the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 64 ดาวเทียม

พอทุกคนเห็นประโยคสองบรรทัดนั้น อากาศในโพรงถ้ำพลันเย็นเยียบลงในบัดดล

วันนี้ตั้งแต่เข้าป่ามา พวกเขาก็ยังไม่พบอันตรายใดเลย นอกจากที่ว่าอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก

ทำให้ทุกคนอดเข้าใจผิดไม่ได้ว่า ที่นี่นั้นปลอดภัยกว่ามากถ้าเทียบกับในหุบเขาหรือที่อื่นๆ ที่ประสบมาตลอดทาง พวกเขาแทบลืมคำเตือนที่สลักไปตรงหน้าผาทางเข้าหุบเขาเฟิงโค่วไปหมดสิ้น

ทว่าตอนนี้คำเตือนนั้นพลันแล่นปราดกลับเข้าสมอง

ศพสูเซี่ยที่หายไป แมลงหน้าคน และคำที่สลักบนผนังผาว่า ‘คนเป็นมิอาจข้าม’

“มีใครหายตัวไปหรือเปล่า” ปฏิกิริยาแรกของสูเสี่ยนฉู่คือหันไปนับจำนวนสมาชิก แต่ไม่พบว่าใครหายตัวไป

“มีคนคิดสลักคำพวกนี้เพื่อแกล้งพวกเราเล่นหรือเปล่า” หลิวปู้อดสงสัยไม่ได้ “ในโพรงถ้ำนี้ดูไม่มีร่องรอยการต่อสู้อะไรนะ แถมระหว่างทางมาก็ไม่มีโครงกระดูกของมนุษย์หรือสัตว์อะไรด้วย”

เดี๋ยวนะ! คำพูดของหลิวปู้ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ การไม่มีซากกระดูกอะไรเลยถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติที่สุดแล้ว ปกติทั่วป่าจะต้องมีซากกระดูกอยู่ไม่มากก็น้อยสิ อาจจะเป็นซากกระดูกนก งู หรือสัตว์ใหญ่อะไรก็ได้ มันมักจะมีให้เห็นอยู่ประจำ

เริ่นเสี่ยวซู่อยากกลับไปตรวจสอบจริงๆ ว่าซากกระดูกของหนูหายไปแล้วหรือยัง อย่างไรเสียตนก็ไม่ได้โยนไว้นานอะไรนัก ตอนเช้าพอเขาไปดูถึงยังมีเศษเหลืออยู่ ทว่าถึงยามนี้กลับไปดูซากกระดูกคงหายไปหมดแล้วแน่

ร่างของสูเซี่ยกับเศษกระดูกปลาก็อยู่ในกรณีนี้เช่นกัน

ป่าผืนมโหฬารนี้มีอะไรบางอย่างชวนขนหัวลุกแฝงตัวอยู่ ทหารนายหนึ่งถาม “ดูเหมือนว่าปีที่แล้วมีคนมาที่นี่นะ แถมยังเป็นกลุ่มใหญ่ด้วย แต่ว่าป้อม 113 เรา ไม่ได้ส่งใครมาเขาจิ้งซานเลยนะ”

“อาจจะเป็นคนจากป้อม 112 ที่คิดจะเดินทางไปที่ป้อมของพวกเราก็ได้ แต่คงเกิดเรื่องขึ้นก่อน” สูเสี่ยนฉู่ลองค้นความจำ “พวกเราเป็นแค่ทหารยศต่ำสุดในกองกำลังส่วนตัว ข้อมูลพวกนั้นพวกเราเข้าไม่ถึงหรอก”

สูเสี่ยนฉู่พูดถูกแล้ว พวกเขาเป็นคนที่ไร้ค่าที่สุดในหมู่ทหาร พวกเบื้องบนจะบอกข้อมูลพวกเขาทำไมกัน

มีคนกล่าว “หรือว่าที่พวกเราถูกส่งมาที่นี่เพราะมีอีกกลุ่มหนึ่งมาก่อนเราแล้วเกิดเรื่องเข้า พอพวกเบื้องบนในป้อมรู้ ก็เลยส่งมาพวกเรามาตรวจสอบ อาจจะเป็นเพราะว่ากลุ่มนั้นมีโทรศัพท์ดาวเทียมอยู่ ก็เลยส่งข่าวกลับไปที่ป้อมได้อะไรงี้”

