันว่าจะแบ่งที่นั่งอย่างไร แล้วกลยุทธ์ในการคุ้มกันจะปรับอย่างไรด้วย
มีคนบอกเสนอว่าถ้าเจอพวกสัตว์แบบนั้นอีกก็ยิงได้เลย บางคนก็ถามว่าถ้าเกิดยิงไปแล้วทำพวกสัตว์มันโจมตีเราก่อนล่ะ ดูจากขนาดตัวของเจ้ากวางยักษ์นั่นแล้ว กระสุนไม่น่าจะเจาะทะลุไปยังกระดูกได้นะ ยกเว้นแต่จะมีคนสามารถยิงเข้าเป้าที่ตาได้ แต่ใครกันจะเล็งแม่นได้ขนาดนั้น
ระดับนั้นนี่ต้องยิงเข้าเป้าเคลื่อนไหวด้วยคะแนนเก้าเต็มสิบหรือมากกว่าแล้วมั้ง?
เริ่นเสี่ยวซู่คิด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้นะว่าหยางเสียวจิ่นมีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติ ถ้าเธอทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครทำได้แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจราวๆ หกส่วนว่าในระยะห้าสิบเมตร ตนเองสามารถใช้ปืนพกยิงโดนตา ดังนั้นแล้วหยางเสียวจิ่นก็คงมีโอกาสมากกว่าเก้าส่วน บางทีอาจจะสิบส่วนเต็มสิบส่วนเลยก็ได้!
เริ่นเสี่ยวซู่ลอบมองปฏิกิริยาของหยางเสียวจิ่น แต่ว่าขณะที่คนอื่นกำลังถกกัน เธอกลับทำเฉยเมยเป็นทองไม่รู้ร้อน ราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเธอเสียอย่างนั้น
ถึงอย่างนั้นทุกคนก็รู้สึกโล่งใจกันอยู่บ้างที่เจ้ากวางยักษ์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ ถ้าเกิดว่ามันกำลังหาอาหารอยู่ละก็ ต้องมีคนตายอย่างน้อยสามถึงสี่รายแน่
สูเสียนฉู่ว่า “ส่วนใหญ่ในป่ามีแต่สัตว์กินพืช เพราะไม่งั้นก็คงถูกระบุตัวแล้วก็ล้างบางไปหมดตอนสร้างอาณาเขตตั้งแต่แรกก่อตั้งป้อมปราการ ถ้าเกิดเจอสัตว์แบบนั้นอีกก็ให้ระวังไว้ อย่าไปทำให้พวกมันตกใจกลัวเข้า แต่ถ้าเจอพวกสัตว์กินเนื้อละก็ ยิงเพื่อฆ่าได้เลย เอาละ ซ่อมเสร็จแล้ว เตรียมพร้อมออกเดินทาง”
หลิวปู้พูดต่อ “ตอนนี้เสียรถไปคัน ต้องสลับที่นั่งกัน” เขาหันไปกล่าวกับคนในวง “สูเซี่ยกับเฉิงตงหางไปนั่งที่ท้ายกระบะ ทนเอาหน่อยนะ”
สมาชิกทั้งสอง สูเซี่ยและเฉิงตงหางมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเจ็บปวด พวกเขาสั่งให้เริ่นเสี่ยวซู่ไปนั่งท้ายกระบะเอาก็ได้ แต่หลิวปู้กลัวว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะกินพวกแครกเกอร์กับอาหารจนหมด ด้วยเหตุนี้จึงให้คนของตนคอยไปอยู่กับเสบียงดีกว่า
สูเซี่ยกับเฉิงตงหางกัดฟันกรอดปีนขึ้นไปท้ายกระบะ ทันใดนั้นสูเซี่ยก็กรีดร้องเสียงแหลมแล้วหล่นตุบลงมากับพื้น เริ่นเสี่ยวซู่ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องก็สะดุ้งเฮือกหันขวับ ก่อนจะเห็นเขากำลังร้องครวญคราง มือกุมลำคอไว้
ทันใดนั้นใบหน้าสูเซี่ยก็แดงก่ำแถมบวมเป่ง ราวกับว่ากำลังเผชิญกับความเจ็บปวดที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนในชีวิต เพียงสิบวินาที เขาก็นอนนิ่งอยู่กับพื้นโดยที่ทุกคนไม่ทันได้เคลื่อนไหวอะไร สูเซี่ยมีฟองฟอดท่วมปาก ใบหน้าซีดขาว
สูเสี่ยนฉู่ขยับเข้าใกล้อย่างระแวดระวัง ปืนเตรียมพร้อม หลังจากเห็นว่ารอบๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็นำมือไปอังเหนือจมูกสูเซี่ยเพื่อตรวจสอบลมหายใจของเขา เขาหันมาหาทุกคน ก่อนจะพูดเสียงเรียบนิ่ง “ไม่หายใจแล้ว”
ทุกคนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ ตายไปแบบนี้เลย?
หลิวปู้ตัวสั่น ถามเฉิงตงหาง “เกิดอะไรขึ้นกับเขา”
เฉิงตงหางตัวพิงท้ายกระบะ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว “ฉันไม่รู้ ตอนพวกเราปีนขึ้นมา จู่ๆ เขาก็กรีดร้อง ทำเอาฉันกลัวไปหมด แต่ว่านอกจากนี้ก็ไม่เห็นอะไรแปลกๆ เลย”
เสียงซู่ซู่ในป่าพลันฟังดูน่าขนลุกขึ้นมา ต้นไม้ยังเป็นต้นไม้ แต่จิตใจคนไม่เหมือนเดิมแล้ว
เป็นครั้งแรกเลยที่การเดินทางมีคนของพวกตนต้องจบชีวิตลง หลิวปู้ตะโกนใส่เริ่นเสี่ยวซู่ “นายนำพวกเรามาทางไหนกันแน่ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจออะไรแบบนี้เลย เส้นทางที่นายนำทางมามีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“เส้นทางที่ฉันพามาไม่มีปัญหา” เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับหลิวปู้อย่างสงบนิ่ง “ถึงพวกนายจะอาศัยอยู่ในป้อม แต่ก็คงรู้สินะว่าแดนรกร้างเริ่มแปลกประหลาดขึ้นน่ะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมพวกนายถึงอยากไปเขาจิ้งซาน แต่คำแนะนำของฉันล้มเลิกการเดินทาง และกลับป้อม 113 ซะ”
“ไม่ได้” สูเสี่ยนฉู่กล่าวเสียงเย็น “คำสั่งจากเบื้องบนคราวนี้ไม่อาจไม่ทำตาม พวกเรากลับไปไม่ได้จนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น นี่รวมไปถึงพวกนายทุกคนด้วย!”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกได้ถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล ไม่มีทางที่สูเสี่ยนฉู่จะยอมถวายชีวิตเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ มันต้องมีเหตุผลอื่นแน่!
Related