เป็นครั้งแรกที่เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินคำว่า ‘โทรศัพท์ดาวเทียม’ คุณจางเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงคำๆ นี้มาก่อนเลย

เขาสงสัยมานานแล้วว่าแต่ละป้อมปราการน่าจะมีช่องทางสื่อสารกันอยู่ ดูๆ แล้วพวกเขาก็คงสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์ดาวเทียมที่พูดถึงสินะ

เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบถามหยางเสียวจิ่น “โทรศัพท์ดาวเทียมคืออะไรเหรอ เคยได้ยินคุณจางบอกว่าในป้อมมีของชื่อโทรศัพท์อยู่ แต่ไอ้โทรศัพท์ดาวเทียมนี่คืออะไรน่ะ”

หยางเสียวจิ่นมองเขา พลางว่า “มนุษยชาติครอบครองดาวเทียมหลายดวงจากยุคก่อนภัยพิบัติ หลายป้อมปราการล้วนสื่อสารผ่านกันทางนี้”

มีคนพูดอย่างขุ่นเคืองใจ “ถ้าพวกเบื้องบนรู้ว่ามีคนหายไป แสดงว่าตั้งใจส่งเรามาตายสิ พวกเขาคิดจะใช้ชีวิตคนพิสูจน์ข่าวสินะ ถ้าพวกเราออกมาตายที่นี่ หมายความว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายมาก ถึงว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ให้โทรศัพท์ดาวเทียมพวกเราสักเครื่องเลย อย่างกับว่าพยายามลดการสูญเสียทรัพยากรให้มากที่สุดไหงงั้นแหละ ชีวิตพวกเรานี่ด้อยกว่าโทรศัพท์ดาวเทียมเครื่องหนึ่งอีก”

สูเสี่ยนฉู่เหลือบมองเขา แล้วว่า “มีข้อมูลไม่มากพอ อย่าเดาสุ่มไปเอง แถมการคาดเดาของนายก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรนักด้วย”

ที่จริงก็คือพวกทหารกำลังหวาดกลัวหนัก สมองคิดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ออกแล้ว สูเสี่ยนฉู่จึงไม่เห็นด้วยกับข้ออนุมานของพวกเขานัก เริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปดูตัวอักษรสองบรรทัดนั้นใกล้ๆ “พวกเขาใช้อะไรเป็นเครื่องมือแกะสลักน่ะ น่าจะเป็นพวกดาบปลายปืนของทหารไหมนะ ของใช้ทั่วไปที่คนธรรมดาพกไปมาไม่น่าจะสลักได้ลึกขนาดนี้”

สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “น่าจะเป็นฝีมือของทหารจากป้อม 112 จริง” จากนั้นก็หันกลับไปกล่าวกับทุกคนว่า “วันนี้เราจะนอนเกาะกลุ่มกัน ถ้าเกิดอยากไปขับถ่ายตอนดึก ให้จับกลุ่มกันไปสามคน”

ที่จัดการเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุจู่ๆ คนหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง ต่อให้พวกเขาเกิดตกอยู่ในอันตรายจริง อย่างน้อยต้องมีหนึ่งในสามคนที่กรีดร้องขอความช่วยเหลือทัน

สูเสี่ยนฉู่พูดต่อ “แล้วคืนนี้ต้องมีคนผลัดกันเฝ้ายามด้วย เอาอย่างนี้เป็นไง ฉันจะเข้ากะแรก แล้วคนอื่นตามหลัง พวกผู้หญิงไม่ต้องเฝ้า”

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นด้วย ถึงแม้ในใจจะคิดว่าเฝ้ากะตอนกลางคืนไปก็เท่านั้นก็เถอะ พวกเขานอกจากจะต้องป้องกันเหตุภายนอกแล้ว เหตุที่เกิดจากภายในกลุ่มเองก็ห้ามคลาดสายตาด้วย

อย่างไรหยางเสียวจิ่นก็ยึดปืนมาจากทหาร การที่ทหารนายนั้นคิดลอบจู่โจมเขากลางดึกเพื่อเอาปืนกลับไป ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ตอนนั้นเอง หยางเสียวจิ่นก็พูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “นายเฝ้าครึ่งคืนแรก ฉันเฝ้าครึ่งหลัง”

“ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า พันธมิตรที่จับมือชั่วคราวนี้มีหลักการพื้นฐานร่วมกันข้อหนึ่ง คือพวกเขาไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องลงมือใส่กัน

“ฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย” หยางเสียวจิ่นว่า

เริ่นเสี่ยวซู่คิด ไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหรอกเหรอ ส่วนปากถาม “ให้ไปด้วยไหม”

หยางเสียวจิ่นนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงค่อย “ไม่ต้อง”

เริ่นเสี่ยวซู่สับสนนิดหน่อย เด็กสาวคนนี้กล้าไปหน่อยไหม มีทักษะดีๆ อะไรซ่อนไว้อยู่เหรอ

ข้างๆ เขา ลั่วซินอวี่ยืนขึ้น “ฉันไปเป็นเพื่อนเอง” จากนั้นก็หันไปจ้องเริ่นเสี่ยวซู่ตาขวาง “ตาโง่”

เริ่นเสี่ยวซู่หน้าแดงก่ำ รู้แล้วว่าเป็นอะไร!

สองสาวฝ่าฝนไปข้างนอก สูเสี่ยนฉู่เห็นพวกเธอแล้ว แต่ก็ไม่พูดอะไร

ทหารนายหนึ่งพึมพำเยาะเย้ย “หญิงสาวสองคนหายตัวไป คงน่าเสียดายแย่”

แต่ไม่ถึงห้านาทีให้หลัง หยางเสียวจิ่นกับลั่วซินอวี่ก็กลับมาในโพรงถ้ำอย่างบริบูรณ์ครบสามสิบสอง

มีอะไรบางอย่างไม่เหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ หรือว่าพวกเขาไม่ได้โดน ‘เงาแปลกประหลาด’ ในป่าเล็งเป้าไว้อยู่แล้วกัน

ทหารสองนายเห็นพวกเธอกลับมาแล้ว ก็ยืนขึ้นแล้วพูด “พวกเราออกไปถ่ายเบาหน่อยนะ ทนไม่ไหวแล้ว”

พวกเขาทั้งสองต้องส่งผู้หญิงสองนางไปดูลาดเลาก่อนถึงจะกล้าออกไปด้วยตัวเอง แถมตอนนี้กลัวจนแทบจะฉี่ราดอีก พวกเขาอั้นไม่ไหวแล้ว

ตอนแรกพวกเขากะจะถ่ายเบาในโพรงถ้ำนี้นี่แหละ แต่ว่าหยางเสียวจิ่นกับลั่วซินอวี่กลับมาอย่างปลอดภัยดีไม่ใช่เหรอ ก็เลยมีความกล้าออกไปจัดการตัวเองข้างนอก

สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “รีบกลับมา อย่ามัวแต่สูบบุหรี่”

“ไม่สูบๆ” ทหารสองนายจัดแจงเสื้อผ้า แล้วออกไป

เริ่นเสี่ยวซู่กินช็อกโกแลตไปพลาง ชมดูหยางเสียวจิ่นที่กำลังผึ่งตัวให้แห้งไปพลาง อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “ข้างนอกนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอเลยเหรอ”

“ไม่มี” หยางเสียวจิ่นตอบกลับสั้นๆ

มีคนเริ่มก่อกองไฟในโพรงถ้ำแล้ว หลังจากทุกคนโยนลูกสนใส่กองไฟเสร็จ ก็จัดการรีดสารน้ำออกมาจากใบสน จากนั้นก็เลียมันดับกระหาย

ลูกสนปริแตกหลังโดนความร้อน ทุกคนรู้สึกอุ่นวาบ ราวกับว่าตระหนักได้ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่

สูเสี่ยนฉู่หันขวับมองออกนอกโพรง “เจ้าสองคนนั้น…ทำไมยังไม่กลับมากัน!”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset